M-Style

Sperry : แบรนด์รองเท้าจากนักกะลาสีหนุ่ม ที่พาคุณไปผจญภัยได้ทุกมุมโลก | Main Stand

หากพูดถึงเครื่องแต่งกายชิ้นสำคัญที่เหมาะตั้งแต่การนำไปแต่งตัวสไตล์ทางการ กึ่งทางการ ตลอดจนการใส่แบบแคชชวล สิ่งที่หลายคนอาจจะนึกถึงในลำดับต้นๆ นอกจากรองเท้าหนังหรือเสื้อเชิ้ต อาจจะเป็นรองเท้า “โบ้ทชูส์” (Boat Shoes) ก็เป็นได้ หนึ่งในแฟชั่นไอเท็มสุดคลาสสิกที่ถูกคิดค้นโดยแบรนด์ “สเปอร์รี่” (Sperry) รองเท้าที่มีหน้าตาเรียบง่าย เหมาะใส่กับทุกโอกาส อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่ถึกทนเกินคาด ถือเป็นรองเท้าที่โดดเด่นในเรื่องการใช้งานและการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ อยู่คู่สไตล์การแต่งตัวของคนทุกเพศ ทุกวัยมาอย่างยาวนาน 


 

นอกจากโบ๊ทชูส์อันเลื่องชื่อแล้ว ปัจจุบัน แบรนด์ดังกล่าวยังคงเน้นย้ำถึงจุดเริ่มต้นที่มาจากทะเล ด้วยการ ส่งรองเท้าคอลเลกชั่นจาก “Sperry Sport” เพื่อตอบโจทย์กิจกรรมในฤดูร้อนโดยเฉพาะออกมาในรุ่น “Sperry Water Strider” หนึ่งในรองเท้าที่มีนวัตกรรมและประสิทธิภาพในการสวมใส่สูงที่สุดรุ่นหนึ่งที่สเปอร์รี่เคยผลิตมา อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมภายใต้ปณิธาน #MakeWaves ที่มีการนำวัสดุหมุนเวียนจากทะเล “Seacycled” มาใช้ผลิตรองเท้า ตอกย้ำมรดกของแบรนด์ที่เกิดขึ้นมาจากการเดินเรือ ประจำฤดู Spring 2022

เบื้องหลังของแบรนด์รองเท้าที่มีต้นกำเนิดมาจากการเดินเรือและคอนเซ็ปต์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากทะเลของสเปอร์รี่เป็นอย่างไร? ติดตามได้ใน Main Stand  

 

ต้นกำเนิดจาก “อุ้งเท้าสุนัข”

ความจริงแล้ว ที่มาของชื่อ “โบ้ทชูส์” (Boat Shoes) ไม่ได้มีความซับซ้อนแต่อย่างใด เพราะต้นกำเนิดของรองเท้าชนิดดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเรือจริงๆ และสาเหตุที่ทำให้มันเป็นรองเท้าที่มีคุณสมบัติทนทานก็เพราะมันเป็นรองเท้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อกะลาสีเรือที่ต้องคอยเดินอยู่บนเรือตลอดเวลา มีจุดประสงค์หลักคือ “การป้องกันการลื่น” ไม่ให้กะลาสีตกจากเรือ 

“โบ้ทชูส์” หรือใน อีกชื่อหนึ่งคือ “เด็คชูส์” (Deck Shoes) ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกในปี 1935 โดยกะลาสีเรือและอดีตทหารเรือ ชาวอเมริกันที่ชื่อ “พอล อัลลิ่ง สเปอร์รี่” (Paul Alling Sperry) แนวคิดการทำรองเท้าชนิดนี้ของสเปอร์รี่ถือกำเนิดขึ้นระหว่างตอนที่เขากำลังแล่นเรืออยู่ในบริเวณชายฝั่ง “ลอง ไอส์แลนด์ ซาวด์” (Long Island Sound) พื้นที่ระหว่างรัฐคอนเนคติคัตและนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จนได้ประสบอุบัติเหตุ “ลื่น”​ พลัดตกจากเรือ 

เหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้สเปอร์รี่กลับมานั่งคิดหาทางประดิษฐ์รองเท้าที่มีประสิทธิภาพในการยึดเกาะมากยิ่งขึ้นระหว่างที่เดินอยู่บนเรือ เขาเริ่มสังเกตอะไรเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวเพื่อหาแรงบันดาลใจ จนได้ไปเห็นสุนัขพันธุ์ค็อกเกอร์ สแปเนียลของตัวเองที่ชื่อ “พรินซ์” ที่สามารถวิ่งบนพื้นน้ำแข็งได้อย่างไม่มีสะดุดและที่สำคัญคือ “ไม่ลื่น” จากตรงนั้น เขาจึงเริ่มศึกษาอุ้งเท้าของสุนัขตัวเองโดยละเอียด ศึกษาคิดค้นพื้นรองเท้าแบบพิเศษที่ป้องกันการลื่นโดยเฉพาะขึ้นมา

ลักษณะเด่นของอุ้งเท้าพรินซ์คือ จะมีร่องละเอียดจำนวนมากที่มีลักษณะคล้ายกับ “ก้างปลา” (Herringbone) อยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาจึงเริ่มประยุกต์นำยางธรรมชาติ มาขึ้นเป็นยางรองเท้าลายก้างปลาแบบละเอียดคล้ายกับเท้าของพรินซ์ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “ซิป” (Siping) ที่นิยมใช้ในการตัดร่องยางสำหรับยางรถยนต์ ค่อยๆ นำมีดมากรีดเป็นลาย จนในที่สุดพื้นรองเท้าชนิด “กันลื่น” ชนิดใหม่ก็ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา

รองเท้าของสเปอร์รี่รุ่นแรก มีชื่อว่า “Top-Sider” รุ่น Canvas Oxfords มีคุณสมบัติโดดเด่นอยู่ที่บริเวณด้านบนเป็นผ้าใบชนิดแห้งเร็ว พื้นรองเท้าเป็นยางธรรมชาติสีขาวลายก้างปลา ที่นอกจากจะยึดเกาะพื้นผิวได้ดีแล้ว ยังไม่ทิ้งรอยดำไว้บนเรืออีกด้วย 

ต่อมาในปี 1937 เขาจึงจดลิขสิทธิ์พื้นรองเท้ากันลื่นและเริ่มผลิตรองเท้าอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น นำด้วยคำโปรยหลังชื่อแบรนด์ ที่ตอกย้ำคุณสมบัติของแบรนด์อย่างเห็นได้ชัดอย่าง “Sperry Top-Sider, sticks like a barnacle” หรือที่แปลได้ว่า “สเปอร์รี่ ท็อป-ไซเดอร์ ติดเหมือนเพรียง” ที่เป็นการเปรียบเปรยถึงเพรียงที่ชอบเกาะอยู่ภายใต้ท้องเรือ ไม่นานหลังจากนั้น สเปอร์รี่ได้ร่วมกับ Commonwealth Shoe and Leather Co. บริษัทผลิตหนังในรัฐแมสซาชูเซต ช่วยกันออกแบบหนังฟอกพิเศษที่สามารถกันน้ำได้ จนในที่สุดรองเท้าสำหรับการเดินเรือที่ทั้งกันลื่นและกันน้ำ จึงถือกำเนิดขึ้น เป็น “โบ๊ทชูส์” คู่แรกของโลกแบบออริจินัลที่เราเรียกกันอยู่ทุกวันนี้ 

ใครจะไปรู้ว่า ต่อมาสเปอร์รี่จะกลายเป็นรองเท้าที่มากกว่ารองเท้ากันลื่นบนเรือ กลายเป็นรองเท้าแฟชั่น ที่เหมาะใส่กับทุกโอกาสและสภาพผิวด้วย 

 

