เพียงแค่เอ่ยคำว่า "น้ำตาล" ขึ้นมา สำหรับสายออกกำลังกาย ที่พยายามอย่างยิ่งเพื่อให้ร่างกายฟิตเฟิร์ม ควบคู่ไปกับการมีสุขภาพดีก็แทบอยากจะเบือนหน้าหนีแล้ว เพราะน้ำตาลคืออุปสรรคสำคัญที่จะขัดขวางไม่ให้พวกเขาไปถึงเป้าหมายที่วางไว้สำเร็จ ... นี่คือความคิดที่ฝังติดหัวทุกคนมาอย่างยาวนาน
ถึงแม้จะตระหนักรู้เป็นอย่างดีว่าน้ำตาลคืออุปสรรค แต่การจะหลีกเลี่ยงมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะน้ำตาลคือวัตถุดิบหลักในการปรุงอาหารแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะมื้อเช้า มื้อเที่ยง มื้อเย็น หรือของกินเล่นระหว่างวันก็ล้วนแต่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบแทบทั้งสิ้น นอกจากนั้นเครื่องดื่มอย่าง "กาแฟ" ที่ปัจจุบันแทบจะกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับวัยทำงานไปแล้วก็มีน้ำตาลอยู่ในนั้นเช่นกัน
คำถามคือ น้ำตาลคือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงขนาดนั้นจริงหรือเปล่า ในหนึ่งวันเราสามารถบริโภคน้ำตาลได้มากแค่ไหน และกาแฟแบบไหนที่ดื่มได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำตาล ติดตามได้ที่ Main Stand
น้ำตาล ... วายร้ายสำหรับการออกกำลังกาย
ความเชื่อที่ว่าน้ำตาลคือวายร้ายสำหรับร่างกายและการออกกำลังกายนั้นถูกต้องทุกประการ เพียงแต่มันมีข้อแม้เล็ก ๆ อยู่ว่า "ในกรณีที่บริโภคมากเกินไป"
การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากเกินไปนั้นนอกจากข้อเสียเรื่องสุขภาพอย่างที่ทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วเช่นเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน, โรคอ้วน, โรคหัวใจ, ฟันผุ, ความดันโลหิตสูง, หรือแม้แต่มะเร็งบางชนิดแล้ว ก็ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการออกกำลังกายด้วย
"ยิ่งปริมาณน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นเท่าไร ระบบภายในร่างกายก็ยิ่งเสื่อมโทรมลงเร็วเท่านั้น น้ำตาลคือแหล่งสร้างพลังงาน แต่ถ้าคุณบริโภคมันมากเกินไป ในครั้งต่อไปร่างกายก็ยิ่งต้องการน้ำตาลเพิ่มขึ้นไปอีกเพื่อสร้างพลังงานออกมา" ลิซ่า มอสโควิช ผู้อำนวยการสถาบัน NY Nutrition Group กล่าวกับ Glamour
นอกจากประเด็นด้านบนแล้ว การบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปยังส่งผลให้ระบบการบ่อยอาหารทำงานได้ช้าลงอีกด้วย และน้ำตาลส่วนเกินที่ไม่ถูกย่อยจะถูกร่างกายเปลี่ยนเป็นพลังงาน ทำให้พลังงานที่ได้รับมีปริมาณมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ดีต่อคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย
อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อระบบย่อยอาหารทำงานได้ช้าคือร่างกายอาจขาดแคลนโปรตีน สารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ และจำเป็นสำหรับผู้ที่ใช้งานกล้ามเนื้อหนักในช่วงที่ออกกำลังกาย อาจส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หรือแม้แต่ตะคริวก็เป็นไปได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามในแง่หนึ่งน้ำตาลก็ยังคงจำเป็นต่อร่างกายอยู่ เพียงแต่ต้องบริโภคมันในปริมาณที่เหมาะสม ... แล้วปริมาณเหมาะสมที่ว่ามันคือเท่าไรกันนะ ?
น้ำตาลที่ควรได้รับในหนึ่งวัน
จากผลสำรวจของ American Heart Association หรือองค์กรผู้ป่วยโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาเผยว่า 87% ของผู้คนในสหรัฐอเมริกายังคงสับสนในเรื่องข้อมูลปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน
จากข้อมูลดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะถึงแม้ในยุคปัจจุบันที่การแพทย์พัฒนาก้าวหน้าไปไกลแล้ว แต่เรื่องของปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันก็ยังคงมีข้อมูลที่ไม่ตรงกันจากสถาบันการแพทย์ต่างๆ ที่เผยออกมา อย่างไรก็ตามก็ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
ในส่วนของ American Heart Association เผยว่า
- ผู้ชายไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 9 ช้อนชา หรือประมาณ 35 กรัมต่อวัน คิดเป็นพลังงาน 150 กิโลแคลอรี่
- ผู้หญิงไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา หรือประมาณ 25 กรัมต่อวัน คิดเป็นพลังงาน 100 แคลอรี่
ในส่วนขององค์กรอาหารและยาประเทศไทย หรือ อย. ก็มีการเผยข้อมูลออกมาเช่นกัน โดยไม่ได้ใช้เกณฑ์เรื่องเพศแบ่ง แต่เป็นเกณฑ์เรื่องอายุ
- วัยรุ่นหญิงชายอายุ 14-25 ปี ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 24 กรัมต่อวัน หรือคิดเป็น 6 ช้อนชา
- หญิงชายทั่วไปที่ใช้พลังงานมาก ผู้ที่ออกกำลังกาย หรือนักกีฬา ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 32 กรัมต่อวัน หรือคิดเป็น 8 ช้อนชา
ถึงจะไม่ตรงกันเป๊ะ ๆ แต่ก็ถือว่าข้อมูลใกล้เคียงกัน และถ้าถามว่าปริมาณดังกล่าวถือว่าเยอะหรือน้อย ?
