Feature

ปรัชญา "บาติโกล" : ถ้าคุณเร็วไม่พอจะเลี้ยงผ่าน ก็ซัดเต็มข้อปล่อยให้บอลเดินทางแทน | Main Stand

ในฟุตบอลยุค 1990s ความสวยงามถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ผลการแข่งขัน เกมในยุคนั้นมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้แฟน ๆ สามารถจำนักเตะยุคนั้นได้อย่างขึ้นใจ และกลายเป็นขวัญใจตลอดกาลของใครหลาย ๆ คน 

 


หนึ่งในนั้นคือ กาเบรียล บาติสตูต้า ดาวยิงชาวอาร์เจนตินา นักเตะที่เติบโตมาพร้อมกับสัญชาตญาณนักฆ่า คาแร็คเตอร์บู๊ล้างผลาญไม่กลัวใคร ... แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การคิดค้นวิธีเอาชนะคู่แข่งแบบเฉพาะตัว ด้วยการซัดเปรี้ยงเดียวจบปัญหาไปเลย 

เบื้องหลังการยิงประตูแบบยากต่อการทำซ้ำของเขาเป็นอย่างไร ติดตามที่ Main Stand

 

เริ่มต้นตอนอายุ 18

กาเบรียล บาติสตูต้า เคยอธิบายจุดกำเนิดของเขาว่า ต่างกับนักเตะระดับพรสวรรค์และถูกฝึกมาอย่างถูกวิธีแบบ ลิโอเนล เมสซี่ อย่างสิ้นเชิง 

เพราะในขณะที่ตัวของเขาเพิ่งมาหัดเล่นฟุตบอลตามท้องถนนกับเพื่อน ๆ ในวันที่ทีมชาติ อาร์เจนตินา คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1978 โดยมี มาริโอ เคมเปส เป็นไอดอล ก่อนจะเริ่มฝึกหัดฟุตบอลแบบจริงจัง มีทีมท้องถิ่นเล่นก็ปาเข้าไปอายุ 13 ปีแล้ว ก่อนที่เขาจะได้ไปแข่งในศึกชิงแชมป์ระหว่างเมือง และเจอกับ นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ ชุดเยาวชน และกลายเป็นว่า บาติสตูต้า ยิง 2 ลูกช่วยทีมชนะ 

และเรื่องบังเอิญมันอยู่ที่ว่า กุนซือของ นีเวลล์ ในเวลานั้นคือ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ที่ภายหลังเป็นกุนซือทีมชาติอาร์เจนตินาและอีกหลายสโมสรในยุโรป โดย บิเอลซ่า เห็นฟอร์มของ บาติสตูต้า จึงแนะนำให้ทีมงานสโมสรรีบคว้าตัวของเขามาทันที 

ทุกอย่างของ บาติสตูต้า เริ่มเป็นรูปเป็นร่างตอนอายุ 18 ปี และ บิเอลซ่า ก็เป็นคนสำคัญมากในการพัฒนาตัวเองของเขา 

"บิเอลซ่า คือคนแรกที่สอนฟุตบอลแบบจริง ๆ ให้กับผม มันเป็นศาสตร์รอบด้านแม้กระทั่งเรื่องนอกสนาม เขาสอนผมว่า ไม่ว่าจะเจ็บหรือป่วยแค่ไหน แต่ถ้าอยากจะเป็นมืออาชีพ ต้องพยายามทำทำให้ตัวเองพร้อมตลอดเวลา เขาคือคนที่สอนให้ผมตั้งใจฝึกซ้อมเป็นพิเศษ และวางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ผมได้เรียนรู้ เช่นการต้องมารายงานตัวก่อนซ้อมอย่างน้อยครึ่งช่วงโมง" 

"นั่นคือความแตกต่างของผมกับนักเตะที่เกิดมาและมีพรสวรรค์แบบ เมสซี่ เพราะในขณะที่ทุกอย่างของผมเริ่มต้นอย่างเป็นทางการตอนอายุ 18 ปี เมสซี่ เริ่มคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่กับ บาร์เซโลน่า แล้วในตอนอายุเท่ากัน"
 
