แฟน ๆ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด คงจะใจหายไม่น้อยกับผลงานในฤดูกาล 2024-25 ที่ย่ำแย่ ไม่ได้แชมป์เลยสักถ้วย แถมยังมีข่าวว่าจะมีนักเตะออกจากทีมไม่เว้นแต่ละวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งนักเตะที่ดีที่สุดในทีมอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส
นี่คือสิ่งที่ รูเบน อโมริม กุนซือของพวกเขาได้รับมอบหมาย และมันชวนให้ตกใจ เพราะข่าวที่ออกมามันแทบไม่ต่างกับการล้างบาง
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ครั้งแรกที่ อโมริม ทำแบบนี้ ย้อนไป 5 ปีก่อน เขาก็เคยล้างบาง สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในซัมเมอร์แรกของเขาเช่นกัน และนั่นคือการล้างบางที่เปลี่ยนแปลงทีมนี้ภายในชั่วข้ามคืน
เรื่องราวเมื่อฤดูกาล 2020-21 ที่ โปรตุเกส เป็นเช่นไร เขาล้างบางทีมแบบไหน ? ย้อนติดตามเรื่องนี้กับ Main Stand
ครึ่งซีซั่นแรกคือลองทีม
รูเบน อโมริม เข้ามาคุม แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 ก่อนผลงานหลังจากนั้นย่ำแย่อย่างที่ทุกคนรู้กัน และหากย้อนไปฤดูกาล 2019-20 เขาก็ถูก สปอร์ติ้ง ลิสบอน ดึงตัวมาจาก บราก้า เพื่อเข้ามาซ่อมทีมในยุคที่ทีมเริ่มตกเป็นรอง 2 คู่แข่งอย่าง ปอร์โต้ และ เบนฟิก้า อย่างชัดเจน
อโมริม ที่เป็นโค้ชคนหนุ่มในเวลานั้นเข้ามาคุมทีมในวันที่ 4 มีนาคม 2020 ซึ่งในฤดูกาลนั้นทีม สปอร์ติ้ง ประสบปัญหาเหมือนกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนี้ไม่มีผิด นั่นคือการซื้อตัวที่ล้มเหลวบ่อย ดาวรุ่งไม่ค่อยถูกดันขึ้นมามีบทบาทในชุดใหญ่ และโค้ชก็เปลี่ยนบ่อย โดยกว่าที่ อโมริม จะเข้ามาทำงาน สปอร์ติ้ง ก็เปลี่ยนโค้ชไปแล้ว 2 คนในซีซั่นดังกล่าวคือ ลิโอเนล ปอนเตส และ ฮอร์เก้ เฟอร์นานเดส ซิลาส ก่อนจะมาจบที่ อโมริม ดังที่กล่าวไป
ณ ตอนที่ อโมริม เข้ามาคือตอนที่ทีมอยู่ในอันดับที่ 4 และในตลาดฤดูหนาว ทีมได้เสียจอมทัพคนสำคัญอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ไปให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยราคาราว ๆ 60 ล้านยูโร นอกจากนี้ที่บอกว่าเรื่องคล้าย ๆ กันกับตอนนี้ก็คือ ระบบการเล่นเดิมของทีมเป็นการเล่นแบบกองหลัง 4 คน ไม่ว่าจะ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 ก็ตาม บวกกับยังมีนักเตะอีกหลายคนเหลือแต่ชื่อ ไม่สามารถเรียกฟอร์มที่ดีในสนามได้
แน่นอนว่า อโมริม ไม่ได้มีส่วนในตลาดซื้อขายเลยสักครั้งในฤดูกาล 2019-20 ต่างกับตอนเข้ามาคุม แมนฯ ยูไนเต็ด ที่อย่างน้อยก็มีเอี่ยวกับตลาดนักเตะฤดูหนาวซีซั่น 2024-25 แต่เมื่อย้อนกลับไปดูจากผลงานแข่งขันที่เขาพาทีมลงเล่นนับตั้งแต่เข้ามาคุมทีม ก็ต้องนับว่าแตกต่างกับตอนที่เขาทำแมนฯ ยูไนเต็ด ที่จบในอันดับที่ 15 ของตารางคะแนน
