Feature

ของแท้มีแค่คนเดียว : 9 โมเมนต์ระดับตำนาน เบอร์ 9 ที่ดีที่สุดในโลก "โรนัลโด้ R9" | Main Stand

โรนัลโด้ หลุยส์ นาซาริโอ เดอ ลิม่า หรือ โรนัลโด้ R9 อาจจะเลิกเล่นไปตั้งแต่ปี 2011 แต่ทุกวันนี้ เวลาที่มีประเด็นถกกันเรื่องกองหน้าที่ดีที่สุดในตำแหน่งเบอร์ 9 ที่เป็นสไตรค์เกอร์แท้ ๆ ชื่อของเขามักจะถูกแฟนบอลเอ่ยขึ้นมาเสมอ

 

สำหรับคนที่เกิดไม่ทันดูยุคไพรม์ของ R9 วันนี้เราจะไล่เรียงเป็นฉาก ๆ ว่าเขาเก่งอย่างไร 

และสำหรับคนที่ทันดูก็ไม่เป็นไร เพราะทั้ง 9 ฉากที่เราจะไล่เรียงความสุดยอดของเขา จะเป็นการเจาะไปแต่ละสโมสร แต่ละทีมที่เขาเคยเล่นด้วย ว่าในแต่ละช่วงเขาเก่งแค่ไหน เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในแต่ละร่าง 

นี่คือเรื่องราวที่ Main Stand อยากนำเสนอให้คุณอย่างที่สุด ...

 

ครูไซโร่ 

บ่ายวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิที่สนามกีฬา มิเนเรา ในปี 1993 บาเฮีย เปิดบ้านเจอกับ ครูไซโร่ และในเกมนั้นเกิดเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในโลกฟุตบอล นั่นคือ กำเนิด "มนุษย์ต่างดาว" อย่าง โรนัลโด้ นาซาริโอ

โรนัลโด้ ในวัย 16 ปี เป็นนักเตะของ ครูไซโร่ ถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริงและใส่เบอร์ 9 ... จริงอยู่ที่เกมนี้เป็นแค่รายการชิงแชมป์ระดับรัฐ ไม่ใช่ฟุตบอลีกบราซิล ซีรี่ เอ แต่ฟังดี ๆ อีกครั้ง เด็กอายุ 16 ใส่เบอร์ 9 และออกสตาร์ทเป็นตัวจริง นี่คือเรื่องที่ต้องยอมรับว่า ถ้าเด็กคนนั้นไม่มีอะไรพิเศษ เขาคงไม่ได้รับโอกาสขนาดนั้น 

เด็กหนุ่มในชุดสีน้ำเงินเลี้ยงฟุตบอลเหมือนกับติดจรวด ราวกับฟุตบอลเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เขาลากบอลหนีกองหลังของ บาเฮีย คนแล้วคนเล่า ไปเผชิญหน้ากับ โรโดลโฟ่ โรดริเกซ ประตูของคู่แข่งที่พยายามอย่างมากจะไม่ขายหน้าไปมากกว่านี้ในการดวลกับเด็กอายุ 16 ปี แต่แล้วเขาก็พบว่านี่คือความต่างระดับ "มนุษย์ กับ เอเลี่ยน" เพราะ โรนัลโด้ ยิงถึง 5 ลูก และทำไปอีก 1 แอสซิสต์ช่วยให้ ครูไซโร่ ชนะไป 6-0 จบเกมนั้นหนังสือพิมพ์ของรัฐได้ลงภาพของเขาไว้ที่หน้าปก และพาดหัวว่า "ฟุตบอลบราซิลกำลังจะสยบแทบเท้าของ โรนัลโด้" 