WARDROBE ESSENTIAL

หลังจากที่โบ๊ทชูส์ของสเปอร์รี่ได้สร้างประวัติศาสตร์ในการทำรองเท้ากันลื่นออกมาได้สำเร็จ รองเท้าชนิดดังกล่าวก็ได้กลายมาเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมในหมู่คนที่ชอบแล่นเรืออย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะยังมีภาพของการเป็นแบรนด์เฉพาะกลุ่มอยู่บ้าง 

อย่างไรก็ตาม ในปี 1939 รองเท้ายี่ห้อดังกล่าวก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เนื่องจากกองทัพเรือของสหรัฐฯ ได้เจรจาขอสิทธิ์ในการผลิตรองเท้าสำหรับนักเรียนโรงเรียนนายเรือแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา จนในเวลาต่อมา รองเท้าโบ๊ทชูส์ของสเปอร์รี่ ก็ได้กลายมาเป็นเครื่องแบบอย่างเป็นทางการของโรงเรียนนายเรือ เกิดเป็นภาพจำที่ตอกย้ำว่ารองเท้าชนิดดังกล่าวเหมาะแก่การใช้งานบนเรือกับคนเรือจริงๆ 

แม้ว่าภาพของรองเท้าเดินเรือจะชัดเจนมาก ๆ แต่สเปอร์รี่ก็ได้กลายมาเป็นแบรนด์ที่ตีตลาดไลฟ์สไตล์มากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1940s กับรุ่น “Oxford’s Captain” จากรองเท้าที่เหมาะแก่การใส่ออกทะเลและใส่เดินบนเรือ ได้กลายมาเป็นรองเท้าที่สามารถใส่ได้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น (Everyday Leisure) รวมไปถึงรองเท้าเทนนิสและรองเท้าสำหรับการใช้ในระบบอุตสาหกรรม

ในแง่ของรองเท้าไลฟ์สไตล์ บุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างอดีตประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา “จอห์น เอฟ. เคนเนดี้” มักใส่ Sperry ไปแล่นเรือเสมอ หรือนักแสดงผู้ล่วงลับ “พอล นิวแมน” ต่างก็มักจะหยิบรองเท้าสเปอร์รี่มาใส่ในลุคแคชชวลหรือใส่ไปตีเทนนิสอยู่บ่อยครั้งในช่วงทศวรรษ 1960s หรือช่วงทศวรรษ 1980s โบ๊ทชูส์ยังเคยถูกจดจำในฐานะรองเท้าสำหรับการแต่งตัวอย่างสุภาพ ในหนังสือคู่มือการแต่งตัวอย่างเหมาะสมสำหรับคนอเมริกัน “The Official Preppy Handbook” ที่เขียนโดย “ลิซ่า เบิร์นบาร์ค” 

สเปอร์รี่ยังให้การสนับสนุนทีมชาติแล่นเรือใบของสหรัฐอเมริกาในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 1987 และลุยตลาดรองเท้าโบ๊ทชูส์แบบสปอร์ตในปี 1994 ผ่านการร่วมงานกันกับ “นิวบาลานซ์” (New Balance) ในรองเท้ารุ่น SB770 เพื่อให้รองเท้าสำหรับการเดินบนเรือมีความร่วมสมัยมากขึ้น 

เท่านั้นยังไม่พอ ภาพของรองเท้าสเปอร์รี่ ยังมีปรากฏให้เห็นในสื่อวัฒนธรรมร่วมสมัยอย่างมากมาย ผ่านการถูกหยิบจับไปใส่โดยนักแสดงชื่อทั้งในจอและนอกจอ ไม่ว่าจะเป็น จู๊ด ลอว์ ในภาพยนตร์เรื่อง “The Talented Mr.Ripley”, แดเนียล เครก จาก “No Time To Die” ภาพยนตร์ตอนล่าสุดในซีรีส์ 007 หรือ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ นักแสดงที่มักรู้จักกันในบทบาทของสไปเดอร์-แมน ก็มักจะปรากฏตัวในลุคแคชชวลพร้อมรองเท้าสเปอร์รี่อยู่เสมอ 