การเล่นให้ นีเวลล์ ภายใต้การดูแลของ บิเอลซ่า ก็ใช่ว่า บาติสตูต้า จะเจอกับทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะตอนแรกเขามีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวที่เยอะเกินเกณฑ์ ทำให้มีปัญหาเรื่องพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กคนอื่น ๆ โดยในช่วงอายุ 18-19 ปี เขาถูกส่งยืมตัวไปเล่นให้กับทีมเล็กกว่าอย่าง เดปอร์ติโว อิตาเลียโน่ ... มองดูแล้วมันน่าจะเป็นขาลง แต่ บิเอลซ่า ได้ฝากฝังบางสิ่งกับเขาไว้ในการยืมตัวครั้งนี้ 

"บิเอลซ่า ไม่ได้มองว่ามันเป็นการถอยหลัง แต่มันคือโอกาสการพัฒนาของตัวผมเอง ก่อนที่ผมจะออกเดินทาง เขาเป็นคนกำชับกับผมว่า ถ้าอยากจะเป็นนักฟุตบอลที่ดี ผมต้องดูแลตัวเองตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ สร้างระเบียบวินัยในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะการซ้อมที่สำคัญมาก เขาสั่งผมเสมอว่า ต่อให้ฝนจะตกก็ต้องห้ามหนีซ้อม เราช่วยกันเปลี่ยนแปลงจนผมเจอทางของตัวเอง" 

"ทางของตัวเอง" คำ ๆ นี้คือจุดเริ่มต้นของเจ้าของฉายา "บาติโกล" ในภายหลัง ... จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่นักเตะที่รวดเร็ว คล่องตัว หรือมีเทคนิคการเลี้ยงหลบผู้เล่นทีละหลาย ๆ คนตามสไตล์ละติน แต่ บิเอลซ่า ก็ไม่เคยคาดหวังให้เขาเป็นแบบใคร เพราะฟุตบอลของ บิเอลซ่า ต้องการกองหน้าเบอร์ 9 ที่แท้จริง 

กล่าวคือต้องเป็นกองหน้าที่ไล่ล่าฟุตบอลเก่ง ข่มขวัญคู่ต่อสู้ด้วยความดุดันได้ ไม่กลัวที่จะต้องกระโดดกระแทก เอาหัวโขกกันหรือใด ๆ ทั้งสิ้น และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ กองหน้าในแบบของเขาไม่จำเป็นต้องหลบ 2 หลบ 3 ได้ เพียงแต่ว่าเมื่อบอลอยู่กับเท้าต้องทำให้มันมีโอกาสเป็นประตูมากที่สุด

นั่นแหละที่ทำให้ บาติสตูต้า ถึงกับไปคิดค้นวิธีการเล่นในแบบของเขาขึ้นมาใหม่ เมื่อเขาเร็วและคล่องไม่พอ เขาก็ต้องหาจุดเด่นของตัวเองให้ได้นั่นก็คือการจบสกอร์ ซึ่งหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าตัวของเขาแค่ยิงแรงเต็มข้อทุกอย่างก็จบ เพียงแต่ว่าความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น ถ้าจะทำมันออกมาให้ดีแบบคูณสอง คือนอกจากจะยิงให้แรงแล้ว ต้องยิงประตูอย่างมีสัญชาตญาณด้วย 

"คุณไม่สามารถยิงไปเต็มข้อและหวังพึ่งโชคลางให้มันเข้าประตูได้ทุกครั้ง มันต้องใส่สัญชาตญาณเข้าไปด้วย" บาติโกล กล่าว

"ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ผมจึงอาจจะอธิบายมันได้ไม่ค่อยดีนัก แต่การยิงประตูที่ดีในแบบของผมคือการผสมผสานกันระหว่างสติปัญญา ไหวพริบ และทักษะการเคลื่อนที่ในเวลาที่คุณไม่มีบอล ของแบบนี้ไม่ใช่ดวงแน่นอน" 