โดย อโมริม พาทีมแพ้ในเกมลีกแค่ 2 นัดเท่านั้นจาก 11 เกม (ชนะ 6 เสมอ 2) ทั้ง ๆ ที่ ณ ตอนนั้นเขาเปลี่ยนระบบการเล่นของทีมทันทีเป็นระบบ 3-4-3 แบบที่เขาทำกับ ยูไนเต็ด ในเวลานี้ โดยเว็บไซต์ที่สรุปวิธีการเล่นของ สปอร์ติ้ง ในเวลานั้นอย่าง The Football Analyst บอกว่า "อโมริม ใช้ระบบ 3-4-3 เป็นหลัก โดยมาการปรับเปลี่ยนเป็น 3-5-2 หรือ 5-3-2 ตามสถานการณ์ในเกม แม้ทีมจะชนะเกิน 50% ของการแข่งขันที่เขาคุม แต่ปัญหาของทีมชุดนั้นยังมากมาย หากเทียบกับทีมที่พร้อมกว่าอย่าง ปอร์โต้ และ เบนฟิก้า"
"ความมั่นใจของทีมตกต่ำ ทีมมีปัญหาในห้องแต่งตัวซึ่งเกิดจากผู้เล่นหลายคนที่เรื่องเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2018 ณ เวลานั้นมีนักเตะในทีมถึง 18 คนที่มีปัญหากับประธานสโมสรอย่าง บรูโน่ เด คาร์วัลโญ่ ที่วิจารณ์ฟอร์มการเล่นของนักเตะผ่านสื่อ และส่วนใหญ่เป็นนักเตะซีเนียร์ของทีม อาทิ เซบาสเตียน โคอาเตส, เฌเรมี่ มาติเยอ และ ฟาบิโอ โคเอนเทรา"
"ขณะที่ประธานของสโมสรก็สวนกลับด้วยการแสดงตัวเป็นศัตรูและประกาศแบนนักเตะทั้ง 18 คนที่มีปัญหา และเรียกพวกเขาว่า 'พวกเด็กนิสัยเสีย' จึงทำให้มีความตึงเครียดภายในทีมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ทีมโดนโจมตีโดยแฟนบอลอุลตร้า และสุดท้ายนำมาซึ่งการยกเลิกสัญญาของนักเตะหลายคน"
จากสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ อโมริม จะเข้ามาพยายามแก้ แต่ปัญหาที่สะสมมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ยังคงส่งผลต่อบรรยากาศภายในทีม ความเชื่อมั่นระหว่างผู้เล่นและผู้บริหารยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้การสร้างทีมและปรับปรุงฟอร์มการเล่นเป็นไปอย่างยากลำบาก .. และสุดท้ายทีมจบอันดับ 4 ของตารางคะแนน ตกรอบถ้วยยูโรป้า ลีก ตั้งแต่รอบ 32 ทีมสุดท้าย เช่นเดียวกับฟุตบอลถ้วยในประเทศที่หมดลุ้นทั้งโปรตุกีส คัพ และโปรตุกีส ลีกคัพ
นั่นคือสาเหตุที่ประธานสโมสรจ้าง อโมริม เข้ามา เขารู้ดีว่าทีมชุดใหญ่ต้องผ่าตัดใหญ่และจะให้สิทธิ์การทำทีมกับเขาอย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อซัมเมอร์แรกของการคุม สปอร์ติ้ง มาถึง อโมริม ก็เริ่มล้างบางทันที
เลือกคนที่คลิก ขายคนที่ไม่ใช่ ดังแค่ไหนก็ไม่สน
แม้ อโมริม จะทดลองใช้ระบบ 3-4-3 ทันทีที่รับงานกับ สปอร์ติ้ง แต่ปัญหาที่เขาพบคือ ลูกทีมหลายคนยังปรับตัวไม่ทัน ความเข้าใจแท็คติกยังไม่ดีนัก หลายเกมขาดความไหลลื่น ใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นในการสร้างความแตกต่างมากกว่าระบบการเล่น ซึ่งฟังแล้วก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่สื่ออังกฤษวิเคราะห์ปีแรกของเขากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่น้อย
อโมริม ตั้งใจทำให้ 3-4-3 กลายเป็น DNA ของทีม เขาต้องการการประสานงานที่เข้าขารู้ใจ นักเตะที่ตอบโจทย์กลยุทธ์ มากที่สุดโดยไม่สนว่าจะเป็นนักเตะจากระบบเยาวชนของสโมสร หรืออาจจะเป็นนักเตะซื้อเข้ามาจากสโมสรทั้งในฐานะตัวหลัก หรือตัวสำรองที่ทีมอื่นไม่ใช้งานก็ตาม ขณะที่ขาออกนั้น อโมริม ขายนักเตะออกเยอะมาก และหลายคนก็เป็นดาวเด่นของทีมในยุคก่อนเขาเข้ามาทำทีม รวมถึงเป็นนักเตะที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กับทีมไม่ถึงปีเลยก็มี
เหตุผลที่ทำแบบนั้นมีการเปิดเผยว่า อโมริม ตั้งใจจะขายนักเตะที่ไม่ตอบโจทย์กลยุทธ์ไปพร้อม ๆ กับลดค่าเหนื่อยโดยรวมของทีม นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเชือดนักเตะออกไปทีเดียวถึง 9 คน ทั้งในรูปแบบแบบปล่อยฟรี ยืมตัว และขายขาด มาติเยอ ถูกยกเลิกสัญญาเพราะแก่เกินไปและมีปัญหาบาดเจ็บเรื้อรัง, มาร์กอส อคุนญ่า ถูกขายออกไป 10 ล้านยูโร เพราะต้องการเอาเงินมาปรับโครงสร้างของทีมและระดมทุน
นอกจากนี้ยังมีนักเตะหลายคนที่เป็นตัวหลักแต่ก็โดนขายเพราะได้ราคาและไม่ตอบโจทย์กลยุทธ์เช่น เวนเดลล์ ที่ย้ายไป เซนิต ในราคา 20 ล้านยูโร เช่นเดียวกับ ลูเซียโน เวียตโต้ ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกลางซีซั่น 2019-20 แต่ก็ถูกขายออกแบบยอมขาดทุน เพราะไม่สามารถเล่นเบอร์ 9 ในระบบ 3-4-3 ได้
ขณะที่ขาเข้าต้องบอกว่า อโมริม จัดการเสริมทัพเข้ามาถึง 10 คน และเมื่อคุณบวกลบราคาทั้งขาเข้าและขาออก แถมยังมีเงินจากการขาย บรูโน่ ให้ แมนฯ ยูไนเต็ก อีกราว ๆ 60 ล้านยูโร ทำให้ทีมมีสภาพคล่องในการเสริมทัพให้ตอบโจทย์กับสไตล์การทำทีมของเขาทันที ซึ่งคุณก็ต้องไม่ลืมว่าลีกโปรตุเกสนั้น ไม่ได้ซื้อนักเตะที่ราคาแพงมาก แถมการแข่งขันก็ยังไม่ได้สูงมาก ดังนั้น อโมริม จึงเลือกช็อปนักเตะได้ง่ายกว่าตอนทำงานกับ แมนฯ ยูไนเต็ด พอสมควร
อย่างไรก็ตาม ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การซื้อนักเตะเกรดอะไร แต่มันสำคัญที่ว่านักเตะที่ อโมริม ซื้อเข้ามา 10 คนในตลาดซื้อขายซัมเมอร์ 2020-21 ทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญ แต่ละคนได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง และมีผลงานที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งมันก็ส่งผลไปถึงผลงานทีมด้วย
