การดวลจุดโทษชนะ ลาซิโอ ทำให้ โบโด กลิมท์ เป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลนอร์เวย์ ที่สามารถเข้าถึงรอบตัดเชือกฟุตบอลยุโรปได้สำเร็จ
และที่เหลือเชื่อของเรื่องนี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องฟลุ๊กที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาจากชั่วข้ามคืน เพราะนี่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้นักรบไวกิ้งที่กลายเป็นกองทัพอันแข็งแกร่งของชนกลุ่มเล็กที่ท้าทายชาติใหญ่ ๆ ในยุโรปเมื่อยุคกลางเลยทีเดียว
นี่คือเรื่องราวของ โบโด กลิมท์ สโมสรจากเมืองที่หนาวเหน็บ และมีประชากรไม่ถึง 5 หมื่นคนจนคุณไม่คิดว่าจะมีทีมฟุตบอลชั้นยอดตั้งอยู่
ไปรู้จักพวกเขาพร้อมกับ Main Stand
กำเนิดนักรบไวกิ้งแห่งโลกฟุตบอล
โบโด กลิมท์ คือสโมสรที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1916 ณ เมืองเล็ก ๆ ของประเทศนอร์เวย์ ที่ชื่อว่า โบโด เมืองนี้ตั้งอยู่ในอาร์คติกเซอร์เคิร์ล หรือดินแดนที่กลางวันสั้น และมีกลางคืนอันยาวนาน ซึ่งมันก็ส่งผลถึงสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ ขนาดที่ว่าในบางครั้งต้องใช้พลั่วตักหิมะออกจากสนามก่อนที่เกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น
ท่ามกลางสภาพอากาศที่ย่ำแย่และเมืองที่มีประชากรไม่มากนัก สโมสร โบโด กลิมท์ จึงเป็นได้แค่ทีมไม้ประดับ มีทีมฟุตบอลเพื่อให้คนท้องถิ่นได้เล่นกีฬาและออกกำลังกายเป็นหลัก กว่าที่พวกเขาจะได้ลงเล่นในเกมระดับลีกและฟุตบอลถ้วยของประเทศก็ต้องรอจนถึงปี 1963 เลยทีเดียว
ซึ่งช่วงเวลาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายให้น่าจดจำนัก เพราะพวกเขาลงเล่นในลีกรอง และลีกระดับดิวิชั่น 3 ของประเทศเป็นหลัก จนกระทั่งมาถึงยุค 1980s พวกเขาจึงค่อย ๆ พัฒนามาเป็นทีมระดับขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างลีกสูงสุดและลีกรอง จนกระทั่งเริ่มมีการปรับเข้าหากันระหว่างสโมสร และท้องถิ่น ซึ่งสุดท้ายสโมสรนี้ก็ถูกยอมรับกลายเป็นทีมประจำเมือง และมีแฟนบอลในเมืองที่มีจำนวน 55,000 คน เริ่มสนับสนุนสโมสรมากขึ้นในหลาย ๆ ทาง ทั้งการเข้าไปดู การหาสปอนเซอร์ท้องถิ่น และการผลักดันนักเตะจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างช้า ๆ
เคทิล คนุตเซ่น กุนซือคนปัจจุบันของ โบโด กลิมท์ เล่าย้อนหลังไปว่าสโมสรเจริญเติบโตขึ้นมาก ๆ ในช่วง 6 ปีหลังสุด เหตุผลที่ทีมดีขึ้นไม่ใช่เพราะพวกเขามีนายทุนยักษ์ใหญ่เข้ามาเทคโอเวอร์ แต่มันคือการร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่ายทั้งประธานสโมสร ทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ช นักเตะ และแฟนบอล โดยเป้าหมายที่พวกเขาตั้งเป้าร่วมกันเกิดขึ้นในปี 2017 ซึ่งเป้าใหญ่มีอยู่ว่า "การคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก"
นี่คือเป้าหมายที่โคตรจะหาญกล้า แต่พวกเขายืนยันว่าถ้าไม่กล้าตั้งเป้าหมาย ก็จะไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้แบบสุดแรงเกิดได้
"การมาจากจุดต่ำที่สุด และการถูกมองเป็นทีมเล็ก ๆ ของประเทศถือเป็นสารตั้งต้นชั้นดีของพวกเรา เราจะเริ่มสร้างฟุตบอลของเราจากตรงนี้แหละ เราได้รับการสนับสนุนมากมาย และตอนนี้ทั้งเมืองแทบจะกลายเป็นเมืองแห่งฟุตบอลไปแล้ว” คนุดเซ่น ว่าเช่นนั้น
ขณะที่ ฮาร์คอน ซอลต์เนต นักเตะที่ย้ายมาอยู่กับทีมตั้งแต่ปี 2017 ได้ขยายความเพิ่มเติมว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้แตกต่างกับตอนที่ผมย้ายทีมมาเมื่อ 6 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ผมมาที่นี่ครั้งแรก นี่แทบจะเป็นสโมสรที่อยู่ระดับกึ่งอาชีพด้วยซ้ำ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนช่วยกันเริ่มต้นพร้อม ๆ กัน ณ ตอนนี้เรากลายเป็นทีมชั้นนำของประเทศไปแล้ว"
คำถามคือ คุณจะเปลี่ยนทีมที่ดิ้นรนหนีตกชั้นในปี 2018 ให้กลายเป็นทีมที่สร้างความบันเทิงยิงประตูแหลกในปี 2019 ที่จบอันดับสองของตาราง และก่อนที่สุดท้ายคือทีมที่ทำลายสถิติด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในปี 2020 ได้อย่างไร ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายคนยังทำงานที่นี่ และเล่าเรื่องนี้ได้จากความทรงจำอันแม่นยำของพวกเขา
โค้ชที่ดี การเรียนรู้ที่ถูกต้อง
ไม่รู้ให้ถาม ไม่มีสิ่งไหนก็เดินทางออกเสาะแสวงหา นี่คือคำที่เหมาะกับทีม โบโด กลิมท์ อย่างแท้จริง เรื่องนี้ยังคงออกมาจากปากของ คนุดเซ่น เช่นเคย ก่อนที่เขาจะมารับงานคุมทีม โบโด กลิมท์ ในปี 2018 เจ้าตัวเคยทำงานกับสโมสรในลีกล่าง ๆ มาหลายทีม จนกระทั่งมาได้งานที่ยิ่งใหญ่ด้วยเป้าหมายดังที่กล่าวมาในข้างต้น
ย้อนกลับไปตอนนั้น คนุดเซ่น ไม่ใช่โค้ชที่เก่งกาจหรือโด่งดังมากนัก แต่เขามีแนวคิดที่แปลกใหม่และเปิดกว้าง เขารู้ว่าฟุตบอลของ นอร์เวย์ ไม่ใช่ฟุตบอลที่แข็งแกร่งที่สุด โดยเฉพาะการตั้งเป้าไว้ที่การเป็นแชมป์ลีก และไปเล่นในถ้วยยุโรปในเวลาอันสั้น ดังนั้นเมื่อไม่รู้เขาจึงเริ่มหาความรู้ไปพร้อม ๆ กับการรับงานที่ท้าทายนี้ เขาเริ่มติดต่อคนที่เคยร่วมงานด้วยกันในอดีตหลายคน เข้ามาช่วยกันรันภารกิจนี้ และคู่คิดคนสำคัญของ คนุดเซ่น ก็คือ มอร์เทน คัลเวเนส ที่เคยทำงานร่วมกันในช่วงปี 2017
คัลเวเนส คือคนที่ คนุดเซ่น สั่งให้เดินทางไปทั่วยุโรปเพื่อดูงานกับทีมระดับชั้นนำมากมายทั้งในบุนเดสลีกา และพรีเมียร์ลีก สิ่งที่พวกเขาทั้งคู่ต้องการก็คือแนวทางการซ้อมที่ถูกต้อง การบริหารจัดการผู้เล่น หรือความเข้มข้นเชิงแท็คติกทั้งบนสนามจริงและสนามซ้อม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ โบโด กลิมท์ ไม่เคยมีมาก่อน
"การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นเป็นอันดับแรกก็เราเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ... ผมเดินทางไปทั่วยุโรป ดูการซ้อมของทีมตั้งแต่ระดับอคาเดมี่จนถึงชทีมชุดใหญ่ของสโมสรต่าง ๆ ซึ่งพวกเราก็พบว่าสิ่งที่เราควรทำคือการเอาจริงเอาจัง และการเปลี่ยนแนวคิดของการเป็นมืออาชีพ นั่นคือทำอย่างไรให้ทุกคนลงสนามไปและเกิดความอยากชนะ รู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบต่อผลการแข่งขันในฐานะนักเตะที่กองเชียร์ของเราเข้ามาเชียร์กันในสนาม"
"นอกจากนี้เราก็เริ่มยกระดับโครงสร้างด้านอื่น ๆ ขึ้นมา การนำบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เข้ามาทำงาน การวางปรัชญาการทำทีมของสโมสร การทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของการทำงานหนัก มีวินัย และสม่ำเสมอ" คัลเวเนส ว่าถึงในช่วง 1 ปีแรกในปี 2018 ที่ทีมยังเป็นทีมหนีตกชั้นของลีกนอร์เวย์อยู่เลยด้วยซ้ำ
ทั้ง คนุดเซ่น และ คัลเวเนส เดินหน้าร่วมกันสร้างแนวคิดนี้ขึ้นมา และค่อย ๆ เปลี่ยนนักเตะในทีมไปตามปรัชญาที่เขาได้ศึกษาและเรียนรู้ จากนั้น 1 ปีให้หลังทุกคนในสโมสรก็เริ่มมองไปยังทิศทางเดียว การซ้อมของทีมหนักมากที่สุดในลีกนี้ นั่นคือสิ่งที่ คนุดเซ่น ยืนยัน และเป็นพื้นฐานความสำเร็จของโบโด กลิมท์ อย่างแท้จริง
"สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นหลังจากนั้นก็คือนักเตะในทีมของเรามีการฝึกซ้อมที่เปลี่ยนไป ทัศนคติของผู้เล่นในทีมดีขึ้นมาก เราเริ่มทำอะไรในสนามซ้อมได้มากขึ้น และนั่นก็ส่งผลไปยังผลไปยังเวลาที่ทีมลงการแข่งขันจริงด้วย" คนุดเซ่น กล่าว
"เราเริ่มยืดหยุ่นละมีความเข้าในในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงชัด ๆ คือปี 2019 ที่เราใส่วิธีการเล่นโต้กลับเร็ว บีบเพรสซิ่งสูง และเปลี่ยนจากรับเป็นรุกด้วยระยะเวลาที่สั้นที่สุดได้ดีมากขึ้น ซึ่งเราก็ทำควบคู่กันไปกับกลยุทธ์การเล่นเกมรับแบบยืนต่ำ ในบางสัปดาห์ เราเชี่ยวชาญกับมันมากขึ้น และในขณะเดียวกันเราก็มองหาวิธีที่จะเปลี่ยนจากการตั้งรับ ขึ้นไปกดดันคู่แข่งให้ได้มากขึ้นด้วย"
"ฟุตบอลของเราต้องไปข้างหน้า และนักเตะต้องวิ่งด้วยกันหมดทั้งทีม ... เราจะโจมตีคู่แข่งด้วยการเปลี่ยนรับเป็นรุกให้เร็วที่สุด"
อย่างที่บอกไว้ปี 2018 พวกเขาหนีตกชั้น ปี 2019 พวกเขาจบอันดับ 2 ด้วยสถิติยิงประตูมากที่สุดในลีก ขณะที่ในฤดูกาล 2020 พวกเขายกระดับกลายเป็นทีมที่ดีที่สุดในลีกนอร์เวย์ ด้วยการคว้าแชมป์แบบทำลายสถิติทั้งการเก็บคะแนนได้ถึง 81 แต้ม และยิงไปถึง 103 ประตูในเกมลีก
การได้แชมป์ในครั้งนั้นเปรียบเสมือนการตั้งหลักเพื่อยืนในระยะยาวของ โบโด กลิมท์ พวกเขาอาจจะไม่มีเงินมากนัก แต่พวกเขามีแนวคิดในการเล่นที่เหมาะสม และมีการฝึกซ้อมที่ช่วยกระดับนักตะท้องถิ่นให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเชิงกลยุทธ์ ที่พวกเขาใช้ทีมเวิร์กเป็นหลักมากกว่าพึ่งพาใครเพียงลำพัง ... และจนถึงตอนนี้จากที่เคยเป็นรองทีมอย่าง โรเซนบอร์ก, บาร์น, ลีลล์สตรอม หรือทีมใด ๆ ก็ตาม โบโด กลิมท์ ได้ยักระดับกลายเป็นผู้นำเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาคว้าแชมป์ลีกถึง 4 สมัยจาก 5 ปีหลังสุด และเหนือสิ่งอื่นใดพวกเขายังไม่เคยลืมเป้าหมายสุดเว่อร์ที่ตั้งไว้ ... นั่นคือการเป็นแชมป์ยุโรป
เป้าหมายที่(เขาบอกว่า)เป็นไปไม่ได้
การเล่นฟุตบอลยุโรปของ โบโด กลิมท์ ก็พัฒนาขึ้นตามแต่ละปีที่พวกเขาเข้าร่วม ปีแรกพวกเขาแพ้ มิลาน ในรอบเพลย์ออฟ ยูโรป้า ลีก, ปี 2021 พวกเขาตกรอบเพลย์ออฟ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ให้กับ ลีเกีย วอร์ซอว์ แต่นั่นก็ทำให้พวกเขาได้มาเล่นใน ยูฟ่า คอนเฟอร์เรนซ์ ลีก และนำมาซึ่งประสบการณ์ครั้งสำคัญ โดยในซีซั่นดังกล่าว โบโด กลิมท์ เข้าไปถึงรอบน็อคเอาต์ และเคยขึ้นหน้าหนึ่งทุกสำนักด้วยการถล่ม โรม่า ที่มี โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีมอีกด้วย
ปี 2022 โบโด กลิมท์ เจอโรม่า อีกครั้ง ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายรายการ ยูฟ่า คอนเฟอร์เรนซ์ ลีก แม้พวกเขาจะเอาชนะเกมเหย้าไปก่อน 2-1 แต่ก็แพ้ในเกมเยือนตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 2-5 ... จากนั้น โบโด กลิทม์ ก็สะสมชั่วโมงบินในระดับยุโรปเรื่อยมาก และเริ่มเป็นที่รู้จักเวลาที่พวกเขาเล่นในบ้าน พวกเขาจะได้ผลการแข่งขันที่ดีมาก ๆ ชนะทีมใหญ่ ๆ ได้เสมอ แม้กระทั่งปีทีนี้ที่พวกเขาเอาชนะ ลาซิโอ จนทำให้เข้ารอบตัดเชือก ยูโรป้า ลีก ได้เช่นกัน
"สังเวียนเหย้าของพวกเราหนาวมาก ๆ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีถึงต้นปี เรามีสนามเป็นสนามหญ้าเทียม และทำให้หลายทีมเล่นยาก แต่พวกเราซ้อมกันหนักมาก ๆ และชินกับพวกมันไปแล้ว" ฮาคอน เอฟเย่น นักเตะชุดปัจจุบันกล่าวเริ่ม
"บางครั้งแต่ละทีมที่มาเยือนจะต้องเจออุณภหภูมิระดับ -10 องศาเซลเซียส พื้นหญ้าที่แข็ง ๆ เป็นประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย มันอาจจะทำให้เราได้เปรียบ ณ จุดนี้ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเราก็พัฒนาตัวเองเสมอ เพื่อจะทำให้ทีมของเราสามารถเล่นได้อย่างแข็งแกร่งในทุก ๆ ที่ ไม่ว่าจะเล่นบนสนามหญ้าเทียมของตัวเอง หรือสนามเยือนไหน ๆ ก็ตาม"
ด้วยความที่ทีมประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศ และค่อย ๆ ทำดีขึ้นเรื่อย ๆ ในถ้วยยุโรป แฟนบอลท้องถิ่นก็เริ่มให้ความสนใจมากขึ้นหลายเท่า โดยในซีซั่นนี้ในเกมที่ โบโด กลิมท์ มาเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ในรอบลีก พวกเขามีแฟนบอลตามมาเชียร์ถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ถึง 6500 คน คิดเป็นร้อยละ 12 ของประชากรในเมืองโบโด มันแสดงออกว่า ณ ตอนนี้ฟุตบอลของที่นี่กลายเป็นของดีประจำเมืองที่ทุกคนภูมิใจที่แสดงออกว่า "เราคือแฟนบอลทีมนี้"
ณ ตอนนี้พวกเขามาไกลจนถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย มันคือฝันที่เร็วเกินคาด พวกเขาใช้เวลาแค่ 5-6 ปี จากทีมระดับกึ่งอาชีพมาถึงตรงนี้ได้สำเร็จ โดยด่านต่อไปพวกเขาจะต้องเจอกับ สเปอร์ส ทีมแกร่งจากอังกฤษ และแน่นอนว่าไม่ว่าจะเจอใครทีม ๆ นี้ก็ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น สำหรับพวกเขา.. เป้าหมายมีไว้พุ่งชนเสมอ
กลิมท์ ในภาษานอร์เวย์แปลว่า "แสง" และทีม ๆ นี้จึงลงเล่นด้วยชุดสีเหลืองล้วนที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นยิ่งกว่าทีมไหน ๆ ... ณ ตอนนี้ฟุตบอลของ โบโด กลิมท์ คือแสงแห่งศรัทธาที่ยืนยันได้ว่า ไม่ว่าเป้าหมายจะใหญ่ขนาดไหน ก็มีสิทธิ์ที่จะเดินเข้าไปใกล้มันได้ ด้วยความพยายามและความสามัคคีของทุก ๆ ภาคส่วน ... นี่อาจจะเป็นเรื่องราวที่ช่วยส่งข้อความถึงหลาย ๆ สโมสรบนโลกนี้ที่มาจากลีกเล็ก ๆ ว่าพวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นทีมเล็กบนเวทีใหญ่อย่าง โบโด กลิมท์ ได้เช่นกัน
แหล่งอ้างอิง
https://edition.cnn.com/2025/01/30/sport/bodo-glimt-football-europa-league-spt-intl/index.html
https://www.nytimes.com/athletic/3117816/2022/08/26/bodo-glimt-a-norwegian-fairytale-based-on-overtraining-reinvention-and-x-factor-players/
https://www.goal.com/en/lists/bodo-glimt-arctic-circle-embarrassed-jose-mourinho-teach-man-utd-lesson-europa-league/blt63bb995b5fb16733
https://www.theguardian.com/football/2024/nov/27/bodo-glimt-manchester-united-europa-league