ขณะที่เนื้อในเป็นการสัมภาษณ์ โรโดลโฟ่ ที่โดน โรนัลโด้ ยิงไป 5 ลูก และเนื้อความที่เขาบรรยายถึง โรนัลโด้ นั้นแสนจะยาวเหยียด แต่สรุปสั้น ๆ ในประโยคเดียวและทุกคนเข้าใจตรงกันทันที่ว่า "มันเหมือนกับว่าไอ้เด็กคนนี้มันมาจากดวงจันทร์" 

ขณะที่โค้ชของ ครูไซโร่ ที่ชื่อว่า ซัมปาโญ่ ช่วยย้ำเรื่องนี้อีกครั้งว่า ฟุตบอลลีกบราซิลเล็กเกินไปสำหรับลูกทีมของเขา ด้วยคำกล่าวว่า 

"โรนัลโด้ ยิงประตูได้มากมาย แต่หมอนี่ไม่เคยฉลองเลย เขาไม่เคยวิ่งออกไปพร้อมโบกแขน ครั้งหนึ่งผมถามเขาว่า 'ทำไมแกไม่ออกอาการสะใจหรือฉลองหน่อยล่ะ' เขาหันกลับมาแล้วบอกว่า 'เจ้านาย การยิงประตูได้เป็นเรื่องปกติสำหรับผม'"

เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เกมดังกล่าวเป็นเกมที่แมวมองเครือข่ายของสโมสรในยุโรปเห็นฟอร์มของเขา และรีบบอกเล่าเรื่องราวของ โรนัลโด้ ให้กับสโมสร พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ได้ฟัง ก่อนที่ข้อความของปลายสายจะตอบกลับมาว่า "งั้นเราจะเซ็นสัญญาเขาซะเดี๋ยวนี้เลย" 

ไม่นานนักข้อเสนอนั้นก็มา โรนัลโด้ ลงเล่นในลีก บราซิล ซีรี่ เอ ให้ ครูไซโร่ ไปทั้งหมด 47 เกม ยิงไป 44 ประตู และทำไปอีก 15 แอสซิสต์ ... นั่นคือเรื่องของเขาตอนอายุ 17 ปี เหนือสิ่งอื่นใดคือ ฟอร์มดังกล่าวทำให้เขาติดทีมชาติบราซิลไปเล่นฟุตบอลโลกปี 1994 พร้อมคว้าแชมป์โลกสมัยแรกมาด้วย แม้จะไม่ได้ลงเล่นสักนาทีก็ตาม

 

พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น

พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น เป็นทีมที่ใช้นักเตะบราซิลแล้วรุ่ง ใช้แล้วปังมาแต่ไหนแต่ไร การมาของ โรนัลโด้ ถือเป็นการเข้ามาเสียบรอยต่อของ โรมาริโอ ตำนานกองหน้าบราซิลรุ่นพี่ของเขาได้ทิ้งไว้ หลัง โรมาริโอ ย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า 

การเล่นในยุโรปปีแรกมันควรจะยาก ... แต่คงต้องบอกว่า หากคุณมีพรสวรรค์เหมือนกับ โรนัลโด้ มันคงเป็นข้อยกเว้น เขาใช้เวลา 10 นาทีในเกมเปิดตัวยิงประตูแรก และจบซีซั่นแรกด้วยการยิงได้ถึง 30 ลูก ทำแฮตทริกไป 2 หน หนึ่งในทีมที่โดนคือ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในเกม ยูฟ่า คัพ ซึ่งตอนนั้น รูดี้ โฟลเลอร์ ตำนานนักเตะทีมชาติเยอรมันที่ยังค้าแข้งอยู่ ถึงกับต้องออกมาสัมภาษณ์หลังเกมว่า "สาบานกับคุณได้เลย ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยเห็นเด็กอายุ 18 ปี ที่เล่นฟุตบอลระดับสูงได้ขนาดนี้เลย" 

มันคงจะง่ายกว่าที่จะอธิบายหากคุณลองหาดูฟอร์มของเขาใน YouTube แต่อย่างไรเสีย การได้เห็นคนในยุคนั้นบรรยายถึง "O Fenomeno" หรือ "ปรากฏการณ์" ย่อมเป็นอะไรที่ขลัง เพราะคุณได้ใช้จินตนาการราวกับย้อนกลับไปยุคสมัยนั้น และเรื่องราวของเขาถูกบันทึกโดย นิค มิลเลอร์ แห่งสำนักข่าว The Guardian ที่ประจำการอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ว่า 

"สิ่งที่โดดเด่นเกี่ยวกับ โรนัลโด้ ที่ พีเอสวี คือ 'เฟอร์เฟ็กต์' แม้ภายนอกจะเหมือนวัยรุ่นตัวผอมบาง แต่อย่าให้หน้าหนังมาหลอกคุณ เพราะสปีดความเร็วและการเอาชนะในการดวลของเขาจะทำให้คุณรู้สึกตาลายจนมองไม่ทัน ผมไม่ได้อยากจะอธิบายให้เว่อร์วัง แต่ผมว่า โรนัลโด้ คือคนที่เลี้ยงบอลติดเท้าที่สุดแล้ว ตอนมีบอลอลอยู่กับเท้า เขาน่าจะวิ่งเร็วกว่าการวิ่งตัวเปล่าด้วยซ้ำ ... น่าแปลกที่คนที่ดูเหมือนจะผอมบาง แต่กลับมีร่างกายส่วนบนที่แข็งแรง ทำให้เขารักษาสมดุลในการไปกับบอลได้ดีเยี่ยม คุณจะถามหาอะไรจากเขาอีกล่ะ เด็กคนนี้มีทุกอย่างที่โลกฟุตบอลอยากจะเห็น" 

 

บาร์เซโลน่า

ถ้าคุณถามว่าตอนไหนคือช่วงเวลาที่พีกที่สุดของ โรนัลโด้ ก็ต้องบอกว่า ร่างที่ บาร์เซโลน่า นี่แหละคือที่สุดของแจ้ แบบที่กลายเป็นตำนานเล่าขานจนทุกวันนี้ 

โรนัลโด้ ย้ายมาอยู่กับ บาร์ซ่า ด้วยค่าตัว 19.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 1996 ไม่มีนักเตะคนไหนแพงมากกว่าเขาอีกแล้ว และนั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะบรมครูกุนซือชาวอังกฤษอย่าง เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ที่คุมทีม บาร์เซโลน่า ในเวลานั้นบอกว่า ไม่ว่าจะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ก็ต้องทุบกระปุกทุกใบที่มี เพราะนี่คือนักเตะที่เปลี่ยนโฉมหน้าของเกมได้ภายในเสี้ยววินาที 

ทำไม ร็อบสัน ถึงคิดแบบนั้น ? นี่คือ โรนัลโด้ ในช่วงที่มีพร้อมทุกอย่าง ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีพละกำลัง เทคนิค และความเร็วอยู่ในระดับสูงสุดแบบไม่ต้องเฉลี่ยไปอย่างละนิดอย่างละหน่อย ถ้าเป็นในเกมก็คือ "ตัวบั๊ก" ดี ๆ นี่เอง ซึ่งคุณจะเห็นทุกอย่างที่เราบรรยายมานี้ด้วยการเปิดคลิปลูกยิงที่เขายิงประตูใส่ กอมโปสเตล่า ที่เขาแหวกผู้เล่นทั้งหมด 7 คนจากครึ่งสนามเข้าไปยิงประตู 

ในขณะที่นักเตะคู่แข่งทั้งไล่เตะ เอาตัวเข้าชน ดึงเสื้อ และใช้การรุมเพื่อหยุดเขา โรนัลโด้ ไม่ล้มให้เข่าแตะพื้นเลยสักครั้ง บาลานซ์ระดับเทพเจ้าพาเขาแหวกไปจนจังหวะสุดท้าย โยก สลับ สลับทิศทางการวิ่ง และจบด้วยการตวัดยิงเสียบเสาแรก ... หลังจากนั้นม้านั่งสำรองก็ฉลองกันอย่างบ้าคลั่ง บ็อบบี้ ร็อบสัน ถึงกับยกมือขึ้นกุมหัวเพราะไม่อยากจะเชื่อว่า โรนัลโด้ มหัศจรรย์ยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรกเสียอีก

"ผมท้าให้คุณไปค้นหาทั่วโลกเลย แต่คุณไม่มีทางจะหานักเตะอย่าง โรนัลโด้ จากที่ไหนได้อีก นี่คือความสุดยอดของสุดยอด ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไรในสนามเขาทำมันได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะยิง จ่าย หรือการเลี้ยงบอลยาว ๆ ระยะ 40 หลา เผชิญหน้ากับกองหลังคู่แข่งทั้งทีม ... เขาทำมันเหมือนกับเป็นของง่าย นั่นแหละนี่ผมจะบอกคุณ" เซอร์ บ็อบ ให้สัมภาษณ์หลังเห็นประตูที่ดีที่สุดในอาชีพกุนซืออันยาวนานของเขา

ถ้าคุณยังไม่เชื่ออีก ก็ต้องงัดไม้ตายสุดท้ายมาใช้แล้วล่ะ ... เอาเป็นว่า โรนัลโด้ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ ฟีฟ่า ได้สำเร็จในปีนั้น แค่นี้คงมากพอจะยืนยันแล้วว่าเขาเก่งที่สุดในโลกในยุคสมัยของเขาอย่างแท้จริง 

 

อินเตอร์ มิลาน 

ความสุดยอดของ โรนัลโด้ ที่ บาร์เซโลน่า ไมได้เตะตาแค่โค้ชของเขาอย่าง "เซอร์บ็อบ" เท่านั้น เรื่องมันดังไปไกล และแฟนคลับของเขาที่อิตาลีคนหนึ่ง ดันเป็นคนที่มีเพาเวอร์มาก ๆ ในวงการฟุตบอลเซเรีย อา นั่นคือ มัสซิโม่ โมรัตติ เจ้าของสโมสร อินเตอร์ มิลาน ในเวลานั้น 

"เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากเกมที่เราแพ้ ฟิออเรนติน่า ผมเห็นสิ่งที่ โรนัลโด้ ทำ และผมรู้ทันทีว่าผมต้องไปเอานักเตะที่ บาร์เซโลน่า หวงเหมือนไข่ในหินมาครอบครองให้จนได้" โมรัตติ เปิดใจ 

"หลังเกมที่ฟลอเรนซ์ ผมนั่งรถและคุยกับคนขับว่า ปีหน้าผมจะซื้อ โรนัลโด้ และผมจะทำให้พวกเราทุกคนมีความสุข และผมบอกเลยว่า นี่ไม่ใช่เรื่องตลก"

โมรัตติ ถึงกับไปกู้เงินจากธนาคารใน ซาน อันโตนิโอ ประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อดีลนี้โดยเฉพาะ ค่าตัวของ โรนัลโด้ สูงถึง 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นสถิติโลกอีกครั้งในปี 1997 

เขาจูงใจเจ้าหนี้ของเขาด้วยการยืนยันว่า ถ้า โรนัลโด้ มาที่ อินเตอร์ ได้จริง ๆ เขาจะมีเงินมาคืนก่อนกำหนด และจะจ่ายดอกเบี้ยให้อย่างงามโดยไม่อิดออดใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะในเวลานั้น โรนัลโด้ ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของแบรนด์ NIKE และถ้า อินเตอร์ ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนผู้ผลิตชุดแข่งจาก UMBRO สู่ NIKE ในปี 1998 ได้ โรนัลโด้ มันก็หมายความว่าพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจาก NIKE ไปด้วย

ถ้าว่าทำไมเขาถึงมั่นใจขนาดนั้น นั่นก็เพราะว่า โมรัตติ แอบไปขายฝันให้กับ NIKE มาก่อนหน้านี้แล้ว เขาคุยหยอกกับทาง NIKE ว่า "ถ้าผมเอา โรนัลโด้ มาได้ คุณจะสนับสนุนทีมเราเท่าไหร่ ? ... ผู้หลักผู้ใหญ่ของ NIKE คนหนึ่งหัวเราะชอบใจและตอบกลับมาว่า เออ เดี๋ยวผมจัดหนักให้คุณเลยถ้าทำได้"

"แน่นอน ผมฟังจากคำพูดและน้ำเสียงมันดูเหมือนกับพวกเขากำลังคิดว่าผมเพ้อเจ้อ แต่นั่นแหละ สุดท้ายก็อย่างที่คุณรู้ ผมคว้าตัว โรนัลโด้ มาได้ และนั่นทำให้ อินเตอร์ ได้เงินก้อนโตจาก NIKE ตลอดหลายปีที่ผ่านมา" 

คุณฟังเรื่องเก่ง ๆ ของ โรนัลโด้ มาเยอะแล้ว รอบนี้เป็นเรื่องอิมแพ็กต์และการตลาดที่มาพร้อม ๆ กับฝีเท้าของเขา ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่บอกเล่าความยอดเยี่ยมของ R9 ได้ไม่แพ้ฟอร์มการเล่นในสนาม

อ้อ และถ้าคุณยังข้องใจ ก็เอาเป็นว่าในปี 1997 กับ อินเตอร์ โรนัลโด้ คว้ารางวัลบัลลงดอร์ พ่วงนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ ฟีฟ่า ด้วยนะ 

 

เรอัล มาดริด 

แม้ช่วงเวลากับ อินเตอร์ มิลาน โรนัลโด้ จะต้องเข้ารับการผ่าตัดที่หัวเข่า 2 หน และพักยาวเป็นปี แต่เขาก็กู้ศรัทธาได้จากการพาทีมชาติบราซิลไปคว้าแชมป์โลกในปี 2002 ซึ่งตัวของเขาเป็นดาวซัลโว และกลับมาสร้างชื่อก้องจนคนลืมไปเลยว่าเคยเจ็บยาว เรอัล มาดริด ในยุค กาแลคติกอส ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ขอเสี่ยงกับ โรนัลโด้ ด้วยการจ่ายเงินราว 46 ล้านยูโร คว้าตัวเขามาครองหลังจบฟุตบอลโลก 

ในทีม ๆ นี้ มีนักเตะอย่าง ซีเนดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส และ เดวิด เบ็คแฮม ที่ทยอยเข้ามาสวมชุดขาว แต่การมาของ โรนัลโด้ ก็สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ เขาคือนักเตะที่มียอดขายเสื้อและสินค้าของสโมสรมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในทันที 

ในความจริง แม้จะต้องยอมรับกลาย ๆ ว่าเป็นช่วงที่เขาดร็อปและดาวน์ลงบ้าง แต่สำหรับคนที่ผ่าตัดเข่ามาแล้ว 2 ข้าง โรนัลโด้ ยังคงเป็นปีศาจสำหรับคู่ประกบของเขาเสมอ สิ่งที่ยืนยันได้ดี คือการไปเล่นที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2002-03 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ โรนัลโด้ ยิงแฮตทริกและพาทีมน็อก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกรอบ หลังเกมนั้น กองหลังอย่าง เวส บราวน์ ออกมายอมรับโดยตรงว่า 

"ผมไม่อยากจะนึกภาพตัวเองตอนต้องไปหยุด โรนัลโด้ ในช่วงวัยหนุ่มที่ร่างกายสมบูรณ์เลย เพราะขนาดปัจจุบันเขายังอันตรายขนาดนี้ ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร มันก็ดูจะง่ายไปเสียหมด สำหรับนักเตะอย่าง โรนัลโด้ คุณต้องใช้คำว่า 'ไม่มีข้อแม้' เขาเผาคุณทั้งเป็นได้ไม่ว่าจะสถานการณ์ หรือเล่นในสนามแบบไหนก็ตาม ... มันทำให้ผมเลิกสงสัยเลยว่าเขาเป็นอีกระดับของนักฟุตบอลอาชีพที่ผมเคยเจอ" 