ใครบ้างที่ อโมริม ซื้อ ? ... อโมริม ใช้วิธีผสมผสานกันไป ไม่ยึดติดว่าต้องเป็นดาวรุ่งอย่างเดียวเท่านั้น เพราะทีมยังขาดอีกหลายจุด จุดไหนที่เขาใช้นักเตะอายุเยอะ ๆ ราคาถูก ๆ แต่ตอบโจทย์ในช่วงสั้น ๆ ได้เขาก็ไม่ลังเล อาทิ อันโตนิโอ อาดาน ที่ดึงตัวฟรีมาจาก เรอัล มาดริด และกลายเป็นมือ 1 ของทีมในฤดูกาลนั้นได้ทันที เช่นเดียวกับ เจา มาริโอ กองกลางตัวรุกที่ยืมตัวมาจาก อินเตอร์ มิลาน
ส่วนคนที่เข้ามาและเล่นได้ทันที ตอบโจทย์สุด ๆ คือ เปโดร กอนซัลเวส ตัวรุกหมายเลข 10 ของทีมที่ดึงมาจาก ฟามาลิเกา แค่ 6.5 ล้านยูโร แต่เจ้าตัวกลับยิงและแอสซิสต์รวมกันในซีซั่นเดียวเกิน 30 ลูก ทำเอาแฟนบอล สปอร์ติ้ง ลืม บรูโน่ ไปชั่วขณะ และอีกคนคือ เปโดร ปอร์โร่ ที่ยืม (บวกออปชั่นซื้อขาด) มาจาก แมนฯ ซิตี้ ซึ่งถือเป็นวิงแบ็กที่มีเกมบุกดีมาก ๆ ตอบโจทย์ระบบที่ไม่มีปีกอย่างที่สุด
นอกจากนี้ยังมีนักเตะที่แฟนบอลบ้านเราไม่คุ้นหูอีกหลายคนที่เข้ามาเป็นตัวหลักได้ทันทีทั้ง ซูเอียร์ เฟ็ดดาล ที่เข้ามาเป็นกองหลังแทน มาติเยอ, นูโน่ ซานโต๊ส ที่ซื้อมา 3 ล้านยูโร ก่อนลงเล่นวิงแบ็กซ้ายแทนที่ โคเอนเทรา โดยลงเล่นถึง 37 เกมตลอดทั้งซีซั่น
อโมริม ใช้เงินบวกลบกลบหนี้แทบจะพอดีกันเลยในส่วนของการซื้อเข้าและขายออก ซึ่งส่วนอื่น ๆ ที่เขาไมได้เสริมไม่ว่าจะเป็นในตำแหน่ง 3 เซ็นเตอร์แบ็ก, วิงแบ็ก หรือกองกลางตัวรุก เขาก็เลือกดันนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาอยู่ในชุดใหญ่มากขึ้น และหลายคนก็เป็นตัวหลักของทีมในภายหลังทั้ง กอนซาโล อินาซิโอ, นูโน่ เมนเดส, เจา ปาลินญ่า และ มาเธอุส นูเนส
ณ ตอนนั้น ในเรื่องของชื่อเสียงและมูลค่านักเตะอาจจะลดน้อยลง แต่ในแง่ของผลงานต้องบอกว่าเป็นคนละเรื่องกับที่เขาทำทีมเมื่อฤดูกาล 2019-20 ... เพราะหลายสิ่งได้ถูกแก้ไขในทีมที่เขาล้างบางขึ้นใหม่นี้
ของจริงเริ่มต้น
อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น อโมริม ชัดเจนกับระบบการเล่น 3-4-3 ของเขามาโดยตลอด โดยแผนของเขาก็ไม่ต่างจากตอนที่คุม แมนฯ ยูไนเต็ด ในเวลานี้ เน้นวิงแบ็กที่เติมเกมรุกและถอยมาช่วยเกมรับอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการเกมรุกและรับอย่างสมดุลทำให้ทีมมีความแข็งแกร่งทั้งสองด้าน
ทีมของ อโมริม มีการเพรสซิ่งสูงและเน้นการควบคุมพื้นที่กลางสนาม โดยใช้มิดฟิลด์อย่าง เจา ปาลินญ่า และ มาเธอุส นูเนส ในการตัดเกมและป้องกันการโจมตีของคู่แข่ง เมื่ออยู่ในสถานการณ์ป้องกัน ทีมจะปรับเป็นระบบ 5-2-3 เพื่อรักษาความแน่นหนาในแนวรับ
ในเกมรุก อโมริมเน้นการเคลื่อนที่ของผู้เล่นเพื่อสร้างพื้นที่และโอกาสในการทำประตู โดยมีการสลับตำแหน่งระหว่างผู้เล่นแนวรุก เช่น เปโดร กอนซัลเวส และ นูโน่ ซานโต๊ส เพื่อสร้างความสับสนให้กับแนวรับของคู่แข่ง ... เรียกได้ว่าเป็นการติดตั้งระบบที่ใช้งานได้ยาว ๆ ไปอีก 5 ปีเป็นอย่างน้อย (จนกระทั่งเขาย้ายมาคุม แมนฯ ยูไนเต็ด)
