แม้จะเป็นเรื่องยากที่นักเตะตำแหน่งฟูลแบ็กอย่าง นูโน่ เมนเดส จะคว้ารางวัล บัลลงดอร์ ในปี 2025 ทว่าในปีนี้จอมแกร่งจาก เปแอสเช ได้แชมป์กับสโมสร 3 รายการใหญ่, ได้แชมป์กับทีมชาติโปรตุเกสอีก 1 รายการ และที่สำคัญคือ เขาเป็นผู้หยุด "ปีกขวา" ตัวท็อปที่ดีที่สุดในยุคนี้ถึง 3 คนแบบคนทั้งโลกได้เห็นกับตา
โม ซาลาห์ จาก ลิเวอร์พูล, บูกาโย่ ซาก้า จาก อาร์เซน่อล และ ลามีน ยามาล กับทีมชาติสเปน นั่นทำให้สปอตไลต์ส่องมาที่เขา และเรื่องราวของเขาตั้งแต่เริ่มจนถึงวันนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้แข้งดังคนไหนทั้งนั้น
ติดตามทั้งหมดกับ Main Stand
ดิ้นรนในโปรตุเกส
โปรตุเกส เป็นชาติแรก ๆ ที่เริ่มการล่าอาณานิคมในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน และสิ่งนั้นทำให้ทุกวันนี้ในประเทศของพวกเขามีชุมชนของกลุ่มผู้อพยพจากชาติต่าง ๆ มากมาย ที่เข้ามาอยู่ในประเทศของพวกเขา ทั้งจากเหตุผลของเรื่องสงคราม, การค้า หรือแม้แต่ทางการทูต ซึ่งชาวแองโกลา เป็นผู้อพยพมากที่สุดเป็นอันดับ 2 จากหลากหลายเชื้อชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศโปรตุเกส
แองโกลา เป็นหนึ่งในอดีตอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปแอฟริกา พวกเขาหลายคนอพยพมาเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือหนีภัยสงครามในอดีต โดยมีชุมชนขนาดใหญ่ในเมืองลิสบอน โดยเฉพาะในเขต ซินตรา (Sintra), อามาดอร่า (Amadora) และบางย่านแถบชานเมือง
ซึ่งที่ย่าน ซินตรา นี่แหละ มีครอบครัวหนึ่ง นามว่าครอบครัว "เมนเดส" ที่อยู่กันตามอัตภาพ ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้อดอยาก ดังนั้นความฝันของครอบครัวนี้ก็คือการหวังว่าสักวัน พวกเขาจะยกระดับขึ้นมาเป็นครอบครัวที่มีกินมีใช้ และทำให้ลูก ๆ ของพวกเขาได้เดินตามความฝันจนสุดทางในแบบของตัวเอง และสำหรับ นูโน่ เมนเดส ที่จดจำทุกความเป็นอยู่ของครอบครัวเมื่อครั้งอดีตได้ดี เข้าใจดีว่าพ่อ-แม่ ซื้อโอกาสให้กับเขาอย่างเต็มที่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะให้ได้มากกว่านี้ ที่เหลือนั้นขึ้นอยู่กับเขา
"ฝันของผม ผมต้องพยายามคว้ามันด้วยตัวเอง และผมรู้ดีว่าทั้งหมดมันขึ้นอยู่ตัวผมเองนี่แหละ ผมเตือนตัวเองประจำในเวลาที่เหนื่อยหรือท้อ ด้วยคำพูดที่ว่า 'นี่เราได้ใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากจะเป็นหรือยัง' " นูโน่ เมนเดส แบ็กซ้ายแชมป์ยุโรปของ เปแอสเช เล่าความหลัง และภาพแห่งความพยายามของเขาก็พรั่งพรูออกมาเพื่อให้ทุกคนรู้ว่า กว่าจะถึงจุดนี้เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง เพราะเส้นทางของเขาไม่มีช่วงไหนเลยที่เขาสามารถคิดแต่จะทำเป็นเล่น หรือเล่นสนุกไปวัน ๆ แบบเด็ก ๆ ได้ ซึ่งเรื่องนี้มันเริ่มตั้งแต่ตอนเขาอายุ 9 ขวบเลยทีเดียว
