การออกจากตำแหน่งประธานของ แดเนี่ยล เลวี่ ผู้กุมชะตา ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ มายาวนาน ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสโมสร ความมั่นคงทางการเงิน การตัดสินใจซื้อขายนักเตะ และทิศทางฟุตบอลของทีม กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน …
อนาคตของสเปอร์สหลังยุคเลวี่ จะเป็นเส้นทางสู่ แชมป์ อย่างที่แฟนบอลรอคอย หรือกลายเป็น ความวุ่นวาย ที่สั่นสะเทือนทั้งทีมและแฟน ๆ ของพวกเขา ?
ติดตามที่ Main Stand
มันสมองนักบริหาร
แดเนียล เลวี่ เกิดและเติบโตขึ้นที่แคว้นเอสเซ็กซ์ (Essex) ประเทศอังกฤษ เขามีเชื้อสายยิวติดตัวมาจากครอบครัวชนชั้นกลาง ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายเสื้อผ้าจนประสบความสำเร็จ
จุดเริ่มต้นในการเข้ามาบริหารสเปอร์สของ แดเนี่ยล เลวี่ เริ่มมาจากการเป็นแฟนบอลทีมนี้ก่อน ด้วยรากฐานครอบครัวที่เป็นผู้มั่งคั่งบนเกาะอังกฤษ จึงทำให้เขามีโอกาสได้เดินทางไปรับชมการแข่งขันเกมลีกที่ สเปอร์ส พบกับ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส เมื่อปี 1960
ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ช่วงเวลานั้นนับว่าเป็นทีมที่มีเสน่ห์ ทั้งเรื่องแผนการเล่น คุณภาพนักเตะ และสปิริตความเป็นนักสู้ รวมถึงมีความสำเร็จเป็นรูปธรรมที่มีถ้วยรางวัลติดมือทุกฤดูกาล นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ แดเนียล เลวี่ หลงรักความเป็นสเปอร์สนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ทันทีที่สำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 จากคณะเศรษฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ดิน มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เขาได้กลับมารับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวและกลายเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่น ๆ อีกหลายสายงาน
จนกระทั่งได้เจอและเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับ โจ ลูอิส นักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่กำลังสนใจธุรกิจเกี่ยวกับกีฬา หลังค้นพบในช่วงปลายยุค 1990s ว่า ฟุตบอลยุโรปกำลังเปลี่ยนเป็น "ธุรกิจโลก" เพราะเป็นกีฬาที่มีศักยภาพในการทำกำไรจากหลายช่องทาง เช่น ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด, การขายนักเตะ, การตลาด ซึ่งมันทำให้เขาปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า ฟุตบอลเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้าง "เครือข่าย" เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรได้
พวกเขาได้เริ่มก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า ENIC ขึ้นมา และระดมทุนเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลเพื่อเริ่มธุรกิจ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็น สเปอร์ส ทีมโปรดของเขา แถมยังมีอีกหลายทีมที่กลุ่ม ENIC กระจายเงินไปซื้อหุ้นไว้อีกด้วย
ENIC ที่นำโดย เลวี่ เริ่มซื้อหุ้นของทีมเป็นครั้งแรกในช่วงนั้น ก่อนจะเพิ่มจำนวนหุ้นขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในปี 2001 และดำรงตำแหน่งประธานสโมสร ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของทีมเลยก็ว่าได้
ผู้กอบกู้
สิ่งที่ เลวี่ ต้องการ คือการพาสเปอร์สกลับมายิ่งใหญ่เหมือนกับที่เกิดขึ้นในความทรงจำครั้งอดีตของเขา เพียงแต่เขาเป็นนักธุรกิจที่ต้องมองอะไรให้เป็นสเต็ป เขาจึงเริ่มตั้งเป้าแรกก่อน นั่นคือการทำให้ สเปอร์ส ก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับเดียวกับกลุ่ม "บิ๊กโฟร์" แห่งยุค 2000s อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ปี เขาก็พาทีมเข้าใกล้สโมสรเหล่านี้มากขึ้น และจาก บิ๊กโฟร์ ผู้คนก็เรียกว่า "บิ๊กซิกส์" โดยเพิ่ม แมนฯ ซิตี้ และ สเปอร์ส เข้าไปเป็น 1 ใน 6 ทีมด้วย
ปรัชญาในการพัฒนาทีมของ เลวี่ นั้นควบคู่กันไปทั้งในและนอกสนาม โดยในสนามนั้น เขาต้องการตั้งต้นจากเฮดโค้ชที่มีชื่อเสียง คนที่จะพาทีมจบท็อป 4 ได้เป็นอย่างต่ำในทุกฤดูกาล เพื่อไปเล่นถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งแรงจูงใจคือหากทำได้จะมีโบนัสก้อนงามมอบให้ แต่ถ้าทำไม่ได้ หลุดท็อปโฟร์ โค้ชคนนั้นก็มีสิทธิ์จะกระเด็นออกจากตำแหน่งทันทีได้เหมือนกัน
ส่วนเรื่องของการเสริมทัพ เลวี่ ถูกรู้จักกันในฐานะ "ประธานจอมเขี้ยว" เรื่องการซื้อขายนักเตะ ที่กว่าจะปล่อยนักเตะออกจากทีมสักคนต้องได้ราคาที่ถูกใจจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ปล่อย ไล่เรียงมาตั้งแต่ยุค ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ, แกเร็ธ เบล และล่าสุดอย่าง แฮร์รี่ เคน ที่เขาเคยปฏิเสธเงินของ แมนฯ ซิตี้ ที่ยื่นซื้อเคนในช่วงปี 2020 ด้วยราคาถึง 120 ล้านปอนด์มาแล้ว เพราะเขาเชื่อว่าเคนสำคัญกับทีมมากว่าการขาย และถ้าขายต้องได้ 150 ล้านปอนด์เท่านั้น
สาเหตุที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะว่า เขาถือคติการรักษาสภาพคล่องทางการเงินของสโมสรให้เสียหายน้อยที่สุด เช่นดีลของ เดยัน คูลูเชฟสกี้ ตัวรุกจอมแอสซิสต์ ที่ยืมตัวมาจากยูเวนตุสด้วยสัญญา 18 เดือน และพ่วงซื้อขาดในภายหลังที่ราคา 25.6 ล้านปอนด์ นับเป็นเคสตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า แดเนียล เลวี มีความรัดกุมในเรื่องการดึงนักเตะสักรายเข้ามาสู่ทีม นี่จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงการวางแผนที่ละเอียดทุกครั้งเพื่อให้สโมสรห่างไกลจากภาวะหนี้สิน
เขาใส่ใจเรื่องหนี้สินและสภาพคล่องเป็นพิเศษ ซึ่งมันไม่ใชเรื่องเซอร์ไพรส์เลย เพราะเขาเป็นซีอีโอสายบริหารธุรกิจมากกว่า ดังนั้นความโดดเด่นจริง ๆ ของเขาคือเรื่องการบริหารนอกสนามมากกว่า เพราะเขาเป็นคนที่พาสปอนเซอร์ระดับโลกมายังสโมสรแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น AIA, Nike, HSBC และ HPE ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของโลกให้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนสเปอร์สอีกด้วย
ถ้าจะถามว่าผลงานอะไรที่เด่นชัดที่สุดของเขาก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า การพัฒนาสนามแข่งขันจาก ไวท์ ฮาร์ท เลน กลายเป็น ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นการพลิกให้สนามเหย้าของสเปอร์ส เป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลที่ทันสมัยที่สุดในโลก จาการใช้งบประมาณที่เขาหามาถึง 1 พันล้านปอนด์
