รถไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) กลายเป็นยานยนต์ที่ได้รับการพูดถึงในสังคมไทยกันมากขึ้น แม้ต้องยอมรับว่ายังค่อนข้างใหม่ต่อความเข้าใจของใครหลายคนอยู่ก็ตาม
ถึงกระนั้นเทรนด์ของรถ EV ถือเป็น "ชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง" ของอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อประเทศอื่นเดินหน้าสู่เทรนด์นี้ ประเทศไทยก็คงไม่พ้นที่จะต้องก้าวตามเช่นกัน
และนี่คือเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ของรถไฟฟ้า เทรนด์ใหม่ที่อาจเข้ามาเป็นตัวเลือกสำหรับรถคันต่อไปของคุณในอนาคตอันใกล้
อนาคตที่ใกล้มาถึง
คนรักรถทุกคนคงทราบดีว่าพลังงานฟอสซิลอย่าง น้ำมัน ยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักของรถยนต์บนโลกใบนี้ แต่การเผาไหม้ของน้ำมัน ก็สร้างมลภาวะทางอากาศ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือนับวันปริมาณน้ำมันที่เหลืออยู่ในโลกก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ
ด้วยเหตุนี้หลายประเทศและหลายกลุ่มประเทศจึงเริ่มมีนโยบายในการเปลี่ยนผ่าน จากการใช้น้ำมันสู่การใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น และนั่นนำมาซึ่งการออกนโยบาย "แบนการขายรถที่ใช้น้ำมัน"
สหราชอาณาจักร, เยอรมนี จะไม่มีรถที่ใช้พลังงานฟอสซิลเพียงอย่างเดียวขายอีกต่อไปตั้งแต่ปี 2030 ส่วน ญี่ปุ่น กับ สหรัฐอเมริกา จะเริ่มแบนในปี 2035 แม้แต่ในประเทศไทยเองก็เริ่มมีการพูดคุยถึงนโยบายนี้กันแล้วว่าอาจจะมีคำสั่งยกเลิกการขายรถที่ใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียวในปี 2035
เมื่อรถที่ใช้น้ำมันใกล้โบกมือลา แน่นอนว่าต้องมีรถที่ใช้พลังงานทางเลือกเข้ามาแทนที่ และพลังงานที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า หรือ EV นั่นเอง
ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยไอเสียจากการเผาผลาญพลังงาน แถมมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีส่วนประกอบที่ต้องบำรุงรักษาน้อยกว่า แถมยังสามารถชาร์จไฟเพื่อเติมพลังงานให้รถจากไฟบ้านได้ทันที ประกอบกับสมรรถนะที่ดี มีอัตราเร่งทันใจ ทำให้รถ EV กลายเป็นยานยนต์ที่เริ่มอยู่ในกระแส และถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยสำคัญ นั่นคือรัฐบาลไทยเพิ่งออกมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า หรือ EV ทั้งระบบ โดยนอกจากจะให้เงินอุดหนุนแล้วยังมีมาตรการลดภาษีอากรสำหรับรถ EV อีกด้วย
เมื่อมีมาตรการจูงใจเช่นนี้ อย่าได้แปลกใจหากค่ายรถต่าง ๆ เตรียมที่จะนำรถ EV ออกสู่ท้องตลาดมากขึ้น และรถคันต่อไปที่คุณคิดจะซื้อ อาจจะเป็นรถ EV ก็ได้ใครจะรู้
กระแสมี แต่ระบบนิเวศน์ดีพอรึยัง ?
จากที่กล่าวมาข้างต้นเชื่อว่าคุณคงจะเห็นภาพแล้วว่า อย่างไรเสียเทรนด์รถพลังงานทางเลือกโดยเฉพาะรถ EV จะต้องมาแน่ ๆ
แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันและถือเป็นสิ่งที่หลายคนตั้งคำถามไม่น้อยคือ ระบบนิเวศน์ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV Ecosystem ของประเทศไทยดีพอแล้วหรือยัง ?