"ในชุมชนผู้อพยพ พวกเรามุ่งหน้าที่จะพัฒนาตัวเองกันให้ถึงขีดสุดเพื่อตัวเอง เราอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ อยากมีโอกาสได้อยู่ในสโมสรใหญ่ ๆ และสำหรับผม ผมคว้ามันได้ตั้งแต่ 10 ขวบ จากนั้นผมไม่เคยปล่อยให้โอกาสข้างหน้าหลุดไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว" เมนเดส เล่าถึงประสบการณ์ที่เขาไปคัดตัวเข้าทีมอคาเดมี่ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ที่ที่ให้ทุกอย่างก่อนที่เขาจะมีวันนี้
อากิล โมมาเด (Akil Momade) แมวมองของ สปอร์ติ้ง คือคนที่เห็นแววของ เมนเดส ตอนที่เล่นให้กับทีมสมัครเล่นอย่าง เปเปอร์ตาร์ เมื่อเขาเดินทางไปที่บ้านของ เมนเดส พบพ่อ-แม่ และคุยกับเด็กเรียบร้อย เขาก็พบว่า นูโน่ เมนเดส เปลี่ยนท่าทีจากความหวาดกลัวกลายเป็นความกล้าอย่างรวดเร็ว เขาบอกว่าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง เขายินดีที่จะย้ายออกจากบ้านไปอยู่ในหอพักที่ทางสโมสรจัดให้ ซึ่งนั่นคือความเด็ดขาดของเด็กอายุ 10 ขวบ ที่ต่อให้จะเป็นวัยที่ต้องการพ่อ-แม่ แค่ไหน แต่สำหรับเขา ความฝันชัดเจนกว่าเสมอ
เรื่องเล่าจาก โมมาเด ที่พูดถึงความยอดเยี่ยมของ เมนเดส ตั้งแต่ยังเด็กคือ เขาคัดตัวผ่านเข้าสู่ทีมในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกริมเส้น แต่เมื่อเขาสู่ระบบเยาวชนเต็มระบบ ทีมงานโค้ชมองเห็นว่าร่างกายและสไตล์การพาบอลไปข้างหน้าที่อาจจะไม่ได้คล่องมาก แต่ใช้ความแข็งแกร่งทะลุทะลวง ทำให้เขาเหมาะกับตำแหน่งฟูลแบ็ก ที่อาศัยพละกำลัง ความอึด และการเติมมาจากข้างหลังมากกว่า
ซึ่งเมื่อ เมนเดส รู้ว่าตัวเองต้องเล่นแบ็ก เจ้าตัวก็ปรับพฤติกรรมการฝึกซ้อมตามที่ทีมโค้ชสั่งทันที เรียกได้ว่าไม่ว่าฝั่งโค้ชจะบรีฟอะไรมา เมนเดส จัดการตามสั่งทุกอย่าง และเขายังทำเกินที่สั่งอีกด้วย เมนเดส มักจะมาใช้ฟิตเนสของทีมพร้อม ๆ กับตอนที่ภารโรงเอากุญแจมาเปิดห้อง และหลังจากเลิกซ้อมกับทีม เขาก็จะกินอาหาร ผ่อนคลาย และเข้านอนเป็นเวลาโดยที่แทบจะไม่ใช้โซเชียลมีเดียเลย ทุกอย่างโฟกัสกับการพัฒนาตัวเองล้วน ๆ
"การที่คุณเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีกินมีใช้มากนัก มันทำให้คุณตระหนักถึงเป้าหมายที่คุณจะไปและจุดที่คุณยืนอยู่ ... พ่อแม่เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจเสมอ พวกท่านไม่ได้รวย แต่พวกท่านให้ผมทุกอย่างสำหรับการเติบโตบนเส้นทางนี้" เมนเดส กล่าว
