Feature

งบน้อย โค้ชใหม่ ใช้ดาวรุ่ง : เปิดปฎิบัติการเปลี่ยน บอร์นมัธ เป็นทีมตึงแห่งยุค | Main Stand

อันโดนี อิราโอลา เคยขึ้นเป็นเต็ง 1 โค้ชที่จะโดนไล่ออกในช่วงออกสตาร์ทพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023-24 ที่เขาพาทีม บอร์นมัธ ลงเล่น 9 เกม (เสมอ 3 แพ้ 6)โดยไม่สามารถเอาชนะใครได้เลย 

 


แต่หลังจากนั้นฟุตบอลของ อิราโอลา กลายเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจ และที่สำคัญคือวิธีที่เขาทำให้ทีมมีผลงานดีขึ้น คือการยอมรับวิธีการของตัวเองว่าล้มเหลว ไม่ดึงดัน จนกระทั่งเกิดดวงตาเห็นธรรมสู่ศาสตร์ฟุตบอลแบบใหม่ที่เขาใช้เวลาคิดค้นเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น 

นี่คือเรื่องราวของ บอร์นมัธ ทีมเล็ก ๆ ที่ทีมใหญ่ในพรีเมียร์ลีกไม่อยากเจอ .. พวกเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ? ติดตามกับ Main Stand

 

นักน็อคบิ๊กทีมแห่งสเปน  

อันโดนี อิราโอลา นั้นไม่ใช่โค้ชชื่อดังอะไรมากมายนัก เขาเคยเป็นนักเตะของ แอธเลติก บิลเบา เล่นที่นั่นมาเกือบทั้งชีวิต และเป็นมิดฟิลด์ระดับกลาง ๆ ก่อนที่จะรีไทร์และจับงานโค้ชใหญ่ที่แรกในปี 2018 กับ เออีเค ลานาร์กา, มิรันเดส และเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจริง ๆ ครั้งแรกกับ ราโย บาเยกาโน่ ที่เขาคุมทีมอยู่ถึง 3 ปี  

"ผมไม่เคยคิดจะเป็นโค้ชในตอนแรก แต่หลายอย่างเปลี่ยนในช่วงที่ผมย้ายไปค้าแข้งกับ นิวยอร์ค ซิตี้ เอฟซี และมีโค้ชเป็น ปาทริค วิเอร่า" อิราโอล่า ปูเรื่องก่อนจะเล่าถึงทีม ราโย บาเยกาโน่ ของเขาที่สื่อสเปนให้้ความชื่นชมในฐานะทีมพัฒนาการยอดเยี่ยมภายใต้การทำทีมของเขา 

"วิเอร่า จับผมไปเล่นกองกลางมากขึ้น เพราะผมเล่นในตำแหน่งวิงแบ็คไม่ค่อยไหวแล้วด้วยอายุที่มากขึ้น และการเล่นเป็นกองกลางภายใต้การทำงานของเขาที่เป็นหนึ่งในทีมงานของ แมนฯ ซิตี้ มันทำให้ผมได้เห็นถึงสไตล์การเล่นที่แตกต่างออกไป มันเป็นการเน้นที่การยืนตำแหน่งมากเป็นพิเศษ ซึ่งจุดนั้นเองมันช่วยเปิดมุมมองให้ผมอยากจะลองเป็นโค้ชดู" 

อิราโอล่า ใช้เวลาหลังในช่วงดังกล่าวศึกษาฟุตบอลจากหลาย ๆ ที่โดยเฉพาะฟุตบอลเยอรมัน ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ และเรียกได้ว่าเป็นรากฐานของฟุตบอลในแบบฉบับของเขาที่คุณได้เห็นในบอร์นมัธ ณ เวลานี้

"ผมชอบดูฟุตบอลเยอรมันมาก ๆ ทีมโปรดของผมคือ กลัดบัค ของ มาร์โก โรส ฟุตบอลเยอรมันเป็นฟุตบอลที่ให้ความสำคัญมาก ๆ กับทุกตำแหน่ง ทุกคนต้องก้าวขึ้นมามีบทบาทในเกมรุกและรับ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผมชอบฟุตบอลที่มีความยืดหยุ่น และผู้เล่นคนหนึ่งสามารถเล่นได้ทุกแบบ เช่น กองหน้าต้องไล่กดดันกองหลังคู่แข่ง กองกลางต้องเติมขึ้นไปเล่นในกรอบเขตโทษ นี่คือฟุตบอลที่ใช้แท็คติกเยอะมาก และครบเครื่องที่สุดเท่าที่ผมจับต้องได้ในเวลานั้น" 