คำถามแรกที่หลายคนถามคงหนีไม่พ้นเรื่องของตัวรถเอง เพราะเมื่อรถ EV ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน แบตเตอรี่ ตัวเก็บพลังงานจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คำถามคือแบตเตอรี่นั้นมีความจุมากพอสำหรับการเดินทางไกล ๆ ได้ขนาดไหน
และคำถามนี้ก็นำมาซึ่งอีกคำถามสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อ EV Ecosystem นั่นคือ จุดชาร์จ
จุดชาร์จ ก็เปรียบเสมือน ปั๊มน้ำมัน สำหรับรถที่ใช้น้ำมัน แต่ในขณะที่ปั๊มน้ำมันคือสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป จุดชาร์จสำหรับรถ EV นั้นยังมีน้อยกว่ามากในเวลานี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องดังกล่าวทำให้หลายคนไม่มั่นใจในรถ EV เพราะแม้คนที่ตัดสินใจซื้อรถ EV ก็จะต้องทำจุดชาร์จไว้ที่บ้าน แต่ในการเดินทางแล้วหากไฟฟ้าหมดจะไปชาร์จที่ไหน และหากเจอจุดชาร์จ จุดชาร์จที่มีจะชาร์จได้เร็วขนาดไหน นี่ยังไม่นับกรณีที่ผู้ใช้รถคันนั้นอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมหรือห้องเช่า ซึ่งต้องพึ่งพาระบบสาธารณูปโภคของโครงการเพื่อการนี้อีกด้วย
และสำหรับสายรักษ์โลก อีกคำถามที่คงต้องถามด้วยเช่นกันคือเมื่อแบตเตอรี่หมดสภาพและกลายเป็นขยะพิษ หลังทำการเปลี่ยนใส่แบตเตอรี่ลูกใหม่แล้วจะนำลูกเก่าไปแปรสภาพอย่างไรเพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม
รันวงการเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
แม้ในปัจจุบันหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจจนถึงขั้นกลัวที่จะใช้รถ EV แต่เมื่อเทรนด์โลกเดินไปในทิศทางนี้ ประเทศไทยเองก็หนีไม่พ้นที่ต้องเดินตาม และนี่คือโอกาสที่ภาคส่วนต่าง ๆ จะชี้ให้เห็นถึงข้อดีและสร้าง EV Ecosystem ให้เติบโต เพื่อพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง
และหนึ่งในภาคส่วนที่ต้องถือว่า "รันวงการ" รถ EV ในประเทศไทยอย่างแท้จริง คงหนีไม่พ้น MG แบรนด์รถยนต์ที่รุกตลาดนี้อย่างจริงจัง เพราะนอกจากปัจจุบัน MG จะมีรถ EV ออกสู่ตลาดขายจริงถึงหลายรุ่นแล้ว พวกเขายังยังเตรียมเปิดตัวรถ EV ในเซกเมนต์ต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ทุกกลุ่ม ด้วยดีไซน์ที่สวยงาม เทคโนโลยีนำสมัย และออปชั่นคุ้มค่าคุ้มราคาเช่นเดิม
ซึ่งรถ EV ของ MG ที่เปิดตัวพร้อมให้คนใช้รถได้สัมผัสแล้วก็คือ NEW MG ZS EV รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มาพร้อมกับออปชั่นครบครัน ในราคาสุดคุ้มค่า โดย NEW MG ZS EV D มาพร้อมราคา 949,000 บาท และ NEW MG ZS EV X มากับราคา 1,023,000 บาท นอกจากนี้ ยังมี MG EP รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รูปแบบสเตชั่นแวกอน ที่มากับราคาคุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม โดย MG EP มาพร้อมราคา 761,000 บาท และ MG EP PLUS มาในราคา 771,000 บาท
นอกจากตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มของรถไฟฟ้าในอนาคตแล้ว MG ยังได้ลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงยังอยู่ในระหว่างการศึกษาและวิจัยในเรื่องของแบตเตอรี่ใหม่ที่จุพลังงานได้มากขึ้น เพื่อรองรับการเดินทางให้ไกลขึ้น ตลอดจนวิธีการจัดการแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว เพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ส่วนในเรื่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรถไฟฟ้านั้น MG เน้นทำการตลาดกับคนรุ่นใหม่ผู้สนใจในเทคโนโลยี และมีแผนที่จะเข้าไปสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเตรียมความพร้อมให้คนรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันสังคมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างและเพิ่มจำนวนบุคลากรที่มีความชำนาญด้าน EV เข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต
และอีกเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับรถไฟฟ้า นั่นคือ จุดชาร์จ ซึ่ง MG คือหนึ่งในหัวหอกในการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเสริมความมั่นใจในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรองรับการใช้งานที่มากขึ้น รวมถึงยังเป็นการปลดล็อกความกังวลเรื่องระยะทางการใช้งานต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง
โดยปัจจุบัน MG มีสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว (DC Charger) ภายใต้ชื่อ "MG Super Charge" มากกว่า 120 สถานีทั่วประเทศ และมีเป้าหมายในการติดตั้งเพิ่มเติมอีกกว่า 500 แห่ง ด้วยการประสานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้รถ EV ของ MG ขับขี่ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อสถานีชาร์จหาไม่ยากอีกต่อไป ไปเมืองใหญ่ที่ไหนก็หาเจอ เพียงแค่เลี้ยวเข้าโชว์รูม MG เท่านั้น แถมยังมีสถานี MG Super Charge ในสถานที่อื่น ๆ เช่น ปั๊มน้ำมันบางจาก อีกด้วย
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาคือผลงานจากความมุ่งมั่นของ MG เพื่อขับเคลื่อนและสร้างระบบนิเวศน์ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV Ecosystem ของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน