Feature

โตโน่กับกับบทบาทผู้บริหารสโมสรฟุตบอล แนวทาง-ปัญหา-อุปสรรค เมื่อเทียบเคสของผู้บริหารเซเลบระดับโลก | Main Stand

ทุกวันนี้มี ดาราและคนดัง จำนวนไม่น้อยที่ก้าวเข้ามามีบทบาทในการบริหารหรือเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ นักร้อง-นักแสดง โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ที่เข้ารับตำแหน่งรักษาการประธานสโมสรเกษตรศาสตร์ เอฟซี 

 

กรณีของ ไรอัน เรย์โนลด์ส (Ryan Reynolds) นักแสดงฮอลลีวูดผู้ร่วมเทคโอเวอร์สโมสร เร็กซ์แฮม (Wrexham A.F.C.) ไปจนถึง เดวิด เบ็คแฮม (David Beckham) ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังที่ร่วมก่อตั้งทีม อินเตอร์ ไมอามี่ (Inter Miami CF) ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

ซึ่งบทบาทของคนดังเหล่านี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญหลายประการ เช่น ขอบเขตอำนาจในการทำทีม, คุณูปการที่ดารามอบให้สโมสร, การจัดการความขัดแย้งกับมืออาชีพ ตลอดจนผลลัพธ์ความสำเร็จหรือล้มเหลวของการบริหารโดยคนดัง

ในบทความนี้เราจะวิเคราะห์กรณีศึกษาทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างเป็นระบบ พร้อมข้อมูลและหลักฐานอ้างอิงเพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง

ถ้าพร้อมกันแล้ว เตรียมพบกับเนื้อหาที่ กระชับ – ตรงประเด็น – สุดพิเศษ ได้ก่อนใครที่ Main Stand

 

สิทธิและอำนาจในการทำทีมของดารา

โครงสร้างความเป็นเจ้าของและตำแหน่งหน้าที่ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ชี้ขาดว่า “ดารา” หรือ “คนดัง” ที่ก้าวเข้ามาสู่โลกฟุตบอลจะมีสิทธิอำนาจในการบริหารสโมสรมากน้อยแค่ไหน โดยทั่วไป หากพวกเขาลงทุนด้วยตัวเอง ซื้อหุ้น และถือกรรมสิทธิ์ของสโมสรแบบเต็มตัว ย่อมมีอำนาจในการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างสมบูรณ์ 

เช่นในกรณีของ ไรอัน เรย์โนลด์ส และ ร็อบ แมคเอลเฮนนีย์ ที่เข้าซื้อกิจการสโมสร เร็กซ์แฮม (Wrexham A.F.C.) แบบเบ็ดเสร็จจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม เร็กซ์แฮม ซัพพอร์เตอร์ส ทรัสต์ (Wrexham Supporters Trust) ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 ด้วยมูลค่าประมาณ 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (83,285,000 ล้านบาท)

ทั้งคู่จึงได้รับตำแหน่งประธานสโมสรร่วม และกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสโมสรโดยตรง ตั้งแต่การแต่งตั้งผู้บริหาร การอนุมัติงบประมาณ ไปจนถึงการตัดสินใจเรื่องเสริมทัพนักเตะ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเปลี่ยนผ่านจากโครงสร้าง “สโมสรชุมชน” (Community Club) ไปสู่ “สโมสรเอกชน” (Private Club) อย่างเต็มรูปแบบ

ในขณะที่บางกรณี คนดังอาจไม่ได้เป็นเจ้าของแบบเบ็ดเสร็จ แต่อยู่ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง หรือผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งอำนาจในการตัดสินใจย่อมต้องแบ่งปันกับผู้อื่น เช่น เดวิด เบ็คแฮม ที่ใช้ออปชันในสัญญาสมัยเป็นนักเตะเพื่อร่วมก่อตั้งทีม อินเตอร์ ไมอามี่ (Inter Miami CF) ใน เมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ (Major League Soccer - MLS) สหรัฐอเมริกา โดยถือหุ้นร่วมกับตระกูล มาส (Mas) ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีม เบ็คแฮมได้รับตำแหน่งประธานฝ่ายปฏิบัติการฟุตบอล (President of Soccer Operations) ทำหน้าที่ดูแลด้านกีฬาโดยตรง แต่ในเชิงโครงสร้าง เขายังต้องทำงานร่วมกับ ฮอร์เก้ มาส (Jorge Mas) ผู้ถือหุ้นหลักที่ดูแลภาพรวมด้านธุรกิจ 