ต้องบอกว่าไม่เยอะเลย เพียงแค่น้ำอัดลมกระป๋องเดียวก็แทบจะครอบคลุมปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวันทั้งหมดแล้ว ต่อให้คุณจะรู้สึกว่าวันนี้แทบไม่ได้รับประทานน้ำตาลเลย แต่อย่าลืมว่าอาหารทุกชนิดมีน้ำตาลผสมอยู่ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะบริโภคน้ำตาลเกินปริมาณที่กำหนดทุกวันโดยไม่รู้ตัวกันได้
ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือลดปริมาณน้ำตาลที่บริโภคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง การเริ่มจากเครื่องดื่มใกล้ตัวที่ดื่มมันอยู่แทบทุกวันอยู่แล้วอย่าง "กาแฟ" ก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวทีเดียว
กาแฟน้ำตาลน้อย ทางเลือกใหม่สำหรับคนยุคนี้
ถ้าต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลให้ไม่เกินค่ามาตรฐานที่ร่างกายต้องการ ก่อนอื่นต้องตัดกาแฟคาปูชิโน่ หรือลาเต้แก้วใหญ่ ใส่วิปครีมเยอะ ๆ ของแบรนด์ดังต่าง ๆ ไปก่อนเลย เพราะในแต่ละแก้วของกาแฟเหล่านั้นมีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 10-15 ช้อนชา เรียกว่าดื่มแก้วเดียว ร่างกายก็ได้รับน้ำตาลในปริมาณสำหรับ 2 วันเลยทีเดียว
ดังนั้นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับสายออกกำลังกายที่ขาดเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้มันทำลายสุขภาพคือ "กาแฟแบบซอง 3 in 1" เพราะถ้าเทียบกับกาแฟด้านบน ต้องบอกว่ากาแฟชนิดนี้มีปริมาณน้ำตาลต่ำกว่ามาก
"คุณสามารถเลือกทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพได้ โดยต้องกำจัดส่วนเกินที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายออกไปให้มากที่สุด" ลิซ่า มอสโควิช กล่าว
สำหรับกาแฟแบบซอง 3 in 1 ที่มีจำหน่ายกันทั่วไปในท้องตลาดบ้านเรานั้นโดยเฉลี่ยแล้วหนึ่งซองจะมีปริมาณน้ำตาลอยู่ที่ 11-13 กรัม หรือคิดเป็น 2.5-3 ช้อนชา ซึ่งถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับกาแฟปั่นใส่แก้วที่หลายคนชื่นชอบ
แต่สำหรับร่างกายที่บริโภคน้ำตาลได้เพียง 32 กรัมต่อวัน การที่กาแฟ 1 แก้วมีน้ำตาล 13 กรัม หรือเกินกว่า 1 ส่วน 3 ของปริมาณที่ควรได้รับก็ยังถือว่าสูงอยู่ดี ดังนั้นในบทความนี้เราจึงขอแนะนำทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย อยากมีสุขภาพที่ดี แต่ก็ขาดกาแฟไม่ได้
Super Coffee สูตร Low Sugar หรือ ซุปเปอร์กาแฟ สูตรหวานน้อย กาแฟปรุงสำเร็จที่ผสานความลงตัวของเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมกับครีมเทียมและน้ำตาลอย่างพอเหมาะ ทางเลือกใหม่สำหรับคนที่อยากดื่มกาแฟรสชาติกลมกล่อมอร่อย ๆ และยังต้องการดูแลสุขภาพ โดยสูตรนี้ลดน้ำตาลลง แต่ความเข้มข้น หอมละมุนนุ่มลิ้น รสชาติยังดีเยี่ยมไม่เปลี่ยนไป
โดยในหนึ่งซองมีปริมาณน้ำตาลเพียง 7 กรัมเท่านั้น น้อยกว่ากาแฟแบบซอง 3 in 1 แบบทั่วไปเกือบเท่าตัว นอกจากนั้นยังให้พลังต่ำเพียง 70 กิโลแคลอรี่ (พลังงานจากไขมัน 20 กิโลแคลอรี่) ต่อซองอีกด้วย
ในยุคที่ต้อง Work-Life-Balance การดื่มกาแฟเพื่อความสดชื่นในการทำงาน และการออกกำลังกายคือสิ่งที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ Super Coffee สูตร Low Sugar คือทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัวที่สุด
สั่งซื้อสินค้าได้ที่นี่เลย
Lazada : www.lazada.co.th/products/super-coffee-low-sugar
Shopee : shopee.co.th/Super-Coffee-Low-Sugar
JD Central : item.jd.co.th/9266478
แหล่งอ้างอิง:
https://oryor.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A2/detail/media_printing/1698
https://my-best.in.th/9585
https://www.heart.org/en
https://www.stack.com/a/the-truth-about-sugar-for-athletes
https://www.p2life.com/blogs/blog/how-sugar-affects-your-training-and-performance
https://www.glamour.com/story/coffee-sugar-soda