"คุณสามารถสอนให้กองหน้าเล่นดึงตัวประกบ โยกตัวเองไปที่ว่าง หรือใด ๆ ก็ได้ทั้งนั้น แต่จังหวะการจบสกอร์ที่มาจากสัญชาตญาณคือสิ่งที่สอนกันไม่ได้ เพียงแต่คุณต้องประกอบมันขึ้นมาจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ผมบอกมาทั้งหมด" 

บาติสตูตา ประกอบสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ด้วยตัวเองตอนอายุ 18 ปี หลังยืมตัวไป อิตาเลียโน่ เขากลายเป็นดาวซัลโวของทีม ก่อนที่จะได้ย้ายไปเล่นให้กับทีมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อย่าง ริเวอร์เพลท, โบคา จูเนียร์ส และสุดท้ายเขาก็ติดทีมชาติอาร์เจนตินา ซึ่งมันทำให้เขาได้เปิดประตูสู่ยุโรป เพื่อพัฒนาการยิงประตูของเขาไปอีกระดับ

 

ยิงแบบนี้ถึงได้มายุโรป 

การได้มายุโรปของ บาติสตูต้า นั้นเกิดจากการที่เขาติดทีมชาติอาร์เจนตินา ไปเล่นฟุตบอล โคปา อเมริกา ปี 1991 ที่ประเทศ ชิลี เป็นเจ้าภาพ เขาพาทีมไปถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการนั้นกับ ชิลี และในเกมดังกล่าว วิตตอริโอ เชกกิ กอรี่ โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ นักการเมืองชาวอิตาลี ลูกชายของ มาริโอ เจ้าของสโมสร ฟิออเรนติน่า ในอิตาลี ซึ่งมีหัวโขนอีกใบในชื่อ รองประธานสโมสร อยู่ในสนามเกมนั้นด้วย

"เกมนั้นเป็นภาพจำของผมไปตลอดชีวิต กาเบรียล บาติสตูต้า หุ่นกำยำล่ำสัน สวมชุดเกราะที่เงางามเหมือนกับอัศวินยุคกลาง เขาเคลื่อนที่ในเกมนั้นแต่ละจังหวะเหมือนกับสายลม เขาพุ่งทะยานเข้าหาลูกฟุตบอลทุกครั้งที่มีโอกาส และทำมันอย่างแม่นยำ นี่คือประสิทธิภาพที่น่าตื่นตะลึง ... เขาไล่ถล่มทุกคนที่ขวางหน้าเลยล่ะ" นี่คือสิ่งที่ เชกกิ กอรี่ ผู้ลูก บอก และคว้าตัวเขามาร่วมทีมหลังจบทัวร์นาเมนต์นั้น 

เชกกิ กอรี่ อยากได้ บาติสตูต้า มากถึงขั้นจ่ายเงินราว 2.5 ล้านปอนด์ ซึ่งก็ไม่น้อยสำหรับฟุตบอลช่วงต้นยุค 1990s นอกจากนี้เขายังช่วยออกเงินจำนวนหนึ่งให้ โบคา จูเนียร์ส ซื้อกองหน้าตัวใหม่มาแทนที่ บาติสตูต้า ด้วย ... เห็นได้ชัดว่าลูกยิงของ บาติโกล ในโคปา อเมริกาติดตาเขาจริง ๆ 

อย่างไรก็ตามการมาที่ อิตาลี ต้องใช้เวลาปรับตัวพอสควร ในช่วงเดือนแรก ๆ เพื่อนร่วมทีม ฟิออเรนติน่า หลายคนสงสัยในตัวของ บาติสตูต้า มาก เพราะอย่างที่บอกว่าเขาไม่ใช่นักเตะระดับพรสวรรค์ และได้รับการฝึกฝนแบบถูกหลักตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นภายใต้วงล้อมของนักเตะอิตาลี ที่เทคนิคดี แท็คติกเยี่ยม บาติสตูต้า ยังจับบอลกระโดกกระเดกอยู่เลย 