ดังนั้นแม้จะมีบทบาทสำคัญ แต่การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การเซ็นสัญญากับ ลิโอเนล เมสซี่ ก็ยังต้องผ่านการอนุมัติจากบอร์ดบริหาร และได้รับการสนับสนุนจากทั้งลีก MLS

อีกกรณีที่น่าสนใจคือการที่คนดังไม่ได้เข้ามาลงทุนโดยตรง แต่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในลักษณะชั่วคราว เช่น โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ นักร้อง-นักแสดงชื่อดังของไทย ที่เข้ารับตำแหน่งรักษาการประธานสโมสร ของ เกษตรศาสตร์ เอฟซี ทีมในศึกไทยลีก 2 เมื่อเดือนกันยายน ปี 2024 ท่ามกลางวิกฤตทางการเงินของสโมสร 

โดยบทบาทของโตโน่มีขอบเขตตามสัญญาที่บอร์ดบริหารเป็นผู้กำหนด ให้ทำหน้าที่เฉพาะกิจจนจบฤดูกาล 2024/25 เท่านั้น ซึ่งอำนาจการบริหารของเขาในกรณีนี้ถือว่าถูกจำกัด และยังคงอยู่ภายใต้การตัดสินใจของฝ่ายบริหารเดิม

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่คนดังเลือกเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (Minor Shareholder) หรือเป็นผู้สนับสนุนเชิงสัญลักษณ์ของสโมสร เช่น ร็อบบี้ วิลเลียมส์ (Robbie Williams) นักร้องชื่อดังที่เป็นแฟนตัวยงของทีม พอร์ตเวล (Port Vale) ในอังกฤษ 

ซึ่งได้เข้าซื้อหุ้นของสโมสรในปี 2006 เป็นจำนวนเงินราว 311,250 ดอลลาร์สหรัฐ (11.1 ล้านบาท) แม้จะถือหุ้นในระดับสูง แต่เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่สามารถดูแลทีมได้ใกล้ชิด ทำให้ช่วงหลังเขาตัดสินใจมอบสิทธิ์ออกเสียงในฐานะผู้ถือหุ้นให้กับกลุ่มแฟนบอลและผู้สนับสนุนของทีมแทน

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ชื่อของดาราหรือคนดังจะปรากฏอยู่ในฐานะเจ้าของหรือผู้บริหารของสโมสร แต่สิทธิและอำนาจในการบริหารจริง ๆ จะขึ้นอยู่กับสถานะในเชิงโครงสร้างของสโมสร บทบาทที่ได้รับมอบหมาย และที่สำคัญที่สุด คือระดับความทุ่มเทที่พวกเขาเลือกจะลงมือทำในชีวิตประจำวันร่วมกับทีมอย่างแท้จริง

 

บทบาทที่ดาราสามารถช่วยเหลือสโมสรได้

ดาราและคนดังสามารถนำ คุณูปการหลากหลายด้าน มาสู่สโมสรฟุตบอล ซึ่งบุคคลทั่วไปอาจทำได้ยาก โดยด้านที่เห็นชัดเจนที่สุด ได้แก่ การตลาด การสร้างฐานแฟนบอล และภาพลักษณ์สโมสร 

คนดังมักมีชื่อเสียงและช่องทางสื่อสารที่กว้างขวาง เมื่อลงมาบริหารทีมก็ย่อมดึงดูดความสนใจจากสาธารณชนและสื่อมวลชนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยกตัวอย่างกรณีสโมสรเล็กๆ อย่าง เร็กซ์แฮม (Wrexham) ในระดับดิวิชัน 5 ของอังกฤษ ซึ่งเดิมทีไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่หลังจาก ไรอัน เรย์โนลด์ส (Ryan Reynolds) และ ร็อบ แมคเอลเฮนนีย์ (Rob McElhenney) เข้าซื้อทีม 

พวกเขาได้ร่วมกับช่อง FX สร้างสารคดีชุด “Welcome to Wrexham” เผยแพร่ชีวิตและการบริหารสโมสรของตน ส่งผลให้เร็กซ์แฮมกลายเป็นที่สนใจในระดับนานาชาติ มีแฟนบอลหน้าใหม่จากทั่วโลกตามเชียร์ผ่านหน้าจอและโซเชียลมีเดียอย่างล้นหลาม​ ในเวลาเพียงไม่นาน เร็กซ์แฮมก็กลายเป็น “ทีมดัง” ที่ใครๆ ก็รู้จัก ถือเป็นการปั้นแบรนด์สโมสรครั้งใหญ่ด้วยพลังดาราที่หาได้ยากในกรณีเจ้าของทีมทั่วไป 

ความสามารถในการสร้างกระแสและทำการตลาด ของคนดังนี้ส่งผลให้สโมสรเล็กๆ อย่างเร็กซ์แฮมกลายเป็นที่รู้จักทั่วโลก 

นอกจากสารคดีทางโทรทัศน์แล้ว สองเจ้าของทีมอย่าง เรย์โนลด์ส และ แมคเอลเฮนนีย์ ยังใช้โซเชียลมีเดียส่วนตัวในการโฆษณาประชาสัมพันธ์สโมสรตนเองอย่างสม่ำเสมอ เช่น การโพสต์ฉลองชัยชนะหรือโปรโมตสินค้าสโมสร ไปจนถึงจัดแมตช์อุ่นเครื่องในสหรัฐฯ เจอกับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้เร็กซ์แฮมอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากรายงานการเงินล่าสุดที่ระบุว่าสโมสรสามารถเพิ่มรายได้ขึ้นจาก 6 ล้านปอนด์เป็น 10.5 ล้านปอนด์ภายในปีเดียวหลังการเทคโอเวอร์ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีการลงทุนขาดทุนเพื่ออนาคตอยู่ 

โดยตัวเลขเงินทุนที่ทั้งสองลงไปให้สโมสรกู้ยืมพุ่งขึ้นเป็นเกือบ 9 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 11.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 373 ล้านบาท) 

แล้วในปีล่าสุด สะท้อนว่าพวกเขายอมควักกระเป๋าเพื่อสร้างความสำเร็จระยะยาว เช่น การทุ่มค่าเหนื่อยดึงผู้เล่นฝีเท้าดีเกินระดับลีก ทั้งหมดนี้เป็นไปได้เพราะชื่อเสียงของเจ้าของทีมดึงดูดทั้งผู้สนับสนุนและผู้ชมใหม่ๆ เข้ามา เกิดวงจรรายได้ที่เติบโตไว กว่าปกติ

นอกจากการตลาดและความนิยมแล้ว ดารายังช่วยสโมสรได้มากในแง่ การหาสปอนเซอร์และทรัพยากรทางการเงิน โดยอาศัยเครือข่ายในวงการธุรกิจของตนเอง 

คนดังหลายคนมีสายสัมพันธ์ที่สามารถชักนำผู้ลงทุนหรือผู้สนับสนุนให้มาร่วมมือกับสโมสรได้ง่าย เช่น กรณีเร็กซ์แฮม หลังการเทคโอเวอร์ก็ได้ผู้สนับสนุนหลักเป็นบริษัทแพลตฟอร์มดังอย่าง TikTok และ Aviation American Gin ซึ่ง ไรอัน เรย์โนลด์ส เป็นเจ้าของแบรนด์ เข้ามาหนุนทีม 

หรือตัวอย่าง อินเตอร์ ไมอามี่ ของ เบ็คแฮม ซึ่งแม้ช่วงแรกจะมีผลงานลุ่มๆ ดอนๆ แต่สโมสรก็ได้รับดีลผู้สนับสนุนและพันธมิตรทางสื่อครั้งใหญ่เมื่อสามารถคว้าตัว ลิโอเนล เมสซี่ มาร่วมทีมกลางปี 2023 

ซึ่งดีลดังกล่าว เบ็คแฮมมีส่วนสำคัญในการเจรจาดึงดูดเมสซี่ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น สัญญากับแบรนด์ Adidas และ Apple ที่เสนอโอกาสทางธุรกิจให้เมสซี่ควบคู่ไปกับการเล่นฟุตบอล​ ส่งผลให้หลังเมสซี่ย้ายมาไมอามี่ 

ทำให้ทุกอย่าง “เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง” ทั้งยอดขายตั๋วและสินค้า, ผู้ติดตามสโมสรในโซเชียลมีเดีย, เรตติ้งถ่ายทอดสด ฯลฯ เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดหลายเท่าตัวในชั่วข้ามคืน 

ซึ่ง เบ็คแฮม อธิบายไว้ว่า “เราเติบโตขึ้น 4 เท่า จากการเซ็นสัญญาครั้งนี้ ทั้งในและนอกสนาม”​ นับเป็นการปลุกปั้นสโมสรให้กลายเป็นแบรนด์มูลค่านับพันล้านภายในเวลาไม่กี่ปีหลังถือกำเนิด​ ซึ่งถ้าตามความเป็นจริงเเล้วมันเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าคนธรรมดาอาจทำได้ยากหากไม่มีบารมีแบบคนดังมาช่วยเปิดทาง

ด้านแรงจูงใจและขวัญกำลังใจ ก็เป็นอีกด้านที่คนดังช่วยยกระดับให้ทีมฟุตบอลได้อย่างน่าสนใจ การที่เจ้าของทีมหรือประธานสโมสรเป็นดาราชื่อดัง ก็อาจสร้างแรงกระตุ้นพิเศษให้ทั้งนักเตะและแฟนบอล ตัวอย่างที่คลาสสิกคือ เอลตัน จอห์น (Elton John) กับสโมสร วัตฟอร์ด (Watford) ในอังกฤษ เมื่อเอลตันเข้ามาเทคโอเวอร์วัตฟอร์ดปี 1976 เขาไม่ได้เพียงทุ่มเงิน ความจริงคือเขาไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยอย่างที่คนคิดด้วยซ้ำ 

แต่ยังเน้นสร้างบรรยากาศ “ฟุตบอลเพื่อแฟนบอล” ทั้งการจ้างผู้อำนวยการการตลาดมาดูแลกิจกรรมสโมสร ปรับปรุงสนามเหย้าที่ทรุดโทรม และทำกิจกรรมเชื่อมโยงชุมชนท้องถิ่น เช่น วันอีสเตอร์เอลตันก็จะมาปรากฏตัวแจกไข่อีสเตอร์แก่แฟนๆ ด้วยตนเอง 

ผลคือ ยอดผู้ชมในสนามพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน มีภาพที่คนเฒ่าคนแก่เดินห้างคล้องผ้าพันคอวัตฟอร์ดอย่างภูมิใจ ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้ได้ส่งแรงบันดาลใจไปถึงนักเตะในสนามโดยตรง 

นักเตะตัวเก่งอย่าง ลูเธอร์ บลิสเซ็ตต์ (Luther Blissett) ซึ่งต่อมาก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษ ให้เครดิตว่าสิ่งที่วัตฟอร์ดทำทั้งในและนอกสนามยุคนั้นช่วยขัดเกลาฝีเท้าและความมั่นใจของเขาเป็นอย่างมาก​ เรียกได้ว่า “แรงหนุนจากแฟนๆ ที่เอลตันช่วยดึงกลับมา ได้กลายเป็นพลังก้าวข้ามเพื่อผลักดันนักเตะให้เล่นเกินศักยภาพในทางตรงเเละอ้อมในเวลาเดียวกัน”

ในกรณีของ โตโน่ ภาคิน กับเกษตรศาสตร์ เอฟซี ก็มีแง่มุมลักษณะเดียวกันให้เห็น ช่วงก่อนโตโน่เข้ามา สโมสรเผชิญปัญหาค้างจ่ายเงินเดือนนักเตะจนตกต่ำ 

แต่พอโตโน่เข้ารับตำแหน่ง เขาใช้ความเป็นคนดังจัดกิจกรรมระดมทุนต่างๆ เช่น ขายเสื้อพิเศษหมายเลข 859 ซึ่งสื่อถึงเงินก้อนสุดท้าย 859 บาทที่เหลือในบัญชีสโมสรตอนต้นฤดูกาล 

แคมเปญนี้ได้รับการตอบรับล้นหลาม ขายเสื้อได้ถึง 5,700 ตัว เกินเป้าที่ตั้งไว้​ รายได้ดังกล่าวนี้ช่วยให้สโมสรทยอยจ่ายเงินเดือนที่ค้างให้ผู้เล่นจนเต็มจำนวน 100% ได้สำเร็จในที่สุด 

นอกจากนี้ โตโน่ยังใช้เวทีสื่อบันเทิงของตนชักชวนแฟนเพลงและผู้สนับสนุนมาช่วยทีม ไม่ว่าจะเป็นการเชิญชวนคนมาชมเกมในสนาม หรือประสานโรงพยาบาลผู้สนับสนุนเข้ามาดูแลนักกีฬา เหล่านี้ส่งผลให้ฐานแฟนบอลเกษตรศาสตร์ขยายตัวในช่วงสั้นๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

เห็นได้จากเกมนัดสุดท้ายในบ้านของฤดูกาล มีสื่อมวลชนและกองเชียร์มารอติดตามให้กำลังใจโตโน่และทีมงานอย่างคึกคัก หลายคนยอมรับว่าหากไม่มีชื่อเสียงและความทุ่มเทของโตโน่ ทีมอาจไม่สามารถรอดพ้นวิกฤตปีนี้ไปได้เลย

กล่าวโดยสรุป ดาราสามารถช่วยเหลือสโมสรฟุตบอลได้ในหลายมิติ อาทิเช่น

การตลาดและภาพลักษณ์

ขยายฐานแฟนบอล สร้างแบรนด์สโมสรให้โด่งดัง เช่น สารคดี Wrexham และการตลาดโซเชียลมีเดียของเจ้าของทีมฮอลลีวูด​
การเงินและสปอนเซอร์

การนำเงินลงทุนหรือผู้สนับสนุนเข้ามา อาจหาทุนกู้วิกฤต อาทิเช่น โตโน่หาเงินจ่ายค่าจ้างนักเตะ หรือเจรจาดีลใหญ่เข้าทีม , เดวิด เบ็คแฮม พาเมสซี่มาอินเตอร์ไมอามี่ พร้อมดีล adidas/Apple ที่ส่งผลบวกมหาศาล

ความนิยมและฐานเสียง

คนดังเป็นแม่เหล็กดึงแฟนใหม่ๆ และสร้างคอมมูนิตี้ของสโมสร เอลตัน จอห์นผนึกกำลังชุมชนท้องถิ่นทำให้ผู้คนมาเชียร์มาดูเกมที่สนาม นักเตะก็มีกำลังใจ​เล่นเพื่อทีมเเละเเฟนๆ

แรงจูงใจนักกีฬา

การมีบุคคลสำคัญคอยหนุนหลัง และบางครั้งมาซ้อมหรือลงเล่นเคียงข้าง เช่น โตโน่ลงทะเบียนเป็นผู้เล่นสำรองเบอร์ 10 ให้ทีมด้วย สร้างแรงกระตุ้นให้นักเตะอยากโชว์ผลงานตอบแทนความทุ่มเทของผู้บริหารและทำให้แฟนๆ ภูมิใจ

 

การรับมือปัญหาความขัดแย้งระหว่างดารากับมืออาชีพ

แม้คนดังจะนำประโยชน์หลายด้านมาสู่สโมสร แต่อีกด้านหนึ่ง ความแตกต่างระหว่างโลกบันเทิงกับโลกฟุตบอลอาชีพ ก็อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือปัญหาได้ การรับมือกับปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยทั้งความเป็นมืออาชีพและความเข้าใจบทบาทของกันและกัน

กรณีความขัดแย้งในการทำงานกับทีมงานมืออาชีพของดาราที่ข้ามมาเป็นผู้บริหารสโมสรอาจขาดประสบการณ์ด้านฟุตบอล จึงจำเป็นต้องพึ่งพาทีมงานมืออาชีพ เช่น โค้ช, ผู้จัดการทั่วไป, ผู้อำนวยการกีฬา ในการตัดสินใจเรื่องเทคนิค 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ไรอัน เรย์โนลด์ส  และ ร็อบ แมคเอลเฮนนีย์  แห่ง เร็กซ์แฮม ทั้งคู่ยอมรับอย่างเปิดเผยในช่วงแรกว่าพวกตนยังใหม่กับระบบฟุตบอลอังกฤษ 

ดังนั้นพวกเขาจึงแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย เช่น ฮัมฟรีย์ เคอร์ (Humphrey Ker) นักเขียนชาวอังกฤษที่เป็นแฟนบอลตัวยง มาเป็นผู้อำนวยการสโมสร ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเจ้าของทีมกับฝ่ายฟุตบอล​ รวมถึงจ้างทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในลีกอังกฤษมาดูแลด้านปฏิบัติการ 

ขณะที่การตัดสินใจด้านฟุตบอล เช่น การคัดเลือกโค้ชหรือเสริมทัพนักเตะ สองเจ้าของทีมก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมรับฟังคำแนะนำจากมืออาชีพ และไม่ก้าวก่ายงานโค้ช เช่น การสนับสนุนให้ผู้จัดการทีม ฟิล พาร์กินสัน (Phil Parkinson) ทำหน้าที่อย่างเต็มที่และให้เวลาในการสร้างทีม จึงไม่เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าของกับโค้ช แต่กลับสร้างบรรยากาศการทำงานที่ราบรื่นและเป็นกันเอง เห็นได้จากสารคดีที่เจ้าของทีมพูดคุยหยอกล้อกับนักเตะและสตาฟฟ์ด้วยความเคารพ เป็นต้น

การตัดสินใจที่ยากลำบากและการจัดการเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคาดก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในโลกของฟุตบอล ไม่ใช่ทุกอย่างจะโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป หากทีมผลงานย่ำแย่ ผู้บริหารไม่ว่าจะดาราหรือใครก็ต้องตัดสินใจแก้ไขอย่างมืออาชีพแม้อาจกระทบความรู้สึกส่วนตัว 

กรณีของ เดวิด เบ็คแฮม กับ อินเตอร์ ไมอามี่ เป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุดอย่างในปี 2023 ที่อินเตอร์ไมอามี่ฟอร์มแย่จนจมบ๊วยลีก แม้โค้ชของทีมในขณะนั้นจะเป็น ฟิล เนวิลล์ (Phil Neville) ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเบ็คแฮมสมัยค้าแข้ง 

แต่เบ็คแฮมในฐานะประธานฝ่ายฟุตบอลก็ต้องทำในสิ่งที่จำเป็น นั่นคือ ปลดเนวิลล์ออกจากตำแหน่ง เพื่อหาจุดเปลี่ยนให้ทีม โดยเขาให้สัมภาษณ์อย่างสุภาพว่า “บางครั้งเราจำเป็นต้องตัดสินใจเรื่องยากๆ และเรารู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง” 

จะเห็นว่าเบ็คแฮมเลือกวางความเป็นเพื่อนที่เป็นเรื่องของส่วนตัวไว้ก่อน แล้วให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของทีมเป็นหลัก ซึ่งเป็นท่าทีแบบมืออาชีพที่ช่วยลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนในวงการได้เป็นอย่างดี

ด้านการจัดการข่าวลือและดราม่านอกสนามก็เป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ เมื่อคนดังอยู่ในความสนใจของสื่อ บ่อยครั้งจนอาจเกิดข่าวลือต่างๆ ที่อาจส่งผลลบต่อสโมสร 

กรณี โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ที่มีประเด็นดราม่าระหว่างฤดูกาลว่าเขากับ จักรพันธ์ พรใส กัปตันทีมเกิดความไม่ลงรอยกันเรื่องส่วนตัวข่าวลือพาดพิงถึงปัญหาเรื่องผู้หญิง สร้างความกังวลว่าจะกระทบความสามัคคีในทีม 

อย่างไรก็ดี ทั้งโตโน่และจักรพันธ์เลือกที่จะแสดงความเป็นมืออาชีพ โดยในนัดถัดมาที่ทีมทำประตูได้ ทั้งสองสวมกอดดีใจฉลองประตูร่วมกันต่อหน้ากล้อง สยบข่าวลือเรื่องเกาเหลาให้จบลงทันที 

หลังเกม โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ได้เดินไปขอบคุณแฟนบอลและเลือกที่จะไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ เกี่ยวกับกระแสดราม่าส่วนตัวระหว่างเขากับนักเตะในทีม ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถลดความร้อนแรงของข่าวลือในช่วงเวลานั้น และช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของสื่อกลับไปยังผลงานในสนามได้ในระดับหนึ่ง

ในแง่หนึ่ง วิธีนี้อาจถูกมองว่าเป็นการ “จัดการความขัดแย้งอย่างชาญฉลาด” โดยใช้ผลงานและภาพการแสดงออกในสนามเป็นเครื่องยืนยันความเป็นหนึ่งเดียวในทีม ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ได้ผลในแวดวงกีฬาและบันเทิงอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คำพูดอาจยิ่งขยายประเด็น

แต่อีกด้านหนึ่ง การหลีกเลี่ยงการชี้แจงก็อาจเปิดช่องให้เกิดการตีความหลากหลาย และทำให้ความเชื่อมั่นในความโปร่งใสของทีมลดลงในสายตาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเมื่อเรื่องส่วนตัวเริ่มเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ภายในทีมในเชิงภาพลักษณ์สาธารณะ แนวทางนี้อาจเหมาะสมเฉพาะในระยะสั้น แต่หากเกิดประเด็นลักษณะนี้ซ้ำๆ การเงียบอาจไม่ใช่คำตอบที่เพียงพอในระยะยาว