แม้ช่วงที่เล่นให้ มาดริด โรนัลโด้ จะเล่นแบบยิงไปพักไป เพราะเจ็บออด ๆ แอด ๆ อยู่ตลอด แต่ 4 ปีครึ่งที่นั่น เขากลายเป็นนักเตะต่างชาติคนที่ 5 ที่ยิงให้ มาดริด ครบ 100 ประตูต่อจาก อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่, ฮูโก้ ซานเชซ, เฟเรนซ์ ปุสกัส และ อีวาน ซาโมราโน่ 

ถ้าจะหาคนช่วยยืนยันเรื่อง โรนัลโด้ สมัยอยู่กับ เรอัล มาดริด ได้ดีที่สุด คุณก็คงต้องไปดูว่าเหล่า กาแลคติกอส ทั้งหลายพูดถึงเขาไว้ว่าอย่างไรบ้าง และ ซีดาน พร้อมยืนยันความสุดยอดว่า "เอาแค่ตอนซ้อมก็สนุกแล้ว เพราะคุณจะได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่จากเขาทุกวัน เพราะ โรนัลโด้ คือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่คุณคาดเอาไม่ได้"

 

เอซี มิลาน 

หลังจากจบ 4 ปีครึ่งที่ มาดริด โรนัลโด้ ก็ย้ายไปค้าแข้งกับ เอซี มิลาน ช่วงตลาดฤดูหนาวปี 2007 และถือเป็นสโมสรในยุโรปสโมสรสุดท้ายของเขา ณ ตอนนี้ร่างกายของเขาห่างไกลจากสมัยดาวรุ่งมากโข น้ำหนักของเขาหนักถึง 85-95 กิโลกรัม พุงของเขาเริ่มจะย้วยแล้ว และ คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือของ เอซี มิลาน ก็ไม่พอใจ บอก โรนัลโด้ ว่าควรไปลดน้ำหนักลงสักหน่อย จะได้ฟิตและเล่นได้ดีมากขึ้น ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ ก็มีเรื่องระดับตำนานจนได้ 

"สมัยผมคุม เอซี มิลาน เราคว้าตัว โรนัลโด้ มาได้ แต่ปัญหาคือเขาหนักเกือบ 100 กิโลกรัม ดังนั้นผมคิดว่าการที่เขาจะได้ลงเล่นเกมแรกกับเรา เขาควรไปลดน้ำหนักสักหน่อยเพื่อให้คล่องตัวขึ้น ... คุณรู้ไหม เขาตอบผมยังไง ?" 

"เขาบอกว่า ถ้าจะซื้อผมมาวิ่ง คุณเอาผมเป็นตัวสำรองไปเลยดีกว่า แต่ถ้าคุณซื้อผมมายิงประตู เลิกกังวลและส่งผมลงสนามเลยเจ้านาย ... ผมเชื่อเขา ผมปล่อยเขาในร่างนั้นลงสนาม แล้วเขาก็ไม่วิ่งไล่บอลจริง ๆ เพียงแต่จบเกมวันนั้นเขายิงไป 2 ประตู" อันเชล็อตติ เล่าเรื่องสุดคลาสสิก

 

โครินเธียนส์ 

โรนัลโด้ กลับมาค้าแข้งในบ้านเกิดอีกครั้ง แต่เป็นสโมสร โครินเธียนส์ สโมสรที่มี NIKE เป็นผู้สนับสนุน ซึ่งแน่นอนว่า NIKE ช่วยจ่ายดีลนี้ไม่น้อย 