ณ เวลานั้นเจ้าตัวอธิบายว่าเขากดดันมากจนเล่นไม่เป็นตัวเอง เขาพยายามจะทำอะไรยาก ๆ เหมือนกับนักเตะอย่าง มาร์โก ฟาน บาสเท่น อะไรทำนองนั้น ซึ่งอย่างที่บอกในข้างต้น เขาไม่ได้ฝึกมาเพื่อเป็นกองหน้าจอมเทคนิคแบบนั้น เขาคือมือสังหารที่ทำหน้าที่แค่ยิงประตูให้ทีมก็เพียงพอแล้ว 

และเมื่อยิงประตูได้ หลังจากนั้นประตูของเขาก็ไหลเป็นเทน้ำเทท่าตลอด 8 ซีซั่นที่อยู่กับม่วงมหากาฬ ด้วยวิธีการที่เรียบง่ายที่สุดแบบแทบไม่ต้องเป็นจอมเทคนิคให้ยุ่งยาก ไม่ต้องแข่งกับใครในยุคที่ฟุตบอลอิตาลีเป็นลีกรวมสตาร์ของโลก เขาเล่นบอลให้น้อยจังหวะ และใช้สัญชาตญาณนำทาง โดยมีเทคนิคการยิงลูกเต็มหลังเท้าที่เป็นเอกลักษณ์ ... แค่นี้ก็ไม่มีใครหยุดเขาอยู่แล้ว 

เขากลายเป็นคำจำกัดความของเบอร์ 9 หรือทีเรียกว่า "สไตร์เกอร์" ในเวลานั้น หลากหลายประตูที่เกิดขึ้นในถิ่น อาร์เตมิโอ ฟรังคี่ ของเขามักจะแบ่งเป็น 2 ประเภท 

อย่างแรกคือการพุ่งเข้าหาประตูจากจากจังหวะชาร์จที่ถูกที่ถูกเวลา และสอง การใช้จังหวะการยิงประตูแบบตำรับ บาติสตูต้า นั่นคือ รับบอล แต่งบอล และยิงด้วยหลังเท้า ซึ่งเทคนิคการจบสกอร์แบบนี้ทำให้เขาถูกเรียกว่า "บาติโกล" 

ช่วงที่เล่นกับ ฟิออเรนติน่า เป็นช่วงที่เขาเขย่าโลกที่สุดแล้ว ลูกยิงเขาเป็นที่กล่าวขานไปทั่วยุทธภพ ไม่ว่าจะในโลกแห่งความจริง หรือโลกแห่งวีดีโอเกม เพราะหากพูดชื่อ บาติสตูต้า ขึ้นมาก สิ่งแรกที่ทุกคนนึกถึงคือลูกยิงที่หนักหน่วง รุนแรง แม่นยำ และยิงได้จากทุกระยะ และทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นลูกนิ่ง ลูกวอลเล่ย์ หรือลักษณะใด ๆ ก็ตาม ... บาติโกล ช่างเป็นฉายาที่เหมาะเจาะกับสิ่งที่เขาเป็นอย่างที่สุด

ไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวของเขาอีกแล้วตลอดช่วงเวลาดังกล่าว เพียงแต่ว่า ฟิออเรนติน่า ทำอย่างไรก็ไปไม่ถึงความสำเร็จในการ "คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา" ได้เสียที กระทั่งบาติสตูต้า อายุเข้าหลักสาม ใกล้ปลายทางอาชีพไปทุกที ก็เหลือทางเลือกแค่ 2 ทาง อยู่กับ ฟิออเรนติน่า แล้วภาวนาว่าทุกอย่างจะเป็นไปดั่งหวัง หรือย้ายไปอยู่กับทีมที่มีองค์ประกอบพร้อม พาเขาไปถึงฝั่งฝัน … ซึ่งเขาเลือกอย่างหลัง

อินเตอร์ มิลาน, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน อยากจะได้ตัวเขาทั้งนั้น ... แต่เมื่อเจอลมปากของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือของ โรม่า ในเวลานั้น บาติโกล ก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าเขาจะไปสโมสรไหนต่อ

