ลิซานโดร มาร์ติเนซ ได้รับอาการบาดเจ็บหนักอีกครั้ง ในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านแพ้ให้กับผู้มาเยือนอย่าง คริสตัล พาเลซ ไปด้วยสกอร์ 0-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2025
ท้ายที่สุดแล้วผลยืนยันอาการบาดเจ็บในครั้งนี้ของ "ลิช่า" ออกมาหนักอย่างที่หลายคนกังวล หลังเข้าตรวจแบบละเอียด โดยทีมแพทย์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เผยว่า ลิซานโดร มาร์ติเนซ ได้รับบาดเจ็บบริเวณเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า (ACL) ฉีกขาด และต้องใช้เวลาพักฟื้นยาวนานมากถึง 6 เดือน
ซึ่งจะส่งผลให้แฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่มีทางได้เห็น ลิซานโดร มาร์ติเนซ ลงสนามอย่างแน่นอนแล้วในฤดูกาลนี้ โดยอาการบาดเจ็บครั้งนี้ของเจ้าตัวนั้นถือว่าเป็นอาการบาดเจ็บหนักครั้งที่ 5 เข้าไปแล้ว หลังจากที่เขาย้ายเข้ามาอยู่กับทัพปีศาจแดงนับตั้งแต่ปี 2022
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ "เดอะ บุทเชอร์" จะเปลี่ยนสไตล์การเล่นของตนเอง เพื่อไม่ให้ได้รับอาการบาดเจ็บไปมากกว่านี้ ? ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
เดอะ บุทเชอร์
อย่างที่ทราบกันดีว่าหนึ่งในคำครหาก่อนที่ทาง ลิซานโดร มาร์ติเนซ จะย้ายจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ตามเจ้านายเก่าของเขาอย่าง เอริค เทน ฮาก มาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2022 ด้วยค่าตัวสูงถึง 57.5 ล้านปอนด์ นั่นคือ ส่วนสูงของเขาที่สูงเพียง 175 เซนติเมตร
เหตุผลดังกล่าวนอกจากจะส่งให้กองหลังอาร์เจนไตน์รายนี้เป็นผู้เล่นในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ ที่มีอัตราส่วนสูง "เตี้ย" มากที่สุดของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในเวลานั้นแล้ว เหล่าอดีตนักฟุตบอลที่ผันตัวไปเป็นนักวิจารณ์ในปัจจุบัน ทั้งในรายของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ และ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ ต่างออกมาพูดถึงส่วนสูงของ มาร์ติเนซ ว่า ไม่มีทางเล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กในศึกพรีเมียร์ลีกได้อย่างแน่นอน
"ถ้าผมเป็นผู้จัดการทีม ผมจะไม่มีทางซื้อผู้เล่นตัวเล็กในตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน ผมไม่ได้ไม่ชอบ ลิซานโดร มาร์ติเนซ เขาเป็นผู้เล่นที่ดี เขาเป็นผู้เล่นที่ลำเลียงบอลจากหลังมาหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม และยังแฝงไปด้วยความก้าวร้าวในการเข้าบอล แต่ส่วนสูงของเขาจะเป็นปัญหาในการเล่นพรีเมียร์ลีก" เจมี่ คาร์ราเกอร์ กล่าวผ่านทาง Sky Sports
"เขาอาจทำได้ดีในการเล่นในลีกประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่นี่มันคือพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คุณไม่มีทางเล่นได้ในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กด้วยส่วนสูง 175 เซนติเมตร ทุกทีมจะเล่นงานเขาในเรื่องนี้ และเขาจะกลายเป็นจุดอ่อนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมไม่ได้ดูถูกเขานะ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากจริง ๆ กับส่วนสูงเท่านี้" เจมี่ เร้ดแน็ปป์ เป็นอีกหนึ่งนักวิจารณ์ที่ออกมาพูดถึงส่วนสูงของเกมรับเลือดฟ้าขาว