ความจริงจังขนาดนั้นส่งผลให้อาชีพของเขาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว เมนเดส ขยับเล่นแบกอายุข้ามรุ่นมาตลอด จนกระทั่งติดทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ตั้งแต่อายุ 17 ปี และได้ลงสนามในเกมเป็นทางการในวันที่ 12 มิถุนายน 2020 ในเกที่เอาชนะ ทอนเดลา ไป 1-0 ซึ่งในเกมนั้น เมนเดส ลงเล่นเต็ม 90 นาที พร้อมทำสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามเป็น 11 ตัวจริงของสโมสร รองจากที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำไว้เมื่อในช่วงต้นยุค 2000s
และคนที่ให้โอกาสเขาก็คือ รูเบน อโมริม เฮดโค้ชคนป้จจุบันของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เข้ามาคุม สปอร์ติ้ง เต็ม ๆ ในฤดูกาล 2020-21 และให้โอกาส เมนเดส แจ้งเกิดกับตำแหน่งวิงแบ็กในระบบการเล่น 3-4-2-1 แบบที่เขาใช้กับ ยูไนเต็ด ในตอนนี้
อโมริม สรรค์สร้าง
แม้ อโมริม จะไม่ใช่คนแรกที่ให้ เมนเดส ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ แต่ในยุคของ อโมริม นั้น เมนเดส ยึด 11 ตัวจริงของทีม และถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นวิงแบ็กแบบเต็มตัวตัว และสิ่งที่ เมนเดส ถูกสอนเป็นประจำก็คือการเป็น "ทีมเพลเยอร์" กล่าวคือฟุตบอลไม่ใช่การโชว์ ผลการแข่งขันของทีมคือทุก ๆ อย่างและสำคัญที่สุดเสมอ
เมนเดส จึงเริ่มถูกปรับสไตล์ จากที่เคยเป็นคนที่เลี้ยงบอลเยอะตามแบบฉบับแบ็กจอมบุกที่เคยเล่นตำแหน่งปีกมาก่อนหลายปี ให้เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเกมรับ และการประสานงานกับเพื่อนมากขึ้น เขาไม่จำเป็นต้องเลี้ยงบอลฝ่าด่านคู่แข่ง 2-3 คน เพราะมันเป็นเรื่องยากจะทำได้ แต่ถ้าลุยกันเป็นทีม ใช้การเล่นที่รู้จังหวะในการปล่อยบอล และเก็บบอล พวกเขาก็มีโอกาสที่จะตีแนวรับแตกมากกว่าการพยายามโดยลำพัง
จากนั้นการเลี้ยงไปเรื่อยจนกว่าจะตัน ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นการเลี้ยงเพื่อดึงแนวรับคู่แข่งและรอเพื่อนเติมขึ้นไปในที่ว่าง จ่ายเร็วไม่ฝืนจังหวะ และทุกครั้งที่เสียบอลต้องไม่ทิ้งหน้าที่เกมรับ ซึ่งวิธีการเหล่านี้ช่วยให้ นูโน่ เมนเดส เป็นแบ็กที่ครบเครื่องมากขึ้น ฉลาดขึ้น และเหมาะสำหรับเกมฟุตบอลระดับสูงมากขึ้น
และในช่วงของการพัฒนาให้เข้ากับระบบแรก ๆ นั้น เมนเดส มีข้อผิดพลาดมากมาย จนเริ่มมีกระแสแฟนบอลมองว่าเขาควรเป็นตัวสำรองก่อน และควรซื้อแบ็กซ้ายคนใหม่ที่มีประสบการณ์มากกว่า เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ทีมใช้ มาร์กอส อคุนญ่า ลงเล่นเป็นตัวหลัก แต่ อโมริม ก็ใช้เกมจิตวิทยา ที่ทำให้ เมนเดส สู้ตายถวายชีวิตเพื่อเขา ด้วยการประกาศต่อหน้าสื่อว่า “เราจะไม่ซื้อแบ็กซ้ายใหม่ เพราะเรามีแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดในลีกอยู่แล้ว"
"นูโน่ ไม่ใช่ที่เป็นแค่ตัวเลือกในทีมชุดใหญ่ได้เท่านั้น แต่สำหรับผมเขาพร้อมแล้วที่จะออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย" ซึ่งนี่เป็นแรงสนับสนุนด้านจิตใจที่สำคัญสำหรับเด็กวัยรุ่นในทีมใหญ่ จากนั้น เมนเดส ก็ไม่กลัวใคร
เขาก้าวขึ้นมาติดทีมชาติโปรตุเกสชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 18 ปี เล่นโดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในแง่ภาพรวมในสนามและสถิติต่าง ๆ มีการสรุปว่าสิ่งที่ อโมริม เปลี่ยน นูโน่ เมนเดส ทั้งหมด คือเขาทำให้ เมนเดส เป็นนักเตะแบ็กที่หลากหลาย เล่นได้ทั้งในระบบกองหลัง 4 คนและ 3 คน สอนให้เข้าใจการยืนตำแหน่งและการตัดเกม และท้ายที่สุดคือความมั่นใจในตัวเอง กล้าเล่น ไม่กลัวความผิดพลาด
ที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน นูโน่ เมนเดส ลงเล่น 47 นัดภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม คว้าแชมป์ได้ 3 รายการ รวมถึงแชมป์ลีกด้วย และคุณสมบัติที่กล่าวมาทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วยุโรป หลายทีมใหญ่ต้องการตัว และสุดท้ายเป็น เปแอสเช ที่คว้าตัวเขาไปครองด้วยราคาฉีกสัญญาเพียง 31 ล้านปอนด์เท่านั้น
"เจ็บปวดจริง ๆ ที่เห็นเขาย้ายไปอยู่กับ เปแอสเช เราจะต้องคิดถึงเขาแน่ นี่คือเด็กหนุ่มที่ถ่อมตัว ติดดิน และตลกมาก ... เขาจะเป็นนักเตะระดับแนวหน้าได้แน่นอน นั่นคือสิ่งที่ผมกล้ายืนยัน" อโมริม กล่าวก่อนแยกทางกับ เมนเดส ในซัมเมอร์ปี 2021 ซึ่งเป็นที่ที่เขาต้องพิสูจน์ตัวเองอีกระดับ
ความพยายามที่เปแอสเช
นูโน่ เมนเดส มาที่ เปแอสเช ตอนอายุ 19 ปี และมีส่วนร่วมกับทีมชุดใหญ่แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็น 11 ตัวจริงบ่อยครั้ง แต่เรื่องความโดดเด่นไม่ได้ฉายออกมามากนัก แถมบ่อยครั้งยังมีความผิดพลาดให้เห็น
โดยเฉพาะการลงเล่นในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ยามที่ต้องเจอกับทีมใหญ่ ๆ ในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ ที่ทีมมักจะตกรอบไว และ เมนเดส มักจะถูกมองว่า "เป็นจุดอ่อนในแนวรับของ เปแอสเช" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ และ คริฟตอฟ กัลติเย่ร์ ที่เกมรับของทีมไม่ได้เหนียวแน่นเหมือนกับทุกวันนี้ จนกระทั่งการเปลี่ยนโค้ชใหม่ในฤดูกาล 2023-24 ที่ถือว่าเปลี่ยนโฉมหน้าของสโมสรนี้ และรวมถึงอนาคตของ นูโน่ เมนเดส ด้วย