จากเดิมที่สเปอร์รี่เป็นแบรนด์เฉพาะสำหรับคนชอบแล่นเรือ จนถึงตอนนี้ แบรนด์ดังกล่าวได้ขยับขยายไปในแวดวงของแฟชั่นด้วย ถึงอย่างไร สเปอร์รี่ก็ยังคงอัตลักษณ์ของการเป็นแบรนด์รองเท้าสำหรับการแล่นเรือและไลฟ์สไตล์แบบสปอร์ตเอาไว้เหมือนเดิม ผ่านสินค้าใหม่ๆ ที่เริ่มออกมาวางจำหน่ายมากขึ้นในปีนี้ 

 

มรดกจากทะเล

สเปอร์รี่ ได้เริ่มกลับมาพัฒนารองเท้าเพื่อการกีฬาทางน้ำออกมามากขึ้นในปี 2016 ผ่านรองเท้าคอลเลกชั่น “7 Seas” ที่ได้นักกีฬาจากการแข่งขัน “America's Cup” รายการการแข่งขันเรือใบระดับนานาชาติมาร่วมทดสอบการใช้งาน จนในที่สุด สเปอร์รี่ก็ได้ลุยตลาดเพื่อการกีฬาเฉพาะ ในไลน์สินค้าที่ชื่อว่า “Sperry Sport” หลังจากที่ได้ผลิตรองเท้าเพื่อกีฬาทางน้ำมาโดยตลอด 

เบื้องหลังแนวคิดการออกแบบของ Sperry Sport คือ “Serious design for serious fun” หรือ “การออกแบบที่จริงจัง เพื่อความสนุกที่จริงจัง” เพราะทางแบรนด์เชื่อว่า บริเวณพื้นที่น้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เป็นสนามเด็กเล่นที่ใหญ่ที่สุดสำหรับทุกคน รอให้ทุกคน ‘Dive In’ หรือกระโดดเข้าไปผจญภัยได้ทุกเมื่อ 

นวัตกรรมของสเปอร์รี่ ได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งในฤดูกาล Spring ประจำปี 2022 เมื่อทางแบรนด์ได้ส่งรองเท้ารุ่น “Sperry Water Strider” ออกมา หนึ่งในรองเท้าที่มีนวัตกรรมและประสิทธิภาพในการสวมใส่ได้สูงที่สุดรุ่นหนึ่งที่สเปอร์รี่เคยผลิตมา เพื่อตอบโจทย์การใช้งานอเนกประสงค์ทั้งบนบกและบนน้ำได้อย่างน่าสนใจ มาพร้อมโครงสร้างแบบ Slip-On ที่ออกแบบมาเพื่อการถอดใส่อย่างง่ายดาย ตลอดจนการใช้วัสดุยาง EVA คุณภาพสูง เป็น Hydrophobic Material ที่มีลักษณะโดดเด่นคือการกันน้ำ ยิ่งทำให้รองเท้ารุ่นดังกล่าวเหมาะใช้งานกับทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะแห้งหรือเปียก พร้อมสนับสนุนให้ทุกคนออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรืออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ 

Sperry Water Strider ยังคงอัตลักษณ์ของการเกาะพื้นผิวบนเรือไว้เหมือนเดิม ด้วยเทคโนโลยี Adaptive Wave Siping พื้นรองเท้าที่กระจายน้ำใต้ฝ่าเท้า สามารถช่วยเพิ่มการยึดเกาะและการทรงตัวให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นรองเท้าที่อยู่ระหว่างกึ่งกลางของความแคชชวลและการใส่ลุยอย่างลงตัว 