จึงกล่าวได้ว่า แม้การจัดการของ โตโน่ จะช่วยประคับประคองบรรยากาศในช่วงเวลานั้นได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของการบริหารทีมโดยคนดัง ซึ่งต้องมีความรอบคอบในการสื่อสารและการวางบทบาทของตนเองอย่างสมดุลระหว่าง “คนบันเทิง” และ “ผู้บริหารกีฬา” อย่างแท้จริง

อีกมิติหนึ่งคือ คนดังอาจคิด “นอกกรอบ” เพื่อความก้าวหน้าของสโมสร แต่บางครั้งแนวคิดนั้นอาจขัดกับกฎหรือธรรมเนียมปฏิบัติเดิมจนเกิดข้อถกเถียงหรือจะเรียกได้ว่าเป็นความขัดแย้งกับกฎระเบียบและองค์กร

กรณีเจ้าของทีม เร็กซ์แฮม มีแนวคิดอยากให้ทีมเข้าแข่งขันใน ฟุตบอลถ้วยของเวลส์ (Welsh Cup) บอลถ้วยภายในที่คล้ายๆกับ เอฟเอคัพ (FA Cup), คาราบาว คัพ (EFL Cup) นั่นเอง เพื่อเปิดทางลัดในการไปเล่นฟุตบอลยุโรปได้ง่ายขึ้น 

เพราะตามปกติ สโมสรจากเวลส์ที่เล่นอยู่ในลีกอังกฤษ หากอยากได้สิทธิ์ไปถ้วยยุโรป ต้องคว้าแชมป์ในรายการฟุตบอลถ้วยของเวลส์เท่านั้น

หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เจ้าของทีมมีแนวคิดประมาณว่า “งั้นเรากลับไปแข่งบอลถ้วยของเวลส์ดีไหม จะได้ไปโควต้าเล่นบอลถ้วยยุโรปได้ง่ายขึ้น” แต่...การทำแบบนั้น อาจขัดกับกฎของลีกอังกฤษ เพราะแม้เร็กซ์แฮมจะเป็นทีมจากเวลส์ แต่ตอนนี้พวกเขา ลงเล่นอยู่ในระบบลีกของอังกฤษแล้ว

ส่งผลให้ทั้งอดีตผู้บริหารและกลุ่มแฟนบอลบางส่วนแสดงความกังวลและไม่เห็นด้วย โดย สมาคมผู้สนับสนุนสโมสรเร็กซ์แฮม (Wrexham Supporters Trust) แถลงว่า “หากการเข้าร่วมถ้วยยุโรปจะทำให้สถานะสมาชิกลีกอังกฤษของเร็กซ์แฮมมีปัญหา พวกเราก็ไม่สนับสนุน”​ 

กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ดาราเจ้าของทีมจะมีวิสัยทัศน์ไกลเพียงใด ก็ต้องฟังเสียงของผู้เกี่ยวข้องรายอื่นและเคารพกติกาส่วนรวม ซึ่งทางเร็กซ์แฮมก็รับฟังเสียงท้วงติงนี้ โดยยังไม่มีการดำเนินการฝ่าฝืนกฎใดๆ ยังคงโฟกัสการเลื่อนชั้นในระบบลีกปกติ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับองค์กรลูกหนังและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับแฟนคลับดั้งเดิม

สิ่งสำคัญที่สุดที่ขาดไปไม่ได้คือการยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาด ปฎิเสธไม่ได้ว่าคงไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด คนดังที่มาบริหารทีมก็เช่นกัน สิ่งสำคัญคือเมื่อเกิดความผิดพลาดแล้วต้องแก้ไขอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว 

ตัวอย่างเช่น อินเตอร์ ไมอามี่ ในปีแรก 2020 ได้กระทำผิดกฎเพดานค่าเหนื่อยของ เมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ (Major League Soccer - MLS) โดยการเซ็นสัญญา แบลส มาตุยดี้ (Blaise Matuidi) อดีตกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสเข้ามาแบบไม่ลงทะเบียนเป็นผู้เล่นโควตาพิเศษ (Designated Player) ทั้งที่จ่ายค่าเหนื่อยให้เขาสูงเกินเกณฑ์ผู้เล่นทั่วไป 

ทำให้ทีมมีผู้เล่นค่าเหนื่อยสูงเกินโควตาไป 1 คน ซึ่งเกินจากที่ลีกให้มี 3 คน​ เมื่อ MLS สอบสวนพบความผิด อินเตอร์ไมอามี่ก็ยอมรับบทลงโทษโดยดี 