การเข้ามาของ หลุยส์ เอ็นริเก้ มาพร้อมกับการเปลี่ยนปรัชญาและแนวคิดของสโมสร ทีมค่อย ๆ เสียนักเตะที่เป็นเรือธงของทีมทางการตลาดและในสนามอย่าง เนย์มาร์, ลิโอเนล เมสซี่ และ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ไปตามลำดับ สิ่งที่ทดแทนเข้ามาจากการหายไปของ 3 ดาราระดับโลกคือการเล่นเป็นทีม การรับผิดชอบร่วมกัน และทัศนคติที่ห้ามคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นเด็ดขาด เพราะนั่นคือสิ่งที่ เอ็นริเก้ เชื่อว่าเป็นกับดักที่ทำให้ เปแอสเช ไม่เคยไปถึงเป้าหมายการเป็นแชมป์ยุโรปแบบที่ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ประธานสโมสรตั้งไว้ตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร
นอกจากนี้ยังมีนโยบายการสร้างทีมแบบใช้คนหนุ่มเต็มอัตราศึก โดยมีการเปิดเผยว่า เอ็นริเก้ จะไม่เซ็นสัญญานักเตะอายุมากกว่า 27 ปีมาร่วมทีม แต่เขาจะเลือกคนหนุ่มที่อายุราว ๆ 20-24 ปี มาร่วมทีมเป็นอันดับแรก โดยหลักพิจารณาคือการเน้นไปที่นักเตะที่มีจิตวิญญาณนักสู้ ทุ่มเททุกอย่าง วิ่งเยอะในสนาม และโฟกัสกับทุกเกมให้เป็นเกมสำคัญเหมือนกันหมด ... นี่คือคุณลักณะที่ นูโน่ เมนเดส เป็นมาตลอดชีวิต และคุณจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม เมนเดส จึงเกิดใหม่ในยุคของ เอ็นริเก้ และกลายเป็นนักเตะที่เก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดภายในเวลาไม่กี่ปี
นอกจากการเล่นเกมรับพร้อมกันทั้งทีมจะช่วย เมนเดส ให้เล่นง่ายขึ้นแล้ว เอ็นริเก้ ยังจับเขาเข้าไปเรียนรู้ศาสตร์ฟุตบอลที่สูงขึ้นและกดดันขึ้น เช่น การเพิ่มคุณภาพในจังหวะการดวลตัวต่อตัว ที่ เมนเดส จะต้องเล่นแม่นยำมากขึ้น เพราะทีมจะเปิดเกมบุกไล่บี้เต็มอัตรา เขาจะต้องอ่านเกม, ตัดบอล, และเปลี่ยนจากรับเป็นรุกให้ได้ด้วยตัวคนเดียว
หลักสำคัญที่ เอ็นริเก้ เข้ามาแก้ก็คือเรื่องการยืนตำแหน่ง โดยกลุ่มนักเตะ เปแอสเช หลายคนบอกเล่าตรงกันหมดในเรื่องนี้ เพราะเขาจะจริงจังมากในการซ้อม จับสอนแบบตัวต่อตัว มีการใช้ภาพจากมุมสูงอธิบายการยืนให้ชัดเจนมากขึ้น และที่สำคัญทุกคนจะต้องทำการบ้านส่วนตัว เพราะทีมจะมีวีดีโอสำหรับศึกษาคู่แข่ง และการย้อนกลับมาดูการเล่นที่ผิดพลาดของตัวเองในเกมก่อน ๆ ซึ่งจุดนี้ทำให้ เมนเดส สมบูรณ์แบบมากขึ้นทั้งในมิติเกมรุกและเกมรับ
"ผมจะไม่บอกว่าเขาไม่มีข้อผิดพลาดเลย เพราะจากที่เราวิเคราะห์ นักเตะทุกคนล้วนมีข้อผิดพลาดที่แตกต่างกันไป แต่เรากล้าวัดกับเขา ตัดสินใจเดิมพันกับเขา เพราะเราเชื่อว่าเขาเป็นนักเตะที่มีข้อดีมากมาย ผมคิดว่านักเตะอย่าง นูโน่ เมนเดส นี่แหละ เป็นนักสู้ทั้งในการเล่นเกมรับ และเกมรุกเพื่อทีมเสมอ"
"ผมชอบนักเตะแบบนี้ คาแร็คเตอร์แบบนี้ เพราะไม่ว่าเล่นเกมไหน เขาก็จะพร้อมในระดับ 100% ... มีนักเตะคนไหนในโลกบ้างที่ไม่เคยผิดพลาด คุณลองบอกเชื่อมาสิ ? ไม่มีหรอก ทุกคนต่างก็ต้องเคยผ่านจุดนี้มาทั้งนั้น" เอ็นริเก้ พูดถึง เมนเดส ในเกมกับ แอสตัน วิลล่า ที่เขาผิดพลาดและทำให้ทีมเสียประตู