"ตอนที่ผมกำลังจะย้ายออก มีหลายคนบอกผมว่าต้องไปทีมอย่าง ยูเว่ หรือ มิลาน แต่ โรม่า คือทีมที่ต้องการตัวผมที่สุด ฟาบิโอ คาเปลโล่ และ ฟรังโก้ เซนซี่ (ประธานสโมสร) กำลังทำงานกับโครงสร้างสู่ความยิ่ง่ใหญ่อย่างจริงจัง และพวกเขาบอกกับผมว่า เราต้องการเป็นแชมป์ให้เร็วที่สุด นั่นคือความรู้สึกเดียวกันที่ผมมี ... ผมก็อยากจะคว้าแชมป์ให้เร็วที่สุดเช่นกัน ก่อนจะออกจากอิตาลี ผมจะต้องจากไปอย่างแชมเปี้ยน" บาติโกล กล่าว ก่อนจะย้ายไปด้วยค่าตัวถึง 34 ล้านยูโร ในปี 2000 

 

ร็อคเก็ต บาติโกล

การย้ายทีมครั้งนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปรับตัวเยอะ เพราะ บาติสตูต้า รู้จักตัวเองเป็นอย่างดีว่าเขาเป็นนักเตะประเภทไหน ทำอะไรได้บ้าง ยิ่งเมื่อมีส่วนประกอบรอบข้างที่เป็นนักเตะชั้นเยี่ยมอย่าง ฟรานเชสโก้ ต็อตติ, ฮิเดโตชิ นากาตะ และ วินเซนโซ่ มอนเตลล่า ... นักเตะพวกนี้สามารถเอาบอลมาสร้างโอกาสยิงประตูให้กับเขาได้ทั้งวัน 

ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่ตื่นเต้นกับการย้ายทีมครั้งนี้ เพราะฝั่งนักเตะโรม่าหลายคนก็คุยกันให้แซด พวกเขาลิงโลดเพราะพวกเขาดวลกับ บาติสตูต้า มาไม่รู้กี่ครั้ง โดยเฉพาะราชาหมาป่าอย่าง ต็อตติ ที่อธิบายความรู้สึกตอนนั้นว่ามันเหมือนการได้ของขวัญชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในอาชีพเลยทีเดียว

"เมื่อผมได้ยินข่าวจาก ฟรังโก้ เซนซี่ ว่า บาติสตูต้า จะมาอยู่กับเรา ผมเหมือนกับเด็กที่ได้รองเท้าสตั๊ดคู่ใหม่ ผมอยากจะออกไปเล่นกับเขาเดี๋ยวนั้นเลย" ต็อตติ กล่าว

การปฏิวัติของโรมเริ่มดำเนินการในทันที และหลังจากทำประตูได้ในการประเดิมสนามในศึก ยูฟ่าคัพ บาติสตูต้าใช้เวลาเพียงสองเกมเท่านั้นก็สามารถทำประตูได้เป็นครั้งแรกในลีก โดยเขายิงสองประตูในการเอาชนะเลชเช่ 4-0

ตามมาด้วยการยิงประตูแล้วประตูเล่า โดย บาติสตูต้า ทำประตูสำคัญ ๆ ได้หลายลูกก่อนจะคว้าแชมป์ได้สำเร็จ รวมถึงประตูชัยช่วงท้ายเกมที่สะเทือนอารมณ์เหนือ ฟิออเรนติน่า และความพยายามในสองนัดสุดท้ายของฤดูกาล ช่วยให้ โรม่า คว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ไปได้ในวันสุดท้าย