เรื่องฝีเท้าไม่ต้องสงสัย แม้จะเล่นในยุโรปได้ไม่ดีแล้ว แต่ในบราซิลไม่ใช่ปัญหา โรนัลโด้ ในร่างน้ำหนักแตะ 100 กิโลกรัม ยิง 23 ประตูในซีซั่นแรก คว้ารางวัลดาวซัลโว พาทีมคว้าแชมป์รัฐเซา เปาโล และฟุตบอลถ้วยในประเทศ  

แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ โรนัลโด้ แสดงความเป็นพี่ใหญ่ของทีมชุดนั้น เขาถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้รุ่นน้องในทีม จนเดินไปไหนมาไหนก็มีเด็ก ๆ คอยเดินตามเหมือนกับมีลูกสมุนเป็นของตัวเอง 

ซึ่งเรื่องนี้ก็มีตอนที่สนุกอยู่ ... ครั้งหนึ่ง โครินเธียนส์ พานักเตะทั้งทีมไปเข้าแคมป์เก็บตัวในที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อให้นักเตะได้โฟกัสกับฟุตบอลอย่างเดียว

แต่ โรนัลโด้ ก็คือ โรนัลโด้ เขาโทรเรียกเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวให้มารับเขากับเพื่อนร่วมทีมถึงอาคารนอนในช่วงตอนกลางคืน และหลังจากนั้นพวกเขาก็บินลัดฟ้าเป็นระยะทางกว่า 300 กิโลเมตรไปปาร์ตี้ยับในที่บ้านตากอากาศสุดหรูของเขา ก่อนที่จะพาทุกคนขึ้น ฮ. กลับมาที่แคมป์ในตอนเช้า ซึ่งมีเฮดโค้ชของพวกเขารออยู่หลังทราบข่าวนักเตะหนีเที่ยว 

โรนัลโด้ เผชิญหน้ากับเจ้านายและออกตัวแทนน้อง ๆ ทุกคนว่า "เจ้านายให้พวกเด็ก ๆ มันไปนอนพักสักครู่เถอะ เรื่องนี้ผมผิดคนเดียว เรามาคุยกันแบบผู้ใหญ่ดีกว่า" ... นั่นคือสาเหตุที่ทำไมนักเตะในทีมชุดนั้นยกให้ โรนัลโด้ เป็นเหมือนกับก็อดฟาเธอร์ของพวกเขา

 

ทีมชาติบราซิล 

อธิบายร่ายยายมาทั้งหมด คงไม่เหลือะไรให้พูดถึงมากมายสำหรับ โรนัลโด้ ในสีเสื้อทีมชาติบราซิล เพราะอย่างที่รู้กัน เขาติดทีมชาติและคว้าแชมป์โลกมาครองตั้งแต่อายุ 17 ปี และคว้าแชมป์โลกในฐานะตัวแบกทีมได้อีก 1 สมัยในปี 2002 

ไม่ว่าจะในร่างไหนเวอร์ชั่นใด ทีมชาติบราซิลสามารถมองหาและพึ่งพาเขาได้เสมอ โดยเฉพาะในเวทีใหญ่ ๆ ที่ โรนัลโด้ คนนี้ไม่เคยตื่นคน และไม่เคยสั่นเดิมพัน ไม่ว่าคุณจะบอกให้เขาเล่นลักษณะไหน เขาจะจบเกมด้วยการยิงประตูเสมอ นี่คือคำพูดของ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือทัพเซเลเซาในฟุตบอลโลก 2002 

