ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ยอดทีมดังแห่งประเทศมาเลเซีย ถูกยกให้เป็นนสโมสรอันดับต้น ๆ ในทวีปอาเซียน และยังได้รับการประเมินจากทางเว็บไซต์ Tranfermarkt ให้เป็นสโมสรในแถบอาเซียนที่มีมูลค่านักเตะมากที่สุด ที่ 14.88 ล้านยูโร
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม กลายเป็นสโมสรชั้นนำในอาเซียน มาจาก "มกุฎราชกุมารแห่งรัฐยะโฮร์" ตวนกู อิสมาอิล อิบราฮิม ที่ทุ่มเงินทำทีมให้กับ ยะโฮร์ แบบไม่อั้น กว้านซื้อนักเตะต่างชาติดีกรีลีกท็อปยุโรปไปร่วมทีมหลายราย อาทิเช่น อัลวาโร่ กอนซาเลซ, โจนาธาน วิเอร่า, เฆเซ่ โรดริเกซ หรือแม้แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาที่พวกเขาเพิ่งเซ็นสัญญาคว้าตัว ซามู กาสติเยโฆ่ อดีตริมเส้นตัวจี๊ดของ เอซี มิลาน
ด้วยคุณภาพนักเตะชื่อดังมากมายภายในทีม ส่งผลให้ในปัจจุบัน ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ถูกยกให้เป็นคู่ต่อกรสำคัญของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่จากประเทศไทย ว่าใครคือ "เบอร์หนึ่งของอาเซียน" กันแน่ ซึ่งทั้งสองเตรียมมีคิวต้องมาดวลกัน (อีกครั้ง) ในศึกฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก อีลีท วันที่ 4 มีนาคม เวลา 21.00 น.
และก่อนที่สองสุดยอดสโมสรจะฉะแข้งกันเพื่อชิงศักดิ์ศรีความเป็นเต้ยทีมอาเซียน Main Stand ขอพามาทำความรู้จักกับแพชชั่นและความยิ่งใหญ่ของทีมแชมป์ลีกสูงสุดมาเลเซีย 11 สมัยกันให้มากขึ้น
ต่างชาติโปรไฟล์ดี
หากใครที่คิดว่า "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เต็มไปด้วยแข้งนักเตะต่างชาติแทบทั้งทีม เวลาลงทำการแข่งขันในศึกฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก อีลีท แทบจะไม่ได้เห็นนักเตะชาวไทยลงสนาม
ในอีกมุมหนึ่ง ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ก็ไม่แพ้กันในด้านนี้ เพราะทั้ง 2 สโมสรต่างมีเป้าหมายทิศทางเดียวกันคือต้องการทะลุไปให้ไกลมากที่สุดในการแข่งขันรายการนี้
เราจึงเห็นกันได้ว่า ยะโฮร์ ก็แทบไม่มีนักเตะมาเลย์อยู่ในรายชื่อ 11 ตัวจริง ในแต่ละนัดเช่นกัน หากจะมีที่ได้ลงสนามอยู่ใน 11 ตัวจริง ก็มีเพียงแค่ในรายของ อารีฟ ไอมาน ปีกดาวรุ่งวัย 22 ปี และ อิกนาซิโอ้ นัตโซ อินซา กองกลางกัปตันทีมวัย 38 ปีเท่านั้น แถมในรายหลังก็ไม่ได้มีสายเลือดมาเลย์แบบ 100%
นอกเหนือจากนั้น นักเตะตัวจริงของ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ในการลงเล่นบอลเอเชีย ต่างเต็มไปด้วยนักเตะต่างชาติทั้งสิ้น มิหนำซ้ำตัวต่างชาติของทาง ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม นั้นยังเต็มไปด้วยนักเตะที่มีโปรไฟล์ชื่อดังเคยโลดแล่นสโมสรในเวทียุโรปมาด้วยกันชนิดอาวุธครบมือ
อย่างไรก็ตามหากให้พูดถึงนักเตะต่างชาติของ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม มีคุณภาพสูงมากขนาดไหน? คงพูดได้ว่าสูงมาก เพราะขณะที่ทาง เฮแบร์ตี้ แฟร์นันเดส ดาวเตะชาวบราซิล ที่มีเกียรติประวัติเป็นถึง "ดาวซัลโวตลอดกาล" ศึกฟุตบอลไทยลึก ยังตกเป็นเพียงแข้ง "ตัวสำรอง" ภายในทีมเท่านั้น
ด้วยชื่อชั้นรวมไปถึงโปรไฟล์นักเตะต่างชาติของ ยะโฮร์ ต่างเต็มไปด้วยนักเตะคุณภาพ ซึ่งนักเตะส่วนใหญ่นั้นล้วนมาจากประเทศสเปนหลายราย และเคยผ่านการลงเล่นลีกสูงสุดอย่าง ลาลีกา สเปน มาแล้ว
เริ่มตั้งแต่ผู้รักษาประตูของทีม ได้แก่ อันโดนี่ ซูบิยาร์เร่ อดีตเด็กปั้นจากสโมสร เรอัล โซเซียดาด, สองคู่หูเซนเตอร์ฮาล์ฟของทีมทั้ง ฆอร์ดี้ อามัต ที่เคยผ่านการลงเล่นหลายสโมสรในแดนกระทิงดุทั้ง เอสปันญ่อล , เรอัล เบติส และ ราโย่ บาเยกาโน่ จับคู่กับ อัลวาโร่ กอนซาเลซ อดีตกองหลัง เอสปันญ่อล และ บียาร์เรอัล
ต่อด้วยผู้เล่นในแผงแดนกลางก็ยังอัดแน่นไปด้วยแข้งสแปนิชมากดีกรี ทั้ง ออสการ์ อาริบาส อดีตกองกลาง อัลกอร์กอน, โรเก้ เมซ่า อดีตกองกลาง เซบีย่า และ เรอัล บายาโดลิด, อิเกร์ อันดาเบร์ราน่า อดีตกองกลาง เลกาเนส, ฆวน มูนิซ อดีตกองกลาง สปอร์ติ้ง กิฆอน และ โจนาธาน วิเอร่า อดีตกองกลางกัปตันทีม ลาส ปัลมาส
ตามมาด้วยผู้เล่นในแนวรุกของทีมที่ล่าสุดเพิ่งเซ็นสัญญาคว้าตัว ซามู กาสติเยโฆ่ อดีตริมเส้น มาลาก้า, บียาร์เรอัล และเคยคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา กับทาง "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน เมื่อปี 2021-22 รวมถึง เฆเซ่ โรดริเกซ อดีตนักเตะ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด และ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง
มากไปกว่านั้น ยะโฮร์ ยังมีต่างชาติที่แม้ดีกรีอาจจะไม่ได้ท็อปเหมือนเหล่าแข้งลาลีกา ทว่ากลับสร้างประโยชน์ให้ทีมแบบไม่ได้น้อยหน้ากัน ทั้ง มูริลโล่ และ ฆอร์เก้ โอเบร์ก้อน สองริมเส้นชาวบราซิล และ โคลอมเบีย ที่เล่นได้สารพัดประโยชน์ตั้งแต่ตำแหน่งฟูลแบ็กไปจนถึงริมเส้นตัวบนของทีม รวมไปถึงในรายกองหน้าตัวเป้าของทีมอย่าง เบิร์กสัน ศูนย์หน้าชาวแซมบ้า
โดยเฉพาะในรายของ เบิร์กสัน แม้ว่าตลอดการอาชีพการค้าแข้งของเขาจะไม่เคยลงเล่นในเวทียุโรปเหมือนกับแข้งต่างชาติภายในทีมรายอื่น ๆ แต่หากเทียบฟอร์มการเล่นของเขานับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่กับทีมดังจากรัฐใต้สุดของมาเลเซีย ในปี 2021 เบิร์กสัน ทำประตูให้กับทีมไปได้มากถึง 148 ประตู จากการลงสนาม 150 นัดรวมทุกรายการ และยังครองตำแหน่งรางวัลดาวซัลโว ศึกฟุตบอล มาเลเซีย ซูเปอร์ลีก ได้มากถึง 4 สมัยติดต่อกัน จนมีข่าวลือไม่น้อยว่าเขา "อาจจะ" แปลงสัญชาติมาเล่นให้ทีมชาติมาเลเซียในอนาคต
ในมาเลเซียไม่มีใครสู้ได้
ด้วยการที่ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม เป็นสโมสรเงินถุงเงินถัง แถมแพชชั่นด้านฟุตบอลของเจ้าชายยะโฮร์อย่าง ตวนกู อิสมาอิล อิบราฮิม ก็ดูจะจริงจังมากกว่าทีมอื่น ๆ ในศึกฟุตบอลของประเทศมาเลเซีย
อีกสิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำว่า ยะโฮร์ ทุ่มเทกับการเป็นเจ้าลูกหนังแดนเสือเหลืองมากแค่ไหน ก็คือการที่พวกเขาต่างดึงแข้งโปรไฟล์ดีเข้ามาร่วมทีมมากมาย ตัวนักเตะสัญชาติมาเลเซียที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นตัวหลักของผู้เล่นทีมชาติชุดใหญ่ก็ต่างอยู่ในทีมของ ยะโฮร์ เช่นกัน
เริ่มตั้งแต่ อาหมัด ซีฮาน อัสมี่, ลอเรนซ์ คอร์บิน-อ่อง, แมทธิว เดวิด, เดแคลน แลมเบิร์ต, อาฟิก ฟาไซล์, ซาฟิค ราฮิม, นาซมี่ ฟาอิซ หรือแม้แต่ โมฮามาดู ซูมาเลห์ อดีตดาวเตะทีมชาติมาเลเซียที่เคยย้ายมาค้าแข้งใน "ไทยลีก" กับสโมสร โปลิศ เทโร เมื่อปี 2020
แม้ว่าในศึกฟุตบอล เอเอฟซี แชมป์เปี้ยนส์ ลีก อีลิท พวกเขาเหล่านี้จะไม่ค่อยได้รับโอกาสในการลงสนามที่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพียงตัวสำรองทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันฟุตบอลลีกของประเทศมาเลเซีย พวกเขาต่างได้ลงสนามเป็นตัวหลักให้กับสโมสรตลอดทั้งฤดูกาล เพราะเนื่องจากกฎการแข่งขันศึกฟุตบอล มาเลเซีย ซูเปอร์ ลีก ที่แม้ว่าจะส่งรายชื่อลงแข่งขันได้มากถึง 12 ราย ทว่าในแต่ละแมตช์การแข่งขันสามารถส่งลงแข่งได้เพียง 7 รายเท่านั้น โดยแบ่งเป็น 6 ผู้เล่นต่างชาติ และ 1 ผู้เล่นเอเชีย
จึงเป็นที่มาให้นักเตะชาวมาเลเซียภายในทีม ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ต่างยังได้รับโอกาสในการลงสนามเช่นกัน และด้วยสาเหตุที่ทั้งตัวต่างชาติผสมผสานกับแข้งภายในประเทศที่คุณภาพเปี่ยมล้น เป็นที่มาให้พวกเขาต่างไล่ยิงประตูคู่แข่งทีมใน มาเลเซีย ซูเปอร์ลีก ได้อย่างไม่ยากมากนัก
เราจึงได้เห็นกันว่าศึกฟุตบอล มาเลเซีย ซูเปอร์ลีก กลายเป็นลีกที่ผูกขาดทีมเป็นแชมป์ลีกไปเสียแล้ว เพราะหากย้อนกลับไปดูสถิติ 11 ปีหลังสุด ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม สามารถโกยแชมป์ลีกของสูงสุดได้ทุกปี
ยิ่งมากไปกว่านั้น หากย้อนกลับไปดูสถิติเชิงลึกจะเห็นได้ว่าแมตช์สุดท้ายที่ทาง ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม สะกดคำว่า "แพ้" ต้องย้อนกลับไปถึงฤดูกาล 2021 หรือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่พวกเขาแพ้ให้กับสโมสร ตรังกานู เอฟซี คารังของตนเองไปด้วยสกอร์ 0-1
ด้วยผลงานที่ยากจะมีทีมในประเทศมาต่อกรกับทาง ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม เป็นที่มาให้ครั้งหนึ่งได้มีแฟนบอลในประเทศมาเลเซีย ต่างออกมาต่อว่าเจ้าของสโมสรอย่างตรงไปตรงมาว่า คือคนที่ทำให้ มาเลเซีย ซูเปอร์ลีก กลายเป็นลีกที่ไม่มีความสนุก เพราะมีอย่างทีมที่ใช้ "เงิน" ซื้อความสำเร็จแบบทีมอย่าง ยะโฮร์ อยู่ในลีก
จนทางฝั่งของ ตวนกู อิสมาอิล อิบราฮิม ถึงกับทนกระแสต่อต้านไม่ไหว จนต้องออกมาให้ความคิดเห็นตอบกลับเหล่าแฟนบอลอย่างตรงไปตรงมาเอาไว้ว่า
"มีคนต่อว่าผมและสโมสร ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ว่าคือตัวการณ์ที่ทำให้ลีกมาเลเซีย หมดความสนุก และพูดว่าผมคือคนที่ฆ่าลีกฟุตบอลมาเลเซีย ช่วยตอบผมทีว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันผิดตรงไหน ผมทำให้ทุกทีมได้เห็นแล้วว่าความสำเร็จต้องทำแบบไหน"
"พวกคุณไม่เห็นหรอว่าในฟุตบอลเอเชีย ผมสามารถทำให้ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม กลายเป็นหนึ่งในสโมสรไม่กี่ทีมในทวีปอาเซียนที่สามารถสู้กลับทีมชั้นนำในเอเชียและเอาชนะได้ ผมขอร้องล่ะพวกเราหยุดด่ากันเองและมาจับมือสามัคคีเพื่อผลักดันให้ลีกของมาเลเซีย เติบโตไปมากกว่านี้ สิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดก็เพื่อฟุตบอลของประเทศนี่แหละ"
ยะโฮร์ VS บุรีรัมย์
หากนำคำพูดของ ตวนกู อิสมาอิล อิบราฮิม มานึกดูนั้น ถือว่าก็น่าคิดได้เช่นกัน เนื่องจาก ปัจจุบันหากกล่าวถึงสโมสรในทวีปอาเซียนที่พอสู้ได้กับสโมสรชั้นนำในทวีปเอเชีย อย่างเช่น ทีมในประเทศญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน หรือแม้แต่ออสเตรเลีย ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถสู้กลับสโมสรเหล่านี้ได้อย่างไม่เป็นรอง
และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทาง ตวนกู อิสมาอิล อิบราฮิม ต่างเสริมทัพแข้งคุณภาพจากทั้งในประเทศ และนักเตะต่างชาติโปรไฟล์หรูเข้ามาร่วมทีมนั้น เป็นเพราะว่า เขาต้องการที่จะสร้างทีมชื่อย่อ "JDT" ให้ขึ้นมาเป็นสโมสรอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน เหนือทาง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
แม้ว่าทาง เนวิน ชิดชอบ เจ้าของสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเคยกล่าวว่าทัพ "ปราสาทสายฟ้า" คือทีมที่แข็งแกร่งมากที่สุดในอาเซียน และเผยว่ามาตรฐานของ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ยังไม่เทียบเท่ากับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พร้อมกับส่งสารท้าให้ ตวนกู อิสมาอิล อิบราฮิม ลงทุนเสริมตัวผู้เล่นต่างชาติเข้ามามากขึ้นกว่าเดิม ตอนเจอกันครั้งหน้าจะได้สูสีมากยิ่งขึ้น
"ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม เจอกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ใหม่อีกรอบก็ได้ ยะโฮร์ ไม่รอดหรอก พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากขนาดนั้น ลีกมาเลเซียยังไม่ได้มาตรฐานเท่ากับลีกของไทยเลยด้วยซ้ำ"
"ผมไม่เคยกลัวเลยแม้ว่า ยะโฮร์ จะนำผู้เล่นต่างชาติเข้ามาอยู่ในทีมมากมาย ไม่ได้มีอะไรน่าห่วงสำหรับมาตรฐานนักเตะต่างชาติของ ยะโฮร์ ที่ผมพูดครั้งนี้เพราะผมอยากให้ท่านประธาน ยะโฮร์ ลงทุนมากขึ้นหน่อย ตอนเจอกันครั้งหน้าจะได้สนุกมากขึ้น" เนวิน ชิดชอบ กล่าวเอาไว้เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าคำพูดของ เนวิน ชิดชอบ จะเป็นอย่างที่ใจหวัง เพราะหลังจากนั้นเพียง 3 เดือน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีคิวโคจรต้องไปเจอกับ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม อีกครั้ง ในศึกฟุตบอล เอเอฟซี แชมป์เปี้ยนส์ลีก อีลีท รอบ 16 ทีมสุดท้าย
หลังทั้งสองทีมเคยเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่งในบ้านของ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม เป็นการดวลกันในรอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านมา โดยทั้งฝั่งของ ยะโฮร์ หรือแม้แต่ ปราสาทสายฟ้า ไม่สามารถทะลวงตาข่ายคู่แข่งกันได้ทั้งคู่ หมดเวลาเสมอกันไปด้วยสกอร์ 0-0
เชื่อว่าการโคจรได้กลับมาเจอกันอีกครั้งของทั้ง ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทั้ง 2 ฝ่าย จะใส่กันแบบไม่ยั้งเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างแน่นอน เพราะการดวลกันในครั้งนี้ถือเป็นการวัดกันในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องคุณภาพของสโมสร, เป้าหมายที่ทั้ง 2 ทีมที่ต้องการเข้าสู่รอบลึก ๆ ในศึกฟุตบอลเอเชีย
รวมไปถึงจะได้รู้กันไปเลยว่าใครแข็งแกร่งมากที่สุด และทีมใดคือสโมสรที่เป็น "เจ้าแห่งอาเซียน" อย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง
https://www.nst.com.my/sports/football/2025/02/1169534/jdt-sign-3-la-liga-veterans-acle-campaign
https://twentytwo13.my/jdts-amazing-but-malaysian-clubs-need-a-role-model-that-eats-rice-tempeh/
https://www.nst.com.my/sports/football/2024/01/1005139/tmj-vows-continue-killing-malaysian-football
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1034683278691533&id=100064496120894&set=a.625575576268974