ซึ่งรวมถึงการปรับเงินสโมสร 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 66.6 ล้านบาท) และปรับเงินเจ้าของร่วม ฮอร์เก้ มาส (Jorge Mas) จำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งลดสิทธิ์การซื้อผู้เล่นในอนาคตตามโทษที่ลีกกำหนด 

นอกจากนี้ สโมสรยังจัดการแก้ไขด้วยการปล่อยผู้เล่นที่เกินโควตา มาตีอัส เปลเลกรีนี่ (Matías Pellegrini) ออกไปยืมตัวเพื่อกลับเข้าสู่กฎที่ถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด​ พร้อมกับปรับโครงสร้างบริหารใหม่ ดึงตัว คริส เฮนเดอร์สัน (Chris Henderson) อดีตผู้บริหาร ซีแอตเทิล ซาวน์เดอร์ส (Seattle Sounders) ที่มีความเชี่ยวชาญมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬา แทนทีมบริหารชุดเดิมที่ทำพลาด เรียกว่าหลังจากนั้นอินเตอร์ไมอามี่ก็ไม่เคยมีปัญหาผิดกฎอีกเลยและสามารถเดินหน้าสร้างทีมจนประสบความสำเร็จในที่สุด

จากตัวอย่างทั้งหมดข้างต้น หัวใจของการรับมือปัญหาระหว่างดาราผู้บริหารกับทีมงานมืออาชีพคือ การสื่อสารและความเคารพในบทบาทซึ่งกันและกัน 

คนดังต้องรู้ขีดจำกัดของตน ยอมรับฟังผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ตนไม่ถนัด ขณะเดียวกันทีมงานมืออาชีพก็ต้องเปิดใจกับแนวคิดใหม่ๆ และความหวังดีที่ผู้บริหารคนดังพยายามนำเข้ามา ที่สำคัญคือทุกฝ่ายควรมองเป้าหมายเดียวกันคือ ความสำเร็จของสโมสร 

หากมีข้อขัดแย้งก็ให้แก้ไขบนหลักการนี้ แม้บางครั้งต้องแลกกับการตัดสินใจที่เจ็บปวด เช่น ปลดเพื่อน, ปล่อยนักเตะที่ชอบ แต่หากทำด้วยเหตุผลที่สมเหตุสมผลและโปร่งใส ย่อมช่วยให้ก้าวข้ามปัญหาและรักษาความเป็นมืออาชีพในระยะยาวได้

 

บทสรุป 

การที่ดาราหรือคนดังเข้ามามีบทบาทบริหารสโมสรฟุตบอลไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการ และในปัจจุบันก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นการวัดความสำเร็จหรือล้มเหลวจึงต้องพิจารณาเป็นรายกรณี

บางคนมาด้วยใจรักและวิสัยทัศน์ที่ดี ก็สามารถพาทีมก้าวหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม อย่าง กรณี ไรอัน เรย์โนลด์ส กับ เร็กซ์แฮม , เดวิด เบ็คแฮม  กับ อินเตอร์ ไมอามี่ หลังได้ ลิโอเนล เมสซี่ , เอลตัน จอห์น กับ วัตฟอร์ด 

ขณะที่บางคนอาจเข้ามาด้วยเจตนาดีแต่ขาดเวลาและความรู้ ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามหวัง กรณี ร็อบบี้ วิลเลียมส์ กับ พอร์ต เวล หรือดาราบางคนที่มาช่วยทีมระยะสั้นๆ แล้วก็ถอยไป

ที่แน่นอนคือ เมื่อคนดังเข้ามาเกี่ยวข้องกับสโมสรฟุตบอล สิ่งที่ตามมาแน่ๆ คือความสนใจจากสาธารณะ ซึ่งหากบริหารจัดการดี ความสนใจนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังบวก สร้างประโยชน์ให้ทีมในหลายมิติ ดังที่เราได้เห็นจากกรณีศึกษาต่างๆ แต่ในทางกลับกัน หากขาดการจัดการที่รอบคอบ ก็อาจกลายเป็นดาบสองคมที่นำแรงกดดันและปัญหามาสู่ทีมได้เช่นกัน

 

บทความโดย นักศึกษาฝึกประสบการณ์ สมปรารถนา อำนวยลาภไพศาล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Author

Main Stand

Stand ForAll สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน

Photo

อาณกร จารึกศิลป์

Main Stand's Photographer

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