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านการลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครบ 1 ฤดูกาลเต็ม ลิซานโดร มาร์ติเนซ กลบเหล่าเสียงคำวิจารณ์ดังกล่าว พร้อมกับขึ้นมาเป็นหนึ่งในคีย์แมนพาทัพ "ปีศาจแดง" จบในอันดับที่ 3 ของตาราง พรีเมียร์ลีก และคว้าแชมป์ คาราบาวคัพ มาครองในท้ายที่สุด
ถึงขั้นที่ในฤดูกาลดังกล่าว เหล่าแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างออกมาชื่นชมและยกย่องสไตล์การเล่นดิบเถื่อนของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ว่ามีความคล้ายคลึงกับอดีตตำนานกองหลังของทีมในอดีตอย่าง เนมานย่า วิดิช รวมไปถึงฉายา "เดอะ บุทเชอร์" แห่งอาร์เจนตินา เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นจากเหล่าแฟนบอลทั่วโลก
ร่างกายเริ่มเผชิญอาการบาดเจ็บ
หนึ่งในลายเซ็นสไตล์การเล่นของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ที่เปรียบเสมือนเครื่องหมายส่วนตัวของเขา นั่นคือ ความดุดัน ยอมเจ็บและยอมแลกได้ทุกสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ จึงจะเห็นได้บ่อยครั้งกับการเข้าบอลที่ถึงลูกถึงคนของเขาที่ยอมเข้าแลกทุกจังหวะ ในการเจอกับผู้เล่นแนวรุกของฝ่ายตรงข้ามที่มีรูปร่างสูงใหญ่ รวมไปถึงจังหวะ 50-50 เราจะได้เห็น มาร์ติเนซ เข้าสกัดแบบไม่เคยกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความดุดันของเขาก็กลายเป็นดาบสองคมที่เข้ามาทิ่มแทงตัวของ มาร์ติเนซ เช่นกัน เนื่องจากเขามักเจอกับอาการบาดเจ็บที่รุนแรงอยู่บ่อยครั้งในช่วงระยะหลังที่ผ่านมา และส่วนใหญ่แล้วอาการบาดเจ็บแทบทุกครั้งมาจากตัวเขาเองโดยทั้งสิ้น
เพราะว่านับตั้งแต่ที่ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ย้ายเข้ามาสู่รั้วโรงละครแห่งความฝัน เขาพบเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บหนักมากถึง 4 ครั้งแล้วด้วยกัน ทั้งในส่วนของ กระดูกข้อเท้าหัก (พักยาว 2 เดือนครึ่ง), กระดูกฝ่าเท้าแตก (พักยาว 3 เดือนครึ่ง), เจ็บหัวเข่า (พักยาว 2 เดือน) และ กล้ามเนื้อน่องฉีกขาด (พักอีก 1 เดือนครึ่ง)
และถ้านำไปเทียบกับสถิติอาการบาดเจ็บของเขาในอดีต นับตั้งแต่เล่นในประเทศบ้านเกิดที่อาร์เจนตินา รวมไปถึงเล่นอยู่ที่ อาแจ็กซ์ อัมสเตอรดัม อีก 3 ฤดูกาล ลิซานโดร มาร์ติเนซ มีอาการบาดเจ็บหนักเพียงครั้งเดียว นั่นคือในส่วนของบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ที่ใช้เวลาพักรักษาตัวเพียงราว ๆ 1 เดือนเท่านั้น
ถึงขั้นที่ทาง แกรี่ เนวิลล์ อดีตตำนานกองหลังกัปตันทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงอาการบาดเจ็บของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ โดยตัวของ เนวิลล์ นั้นมองว่า มาร์ติเนซ อาจต้องมีการเปลี่ยนสไตล์การเข้าบอลให้เบาลงมากกว่าเดิม จึงอาจจะไม่เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บของเขาที่เริ่มมีให้เห็นบ่อยครั้ง
"ผมชอบสไตล์การเล่นของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ เป็นอย่างมาก เขาทำให้ผมนึกถึง เนมานย่า วิดิช เลยนะ แต่ผมคิดว่าเขาเริ่มเจออาการบาดเจ็บที่บ่อยยิ่งขึ้น ซึ่งมาจากการเล่นของเขาด้วยเช่นกัน ผมจึงอยากแนะนำให้เขาอาจต้องเล่นในสไตล์ที่เบากว่านี้ เพราะมันอาจส่งผลต่อสภาพร่างกายของเขาในระยะยาว"
ควรเปลี่ยนสไตล์การเล่นหรือไม่ ?