ในปีนี้ สเปอร์รี่ ยังให้ความสำคัญแก่เรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ส่งรองเท้าคอลเลกชั่น “The Seacycled” ออกมาเพื่อแสดงจุดยืนต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้นตามแคมเปญ #MakeWaves ที่ผลักดันและมุ่งพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อทะเล ผ่านการใช้วัสดุหมุนเวียน พร้อมเปลี่ยนสินค้าของแบรนด์กว่า 50% ให้เป็นสินค้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลภายในปี 2024, การลดการใช้น้ำกว่า 1 ล้านแกลลอนภายในสิ้นปีนี้ และพยายามใช้แพ็คเกจในการบรรจุสินค้าให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

The Seacycled Collection จึงเป็นรองเท้า ที่ประกอบไปด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมวางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นในฤดูกาลนี้ อันได้แก่ Sperry Bahama II Seacycled, Sperry A/O 2 Eye Seacycled in Taupe และ Striper II CVO Seacycled   

วัสดุที่ The Seacycled Collection มีตั้งแต่ ผ้าใบรีไซเคิล (Recycled Canvas) ที่ทำมาจากเกร็ดพลาสติกแบบย่อยละเอียด โดยรองเท้าหนึ่งคู่ ใช้ขวดน้ำพลาสติกรีไซเคิลไปมากถึง 12 ขวด, หนังรีไซเคิล (Reclaimed Leather) ที่นำเศษหนังมาผลิตใหม่ ผสมกับยาง Polyurethane, ยางรีไซเคิล (Recycled Rubber) นำเศษยางมาผลิตเป็นยางรองเท้าใหม่ ทั้งแบบ Devulcanized คล้ายกับการนำยางเก่ามาหลอมใหม่และแบบ Grind Rubber ที่นำเศษยางมาหลอมให้เป็นแผ่นเดียวกัน และสุดท้ายคือ Undyed Naturals หรือหนังที่ไม่ผ่านการฟอก เพื่อลดปริมาณของเคมีพันธ์ที่อาจเกิดได้ในโรงงานและอาจเกิดเป็นของเสียที่ปล่อยลงทะเลต่อไป 

จากอุบัติเหตุในการลื่นตกเรือของกะลาสีที่ชื่อ พอล อัลลิ่ง สเปอร์รี่ สู่รองเท้าที่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าทั้งในวงการกีฬาทางน้ำและไลฟ์สไตล์ จนถึงตอนนี้ สเปอร์รี่ได้กลายเป็นแบรนด์รองเท้าโบ๊ทชูส์ในระดับแถวหน้า ที่ยังคงลุยตลาดไลฟ์สไตล์อย่างแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงไม่ทิ้งตัวตนของการเป็นแบรนด์รองเท้าที่เกิดขึ้นในทะเลสมคำกล่าว “Born On Water” ได้รับการยอมรับทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และละตินอเมริกา 

นอกจากเรื่องของดีไซน์ที่ไม่หยุดพัฒนามาตั้งแต่ปี 1935 สเปอร์รี่ยังคงมุ่งสร้างผลงานในแง่ของนวัตกรรม เพื่อที่จะเป็นผู้นำด้านรองเท้าสำหรับกีฬาทางน้ำโดยเฉพาะ อีกทั้งยังเป็นรองเท้าที่ใส่ได้สำหรับทุกโอกาส พร้อมลุยทุกการผจญภัยในทุกมุมโลก พร้อมยกระดับการแต่งตัวของทุกคน

สำหรับแฟนๆ Main Stand ที่สนใจ Sperry มอบส่วนลดพิเศษ 15% สำหรับสินค้าราคาปกติ (ไม่รวม Shoescare / Accessories) เพียงแจ้งโค้ดSPMS15 ที่หน้าร้านที่ร่วมรายการหรือใส่โค้ดในเว็บไซต์ (https://bit.ly/sperrythailand) หรือ Official Line Account (@sperrythailand)

 

ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม ถึง 31 พฤษภาคม 2022 

เข้าไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 
Facebook: Sperry Thailand
Instagram: @sperrythailand

Author

กฤติกร ธนมหามงคล

Executive Editor

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น