การเปลี่ยนแปลงในยุคของ เลวี่ สามารถพาทีมมาได้ไกลก็จริง แต่ ณ ตอนนี้เหมือนกับว่ามันจะมาถึงปลายทางแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่ง แต่คนที่อยู่เหนือกว่าเขาอย่าง "ตระกูลลูอิส" ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ENIC ที่เป็นเจ้าของสโมสรสเปอร์ส มองว่าทีมควรไปต่อสู่ระดับที่สูงขึ้น ซึ่งความคิดนี้เองดูเหมือนว่าแฟนบอล สเปอร์ส หลาย ๆ คนก็คิดเห็นไม่ต่างกัน
สู่ก้าวที่ใหญ่กว่า
แม้สโมสรจะเติบโตในเชิงธุรกิจ แต่ในสนามนั้น ทุกฝ่ายมองว่ามันควรจะไปได้ไกลกว่านี้ แม้พวกเขาจะเพิ่งได้แชมป์ ยูโรป้า ลีก ในซีซั่น 2024-25 ที่ผ่านมา แต่ตระกูลลูอิส ก็เชื่อว่าความสำเร็จในรอบ 20 ปีนี้ ไม่สามารถปิดแผลทั้งหมดในยุคที่ เลวี่ บริหารได้ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่แค่ถ้วยอย่างเดียวเท่านั้น
พวกเขาต้องการชนะมากกว่านี้ ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ และมีถ้วยแชมป์ที่มากกว่านี้ ซึ่งมันเป็นไปได้ยากหากยังมี เลวี่ บริหาร อยู่ เพราะเขาเป็นคนที่ถูกวิจารณ์อยู่บ่อย ๆ ว่าเน้นธุรกิจและกำไรมากกว่าความสำเร็จ
โดยเฉพาะเคสที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ความนิยมของ เลวี่ ลดน้อยลงในมุมมองของแฟนบอล สเปอร์ส คือ ไม่ยอมสนับสนุนเรื่องเงินแบบเต็มที่ในตอนที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เป็นกุนซือ ซึ่งในช่วงเวลานั้นสเปอร์ส ได้ไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกทุกปี และเคยคว้ารองแชมป์ยุโรปในฤดูกาล 2018-19 มาแล้ว แต่ทีมชุดนั้นกลับไม่ได้งบประมาณจาก เลวี่ เพื่อต่อยอดแบบเต็มพิกัด ซึ่งตอนนี้มันช้าไปแล้ว เพราะกฎทางการเงินได้เข้ามาครอบคลุมจนไม่สามารถอัดฉีดเงินเพื่อการซื้อขายโดยตรงได้อีกต่อไป
จริง ๆ การเปลี่ยนแปลง ณ ตอนนี้ ไม่ใช่การขยับแบบหักหัวรถแบบทันที เพราะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงภายในมาสักพักแล้ว ณ ปัจจุบัน สเปอร์ส มีซีอีโออย่าง วินัย เวนเกตชาม ที่ฝากผลงานบริหาร อาร์เซน่อล จนกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของลีกในยุคของ มิเกล อาร์เตต้า และยังมีประธานที่ปรึกษาอย่าง ปีเตอร์ แชร์ริงตัน ที่เก่งเรื่องนอกสนาม ซึ่งทั้ง 2 คนแบ่งการทำงานกันชัดเจน วินัย ดูแลเรื่องการบริหารด้านฟุตบอล ส่วน แชร์ริงตัน มีหน้าที่ดูแลภาพรวมทั้งหมดของทีม
ไม่มีใครการันตีได้ว่าจากนี้การเปลี่ยนแปลงจะนำมาสู่ผลบวกหรือผลลบ แต่ ณ ตอนนี้ สเปอร์ส จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสู่ก้าวที่ใหญ่ขึ้น พวกเขาต้องการผู้บริหารที่กล้าลงทุนกับฟุตบอล มากกว่าการลงทุนเพื่อหากำไรจากเรื่องอื่น ๆ นอกสนาม
สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคใหม่อาจจะนำมาซึ่งเรื่องเชิงบวกอย่างเช่นการกล้าลงทุนกับการเสริมทัพนักเตะมากขึ้น เลือกนักเตะที่มีดีกรีดีขึ้น ภายใต้มุมมองการบริหารฟุตบอลแบบใหม่ที่มีโมเดลการทำทีมแบบฟุตบอลเป็นศูนย์กลาง แบบที่ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ใช้อยู่ในเวลานี้
นอกจากนี้ เรื่องความสัมพันธ์กับแฟนบอลก็มีโอกาสที่ดีขึ้น เพราะอย่างที่รู้กันแฟนบอลสเปอร์สก็ไม่ได้ชื่นชอบ เลวี่ นัก เนื่องจากความเขี้ยว หรือ ขี้เหนียว ก็แล้วแต่คนจะใช้เรียก ซึ่งปลายทางของสิ่งเหล่านี้คือทีมชนะน้อยไป ได้แชมป์น้อยไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อแฟนบอลมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่แฟนบอลสามารถจับต้องได้จริง ๆ พวกเขาไม่ใช่ผู้บริหารที่ต้องมาเครียดกับเรื่องกำไร-ขาดทุนของสโมสร ต่อให้สิ่งเหล่านี้จะสำคัญมากในสายตาผู้บริหารอย่าง เลวี่ ก็ตาม