ถ้าถามว่า โรนัลโด้ สำคัญกับทีมชาติ บราซิล ขนาดไหน ก็มีเรื่องสั้น ๆ ที่อธิบายให้เข้าใจในคราวเดียวได้ก็คือ ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ โรนัลโด้ ยิงระเบิดเถิดเทิงตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะมาแพ้ ฝรั่งเศส ในรอบชิงชนะเลิศ 0-3 แบบช็อกแฟนบอลทั่วโลก มันเกิดทฤษฎีมากมายหลายอย่างเกิดขึ้น บ้างก็บอกว่า โรนัลโด้ โดนวางยาจนท้องเสียทั้งคืนและต้องนอนให้น้ำเกลือก่อนลงสนาม บ้างก็บอกว่าเขาโดนของจากหมอผี หรือลึกกว่านั้นก็บอกว่า ฝรั่งเศส จ้าง โรนัลโด้ ล้มบอล 

แน่นอนว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นเรื่องแต่งขึ้นหรือคิดกันไปเอง แต่การหาเหตุผลว่าทำไมบราซิลแพ้เพราะนักเตะคนเดียวยิงประตูไม่ได้ มันก็พอจะบอกถึงความยอดเยี่ยมของนักเตะคนนั้นได้เป็นอย่างดี

 

รวมดาราโลก

แมตช์ในฝันของทีมรวมดาราโลกเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 1998 ตอนนั้นฟุตบอลกำลังเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ยุคของความเอนเตอร์เทนและขายคอนเทนต์เต็มรูปแบบ และเกมที่ อิตาลี พบกับ รวมดาราโลก (Italy vs Rest of The World) เกมนี้ก็ถือว่าเป็นเกมระดับสุดยอดคอนเทนต์ที่ไม่สามารถหาดูกันได้ง่าย ๆ

อิตาลี รับหน้าที่เป็นเจ้าบ้าน เพราะในเวลานั้นพวกเขากำลังอยู่ในวาระฉลองสหพันธ์ฟุตบอลของประเทศอายุครบ 100 ปี ซึ่งนักเตะ อิตาลี ชุดนั้นถือว่าเป็นยอดทีมที่ยกพลกันมาจากชุดฟุตบอลโลก 1998 เมื่อ 6 เดือนก่อนแทบยกชุด เรียกได้ว่าเป็นชุดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะใหญ่ได้

กองหลังมี เปาโล มัลดินี่, อเลสซานโดร เนสต้า, ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ คริสเตียน ปานุชชี่ แนวรุกนำโดย ฟิลิปโป้ อินซากี้, ฟรานเชสโก้ ต็อตติ และ เอ็นริโก้ เคียซ่า

ขณะที่ทีมรวมดาราโลก นำโดยนักเตะชื่อดังมากมาย และมีคู่หน้าในฝันอย่าง โรนัลโด้ ที่จับคู่กับ กาเบรียล บาติสตูต้า และ ซีเนดีน ซีดาน คอยปั้นเกม

เกมนี้คือเกมที่ไล่อัดกันจริง เข้าปะทะหนัก ๆ กันหลายครั้ง แม้จะไม่เท่าเกมระดับเป็นทางการ แต่ก็อยู่ในระดับที่เหนือกว่าเกมอุ่นเครื่องหรือเกมการกุศลที่ผ่าน ๆ มาเยอะแยะหลายเท่า 

โรนัลโด้ ทำชิ่งวันทูกับ บาติสตูตา, ซีดาน แทงทะลุช่องจากครึ่งสนามให้ โรนัลโด้ วิ่งควบเข้าใส่ เนสต้า, มัลดินี่ กระโดดเสียบจากข้างหลังใส่ ซีดาน, ปานุชชี่ กางศอกดัก โรนัลโด้ ... นี่คือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในเกมนั้น ซึ่งถ้าคุณได้ดูเต็มเกมจะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า พวกเขาแทบไม่ได้ทำเป็นเล่นกันเลย เตะเป็นเตะ หวดเป็นหวด ยิงเป็นยิง กันทั้งนั้น 

เกมจบลงด้วยสกอร์ 6-2 เป็นฝั่งอิตาลีชนะไป แต่เกม ๆ นั้นก็ถือเป็นเกมที่แฟนบอลทั่วโลกได้ฟินกันสมใจอย่างแท้จริง

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