อิราโอล่า ใช้ฟุตบอลแบบนั้นในการคุมทีมมาเสมอ โดยเฉพาะที่ ราโย บาเยกาโน เข้าเริ่มทำงานที่นั่นในปี 2020 และพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด และพาทีมเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายในศึก โคปา เดล เรย์ และเป็นทีที่คล้าย ๆ บอร์นมัธ ในเวลานี้นั่นคือทีมจอมพลิกล็อกที่ชอบเล่นเกมใหญ่เป็นพิเศษ ซึ่ง อิราโอล่า เปิดเผยเร่ื่องดังกล่าวว่า

"การเล่นกับทีมใหญ่เป็นเรื่องยากมากในแง่ของการเจอกับนักเตะที่คุณภาพสูงกว่า แต่ในทางกลับกันพวกเขาจะเปิดพื้นที่และโอกาสให้คุณเล่นมากกว่าทีมอื่น ๆ หากคุณใช้วิธีการเล่นประกบกันแบบตัวต่อตัวตลอดเวลา พวกเขาจะตัดสินใจเล่นฟุตบอลไดเร็กต์ และคุณเองจะต้องเหนื่อยที่ต้องไปแย่งบอลกับนักเตะที่มีทักษะสูง ๆ"

"ดังนั้น หลัก ๆ แล้วคุณต้องปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามได้เล่นในเกมที่พวกเขาไม่ถนัด คุณต้องพยายามขุดบ่อล่อปลา วางกับดักเอาไว้ให้พวกเขาเล่นในแบบที่คุณต้องการเพื่อให้คุณสามารถแย่งบอลกลับมาได้ ... ปล่อยให้พวกเขาพยายามบุกเข้ามาด้วยวิธีที่ไม่ถนัด และเมื่อพวกเขาเริ่มเผลอ นั่นแหละเป็นเวลาที่เราจะต้องทุ่มสุดตัวเพื่อแย่่งฟุตบอลมา และทำตามแผนที่ซ้อมกันไว้"

ราโย บาเยกาโน่ ของ อิราโอล่า เป็นทีมที่เอาชนะทีมอย่าง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ แอตฯ มาดริด ได้ทุกปีในการเล่นลีกสูงสุด วิธีการดังกล่าวทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่อยู่รอดแบบสบาย ๆ ไม่ต้องหนีตกชั้นเหมือนในอดีต และผลงานนี้เองที่ทำให้ บอร์นมัธ ติดต่อ อิราโอล่า เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2023-24 ซึ่งถือว่านี่คือบันไดอีกขั้นที่เขาจะต้องพิสูจน์ตัวเอง 

 

ของจริงไม่ง่าย

อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น อิราโอลา เป็นกุนซือสายแท็คติกได้รับอิทธิพลมาจากฟุตบอลในแนวทางของ แมนฯ ซิตี้ จากกลุ่ม ซิตี้ กรุ๊ป และผสมผสานเข้ากับวิธีเพรสซิ่งแบบบ้าคลั่งลุยแหลกไม่สนเบอร์คู่แข่งจากวิธีการของ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า กุนซือขวัญใจของเขา ที่เคยทำงานด้วยสมัย บิลเบา ... มองดูแล้วแนวคิดดี ๆ ของเขาเต็มกระเป๋า และพร้อมจะเอามาใช้ที่ บอร์นมัธ  เพียงแต่ว่าของบางอย่างมากเกินไปก็ไม่ดี 

มีการบอกเล่าโดยกลุ่มนักเตะบอร์นมัธถึงช่วงแรกที่ อิราโอล่า มาคุมทีมว่าฟุตบอลของเขามีการเอารายละเอียดมากมายมากางให้นักเตะดู กระดานแท็คติกต้องอธิบายกันที 3-4 กระดาน ซึ่งมันเยอะล้นเกินไป ต่อให้เป็นแนวคิดที่ดี แต่ถ้านักเตะไม่ซึมซับมันก็ไม่มีประโยชน์ 