แม้ว่าในฤดูกาล 2024-25 หลังจากผ่านการลงเล่นไปมากกว่าครึ่งของฤดูกาล ลิซานโดร มาร์ติเนซ จะยังคงสภาพร่างกายของตนเองให้ไม่ได้รับอาการบาดเจ็บแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งถึงในเกมนัดล่าสุดที่แพ้ คริสตัล พาเลซ เมื่อต้นกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา
เกมดังกล่าวเขาถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามในนาที 82 หลังได้รับอาการบาดเจ็บในจังหวะที่กำลังจะพลิกบอลหนีทาง อิสไมล่า ซาร์ แนวรุกของทัพ ดิ อีเกิ้ลส์ ทว่ากลับเสียจังหวะจนได้รับอาการบาดเจ็บและไม่สามารถเล่นต่อไหวในท้ายที่สุด
ซึ่งอาการบาดเจ็บในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะน่าเป็นห่วงอยู่มากพอสมควร เนื่องจาก ลิซานโดร มาร์ติเนซ ไม่สามารถกลับขึ้นมาลุกยืนขึ้น และต้องปฐมพยาบาลใช้เวลามากพอสมควร มิหนำซ้ำตัวของ มาร์ติเนซ ยังแสดงอาการร้องไห้และเจ็บปวดออกมาให้เห็นในเวลาดังกล่าว
"อาการบาดเจ็บของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ดูค่อนข้างน่าเป็นห่วง เขาไม่สามารถลงน้ำหนักได้ในตอนนี้ เขาจะเข้ารับการสแกนอย่างละเอียดจากทีมแพทย์ของสโมสร เราจะได้รู้กันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ถ้าในมุมมองของผมมันช่างดูไม่ดีเอาเสียเลย" รูเบน อโมริม กล่าวถึงอาการบาดเจ็บครั้งล่าสุดของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ในเกมค่ำคืนนัดที่ผ่านมา
ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมไปถึงตัวของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ไม่อยากพบเจอมากที่สุด นั่นคือ อาการบาดเจ็บหนัก ก็เกิดขึ้น ที่ในครั้งนี้หลังจากได้รับการตรวจอย่างละเอียดเป็นที่เรียบร้อย ผลยืนยันออกมาว่า มาร์ติเนซ ได้รับอาการบาดเจ็บบริเวณเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาด และต้องใช้เวลาพักฟื้นยาวนานถึง 6 เดือนเป็นอย่างน้อย
ส่งผลให้อาการบาดเจ็บหนักครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ย้ายเข้ามาอยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นครั้งที่เขาบาดเจ็บหนักมากที่สุดในชีวิตของเขา ซึ่งต้องมารอดูไปพร้อมกันว่า สภาพร่างกาย รวมไปถึงสภาพจิตใจ หลังจากได้รับบาดเจ็บหนักครั้งแล้วครั้งเล่า จะส่งผลกระทบต่อตัวเขามากน้อยขนาดไหน
เพราะถ้าหากสภาพจิตใจไม่เหมือนเดิม และยังเล่นในสไตล์ที่เขานั้นเล่นมาโดยตลอด เราอาจได้เห็น ลิซานโดร มาร์ติเนซ เหมือนกับกรณีของ เอริค ไบยี่ และ ฟิล โจนส์ อดีตกองหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสไตล์การเข้าบอลแบบดุดันของ มาร์ติเนซ ในปัจจุบัน แทบถอดแบบมาจากสไตล์เข้าบอลของทั้งคู่ด้วยกันทั้งสิ้น
ซึ่งจุดจบของ ไบยี่ และ โจนส์ ก็อย่างที่ทุกคนต่างรู้กันเป็นอย่างดี นั่นคือ อาการบาดเจ็บเรื้อรังตามรังควานเขาทั้งคู่มาโดยตลอด และท้ายที่สุดแข้งทั้ง 2 ราย ก็ถูกตีตราว่าเป็น "แข้งกระดูกยุง" มาจนถึงทุกวันนี้
แต่ถ้าหากเขาเลือกที่จะเปลี่ยนสไตล์การเล่นของตนเองมาเล่นในรูปแบบเพลย์เซฟป้องกันตัวไม่ดุดันเหมือนกับตอนนี้ เราก็อาจจะไม่ได้เห็น มาร์ติเนซ ในเวอร์ชั่นที่น่ากลัวและอยู่ในระดับท็อปก็เป็นได้เช่นกัน
แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ควรเปลี่ยนสไตล์การเล่น หรือไม่เปลี่ยนดีล่ะ ?
แหล่งอ้างอิง
https://www.transfermarkt.com/lisandro-martinez/verletzungen/spieler/480762
https://www.liverpool.com/liverpool-fc-news/features/jamie-carragher-lisandro-martinez-height-29757482
https://www.90min.com/posts/lisandro-martinez-message-man-utd-fans-latest-injury-blow
https://www.football365.com/news/man-utd-legend-pallister-slams-disrespectful-redknapp-little-boy-martinez
https://www.eurosport.com/football/premier-league/2024-2025/ruben-amorim-manchester-united-loss-crystal-palace-really-bad-warns-lisandro-martinez-injury-serious_sto20077492/story.shtml
https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/man-utd-news-bailly-vidic-11697479