การที่ เลวี่ ลงจากตำแหน่งอาจนำผลกระทบเชิงบวกในระยะสั้นได้ เพราะบรรยากาศแฟนบอลและทีมอาจดีขึ้นเพราะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ส่วนในระยะยาว หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ พวกเขาอาจจะมีแชมป์มากขึ้น (เพราะสร้างทีมด้วยนักเตะที่มีคุณภาพมากขึ้น)
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการตัดสินใจนี้จะไร้ความเสี่ยง เพราะเมื่อ เลวี่ จากไป มันหมายความว่าทีมได้เสียบุคคลที่เชี่ยวชาญด้านการเงินและการเจรจาธุรกิจในคราวเดียวกัน คนที่ทำให้ทีมมีสนามใหม่ทันสมัย, รายได้มั่นคง, และมีหนี้สินที่ถูกบริหารอย่างเข้มงวด การเปลี่ยนผู้นำอาจทำให้ความแข็งแรงทางธุรกิจสั่นคลอน เพราะขาดคนที่เข้มงวดเรื่องแบบนี้ไป
และถ้าทีมเกิดขาดทุนติด ๆ กันหลายปีขึ้นมา การแก้ตัวเลขในบัญชีของยุคนี้ก็ไม่ได้ทำง่าย ๆ เพราะกฎการเงินดังที่ได้กล่าวไป
นอกจากนี้สิ่งที่จะหายไปพร้อมกับ เลวี่ คือเครือข่ายธุรกิจที่เขาได้สร้างไว้ตลอด 20 ปี นอกจากนี้คุณต้องไม่ลืมว่า เลวี่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเจรจาชั้นยอดในตลาดนักเตะ การขาดเครือข่ายนี้ของเขาไป อาจจะทำให้สเปอร์ส เสียเปรียบในบางดีลหลังจากนี้ก็เป็นได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้คิดมาแล้ว และพร้อมที่จะเสี่ยงเพื่อก้าวสำคัญของสโมสร ... การจะก้าวไปสู่ระดับที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม จำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งตอนนี้ สเปอร์ส ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว ที่เหลือก็ต้องมารอดูกันว่าหลังจากเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ พวกเขาจะเดินไปทิศทางไหน
แหล่งอ้างอิง
https://www.tottenhamhotspur.com/daniel-levy/#:~:text=Mr.,he%20has%20held%20since%201995.
https://www.football.london/tottenham-hotspur-fc/news/daniel-levy-tottenham-supporters-mistakes-26741193#
https://thai-tottenham.blogspot.com/2007/06/enic.html
https://www.blockdit.com/posts/5d962008b917cc0ce7347076
https://www.themarque.com/profile/daniel-levy
https://en.as.com/soccer/who-is-tottenham-chairman-daniel-levy-net-worth-family-salary-n/
https://theathletic.com/4524016/2023/05/17/tottenham-levy-mistakes-history/
https://talksport.com/football/1366399/tottenham-antonio-conte-explosive-interview-southampton-draw/
https://www.tnnthailand.com/news/epl/147997/
https://gossipgist.com/daniel-philip-levy/
https://issuu.com/desmond6/docs/tse_mar_20_web/s/10424217
https://thestandard.co/jose-mourinho/
https://cartilagefreecaptain.sbnation.com/2020/5/23/21268255/tottenham-hotspur-mauricio-pochettino-gracious-honest-first-major-interview-sacking
https://www.theguardian.com/football/2023/may/25/jose-mourinho-tottenham-daniel-levy-roma-feelings
https://thestandard.co/tottenham-hotspur-release-nuno-espirito-santo/
https://www.theguardian.com/football/2000/dec/21/newsstory.sport6