และหลังจากที่ผ่าน แอสตัน วิลล่า ไปได้ เมนเดส ก็กลับเข้าสู่ฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิต มีครบทุกอย่างตั้งแต่ทักษะการอ่านเกม ความแข็งแรงและรวดเร็วของร่างกาย การเติมเกมรุกที่ถูกจังหวะ และการผสานการกับองค์รวมของทีมได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ... ซึ่งนั่นทำให้ เปแอสเช กลายเป็นที่มีสไตล์การเล่นชัดเจน มีลายเซ็นเป็นของตัวเอง และเป็นทีมที่มีพลังของคนหนุ่มขับเคลื่อนอย่างร้อนแรง ซึ่งแน่นอนว่า นูโน่ เมนเดส นักเตะที่ หลุยส์ เอ็นริเก้ เรียกว่า "เครื่องบินรบของผม" ก็เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาก้าวกระโดดครั้งนี้
สิ่งที่ อโมริม และ เอ็นริเก้ มอบให้ เมนเดส นั้นแทบไม่ต่างกัน นั่นคือแนวทางการเล่นตามแบบที่พวกเขาต้องการ และเมื่อการสื่อสารชัดเจน นักเตะก็จะเข้าใจวิธีการและทำให้ผลงานออกมาดีขึ้นแบบที่คาดหวัง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่เราเห็นได้ชัดก็คือ ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่มอบให้กับคนที่ถูกคน มันคือสิ่งสำคัญมากในการพัฒนานักเตะคนหนึ่ง ซึ่ง นูโน่ เมนเดส ในตอนนี้ ต้องบอกว่าเป็นนักเตะที่กำลังอยู่ในช่วงร่างทองอย่างแท้จริง
จะมีใครสักกี่คนที่สามารถเก็บนักเตะริมเส้นตัวท็อปอย่าง บูกาโย่ ซาก้า, โม ซาลาห์ และ ลามีน ยามาล เข้ากระเป๋าได้ภายในเวลาห่างกันไม่กี่เดือน อีกทั้งยังมีโทรฟี่ช่วยยืนยันความสำเร็จที่เกิดขึ้นอีก
หากนี่ไม่ใช่เรื่องของการรู้จักศักยภาพตัวเอง จริงจังกับสิ่งที่ทำ และพัฒนาไปข้างหน้าแบบไม่มีคำว่า "ทำไม่ได้" ก็คงไม่มีคำไหนที่จะอธิบายตัวตนของ นูโน่ เมนเดส ได้ดีเท่ากับคำว่า "คุณจริงจังกับความฝันแค่ไหน"
อย่าลืมว่าตอนนี้เขาอายุแค่ 22 ปีเท่านั้น ... ในตำแหน่งที่ทำดีแค่ไหนก็ยากจะไปถึงระดับบัลลงดอร์ ไม่แน่ ชื่อของ นูโน เมนเดส จะขยับเข้าใกล้สิ่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได้ ตราบใดที่ที่เขายังมีทัศนคติแบบเด็กน้อยจาก ซินตรา คนเดิม คนที่เชื่อว่าฟุตบอลจะพาเขาไปไกลได้เท่าที่เขาจะจินตนาการถึง
แหล่งอ้างอิง
https://breakingthelines.com/player-analysis/player-analysis-nuno-mendes/
https://onefootball.com/en/news/nuno-mendes-is-a-fighter-plane-he-made-me-suffer-with-portugal-psg-boss-luis-enrique-41008542
https://www.givemesport.com/manchester-united-transfer-news-nuno-mendes-wants-to-play-for-amorim/
https://utddistrict.co.uk/ruben-amorim-nuno-mendes-sporting-praise-man-utd/28/12/2024/
https://theanalyst.com/football/player/sc-465206/nuno-mendes
https://totalfootballanalysis.com/article/nuno-mendes-2020-21-scout-report-tactical-analysis-tactics