การเปลี่ยนแปลงที่ อโมริม นำมาในฤดูกาล 2020–21 ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลง สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในสนาม แต่ยังสร้างวัฒนธรรมและโครงสร้างที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาวของสโมสร เพราะ อโมริม มีอำนาจเต็มในการเลือกผู้เล่นและแนวทางการเล่น นอกจากนี้ บรรยากาศในทีมเป็น "ครอบครัว" (กล่าวโดยนักเตะในทีมอาทิ นูโน่ เมนเดส และอีกหลายคน) และผู้เล่นหนุ่มหลายคนก้าวขึ้นมารับบทบาทหลักเป็นครั้งแรกในยุคสมัยของเขา
ฤดูกาล 2020-21 ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ อโมริม ปลูกฝังวัฒนธรรมทีมที่เน้นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความรับผิดชอบร่วมกันภายในทีมสปอร์ติ้ง เขาให้ความสำคัญกับการพัฒนานักเตะทั้งในและนอกสนาม สร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเติบโตและความมั่นใจของผู้เล่น
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ภายใต้การนำของอโมริม ทีมคว้าแชมป์ลีกด้วยสถิติไม่แพ้ใครใน 32 นัดแรก (ตลอดซีซั่นแพ้ในลีกเกมเดียวแก่ เบนฟิก้า 3-4) เสียเพียง 20 ประตู และเก็บคลีนชีตได้ถึง 20 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดในยุโรปในฤดูกาลนั้น และทีมคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี และจากนั้นเขาก็พาทีมกวาดแชมป์ลีก 3 ครั้งในรอบ 5 ปี พร้อมกับสร้างนักเตะฝีเท้าดีที่ขายได้ราคาสูงอีกมากมาย
แน่นอนว่ามันคงจะเปรียบเทียบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ แต่อย่างน้อย สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในทีมปีศาจแดงในซัมเมอร์นี้่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขา อโมริม ผ่านมาแล้ว 1 ครั้ง และประสบความสำเร็จมาแล้วด้วย ... เขาคงพอจะเห็นและรู้อยู่บ้างแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้องเป็นอย่างไร และหวังว่าเขาจะนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับสถานการณ์ในตอนนี้กับทีมใหม่ของเขามากที่สุด
แหล่งอ้างอิง :
https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/ruben-amorim-man-united-formation-30412455
https://fbref.com/en/squads/13dc44fd/2020-2021/Sporting-CP-Stats
https://www.skysports.com/football/news/11095/13104342
https://portugoal.net/club-news/4342-ruben-amorims-success-the-key-factors-behind-sporting-cps-rise
https://www.teamtalk.com/liverpool/ruben-amorim-liverpool-manager-target-top-five-sporting-cp-signings