นี่เป็นการพาทีมคว้าแชมป์แบบไม่ได้มาเป็นกาฝาก แต่มาเป็นอีก 1 ตัวแบกสำคัญ ทุกประตูที่ บาติสตูต้า ทำได้กับ โรม่า คือเครื่องหมายการค้าของเขาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการยิงฟรีคิกที่พุ่งเหมือนกับจรวดในเกมกับ เวโรน่า, ลูกวอลเล่ย์เต็มข้อในเกมกับ ปาร์ม่า, ลูกตอร์ปิโดโหม่งในเกมดาร์บี้แมตช์กรุงโรมกับ ลาซิโอ และแน่นอนคือการยิงประตูสำคัญในการตัดสินแชมป์ ในเกมสุดท้ายของฤดูกาลกับ ปาร์ม่า ที่ทำให้ โรม่า คว้าแชมป์ได้หลังจากจบเกมนั้น  ... อะไรที่ คาเปลโล่ ต้องการจาก บาติสตูต้า เขาตอบแทนได้ทุกข้อแบบหมดจด 

"เราเซ็นสัญญากับ บาติสตูต้า เพราะเราต้องการกองหน้าคนสำคัญอย่างเขา ผู้มีความแข็งแกร่งในการเล่นลูกกลางอากาศ ผู้ทำประตู ผู้นำในสนามและในห้องแต่งตัว ... นี่แหละคือหัวใจในการเป็นแชมป์ของเรา" คาเปลโล่ พูดถึง บาติสตูต้า ที่ยิงไป 20 ประตู เป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีม  

คุณจะเรียกร้องอะไรจากกองหน้าอย่างเขาอีก ? ทักษะการจบสกอร์แบบป่าเถื่อนดุดันของเขา กลายเป็นเครื่องหมายการค้าที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังหาคนเลียนแบบยาก ลูกยิงสวย ๆ ของ บาติโกล ตลอดอาชีพนั้นมีมากมาย และแน่นอน เขาบอกว่ามันมาจากการฝึกซ้อมและสัญชาตญาณ แม้ว่าหลายคนจะมองว่ามันเป็นลูกยิงที่เขาใช้โชคผสมผสานเข้าไปด้วย 

กองหน้าเบอร์ 9 แบบ บาติโกล ถูกยกย่องให้เป็นกองหน้ายอดเยี่ยมตลอดกาล หากจะเป็นรองก็ต้องบอกว่าในรุ่นเดียวกันนั้นมีเพียง โรนัลโด้ แห่ง บราซิล คนเดียวเท่านั้นที่จะพอบอกว่าเป็นกองหน้าที่ดีกว่าเขาได้เต็มปาก ... แต่ก็นั่นแหละ ถ้าคุณวัดกันที่การจบสกอร์อย่างเดียว บาติโกล ไม่แพ้ใครในโลกทั้งนั้น 

สิ่งนี้ยืนยันได้จากการที่เขาได้รับการเทียบเชิญจาก ฟีฟ่า ให้เป็นกรรมการในการตัดสิน ปุสกัส อวอร์ด ลูกยิงยอดเยี่ยมแห่งปี เพราะทุกคนรู้ว่า บาติโกล คือคนที่รู้จักการยิงทุกจังหวะเป็นอย่างดี ลูกไหนยาก ลูกไหนง่าย ลูกไหนมหัศจรรย์ ประสบการณ์ได้สอนเขามาหมดแล้ว 

สไตล์การเล่นแบบ บาติโกล คือสไตล์ที่โลกฟุตบอลและแฟนบอลหลายคนยังคิดถึงเสมอ ... ลูกชายจากพนักงานโรงงานฆ่าสัตว์คนนี้ มีความเป็นนักฆ่าในทุกวินาสัย และยากที่จะหาใครเหมือน นี่คือเสน่ห์แห่งบาติโกล และฟุตบอลยุค 1990s อย่างแท้จริง 

 

แหล่งอ้างอิง

https://inside.fifa.com/en/news/batistuta-you-can-t-teach-the-art-of-goalscoring-2852649
https://theovallog.wordpress.com/2011/12/13/gabriel-batistuta-the-greatest-ever-no-9/
https://www.asroma.com/en/news/63810/history-makers-gabriel-batistuta
https://thesefootballtimes.co/2019/01/22/gabriel-batistuta-the-fiorentina-diaries/
https://football-italia.net/icardi-i-wanted-batistutas-power/
https://www.worldsoccer.com/world-soccer-latest/gabriel-batistuta-interview-295853

 

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