9 นัดแรกในพรีเมียร์ลีก บอร์นมัธ ไม่ชนะใครเลย เสมอ 3 และแพ้ไปถึง 6 เกม หลายประตูที่เสียเกิดขึ้นจากการพยายามเล่นสวนกลับเร็วตลอดเวลา แท็คติกขุดบ่อล่อปลาของเขาใช้ไม่ได้ที่นี่ในตอนแรก เพราะทุกครั้งที่ทีมของเขาตัดบอลได้ และพยายาจะเล่นเร็วในทุกจังหวะ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาเป็นฝ่ายพลาดเอง และโดนคู่แข่่งตลบหลัง และเสียประตูแบบนี้เป็นส่วนใหญ่

"ตอนแรกผมสารภาพได้เลยว่า ผมและเพื่อนร่วสมทีมไม่สามารถรับข้อมูลทั้งหมดที่เขามอบให้เราได้" โดมินิค โซลันกี้ อดีตกองหน้าของ บอร์นมัธ กล่าว 

"สำหรับผมมันดูไม่ลงตัวไปเสียหมด หน้าที่ที่ถูกกำหนดให้แต่ละคนมันดูไม่ชัดเจน เราไม่แน่ใจว่าจะต้องเพรสซิ่งคู่แข่งนานแค่ไหน และเมื่อไหร่ที่ควรปล่อยให้พวกเขาครองบอลและเราถอยลงมาเล่นเกมรับ" 

เขาพยายามจะเพรสซิ่งสูง กดดันคู่แข่งตลอดเวลาที่ไม่มีบอล ตามแบบฉบับฟุตบอลที่เล่นเกมรับ และรุกทั้งทีมแบบที่เขาชอบ แต่เขาลืมไปว่าทุกอย่างย่อมมีก้าวแรก 

นับตั้งแต่ที่อิราโอลาเข้ามาคุมทีม บอร์นมัธมีอัตราการโดนคู่แข่งลุ้นยิงประตูจากการจ่ายบอลพลาดเป็นอันดับ 5 ของพรีเมียร์ลีก (93 ครั้ง) และมีอัตราเสียบอลระหว่างต่อเกมในแดนตัวเองถึง 9 ครั้งต่อ 1 เกม มากกว่ายุคที่กุนซือคนเก่าอย่าง แกรี่ โอนีล ด้วยซ้ำ ... การเสียบอลในแดนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายในพรีเมียร์ลีก ทุกทีมพร้อมจะเปลี่ยนรับเป็นรุก และเต็มไปด้วยนักเตะที่คุณภาพสูง รวดเร็วและเด็ดขาด  

แผนที่เขาเตรียมมาไม่ใช่ไม่ดี แต่นักเตะไม่เข้าใจ เพราะขาดพื้นฐาน และพื้นฐานของฟุตบอลของเขาคือการครอบครองบอล กลับไปสู่เบสิคในแบบของฟุตบอลสเปนนั่นคือไม่ต้องเร่งรีบจนมากเกินไป ต่อบอลให้แม่นยำ เคลื่อนที่ให้มากตอนไม่มีบอล ... พวกเขาจะจะสวนกลับเร็วก็ต่อเมื่อคู่แข่งเปิดพื้นที่มากเพียงพอเท่านั้น เรียกง่าย ๆ ว่าปลอดภัยและระมัดระวังมากขึ้น เพื่อให้ได้การครองบอลและการบุกที่แน่นอนกลับมา 

จากนั้นเมื่อปรับกลับมาที่พื้นฐาน เน้นความแน่นอน มากกว่าการเลือกที่จะเล่นฉาบฉวยตลอดเวลา ทำให้ บอร์นมัธ เริ่มเก็บผลการแข่งขันที่ดีได้ และจากนั้นไมนานพวกเขาก็กลายเป็นทีมที่ต่อบอลได้มีประสิทธิภาพ ซึ่ง อิราโอล่า จึงค่อย ๆ เติมเรื่องการวิ่งเพรสซิ่งในแบบฉบับของเขาให้มากขึ้น จนกระทั่งเป็นฟุตบอลสไตล์บอร์นมัธอย่างที่พวกเราเห็น

"หลังจากเราเริ่มต้นได้ไม่ดีเรากลับมาเน้นยำกันมากขึ้นที่พื้นฐาน ไม่นานนักเราจึงเข้าใจปรัชญาของเขา อิราโอล่า เริ่มใส่อะไร ๆ เข้าในสอมงเราทีละนิด จากนั้นมันก็ฝังอยู่ในหัวของพวกเรทุทกคน เราเล่นฟุตบอลในแนวทางเดียวกัน และสุดท้ายวิธีการของเขา ก็กลายเป็นธรรมชาติของเราในท้ายที่สุด" โซลันกี้ อธิบายเพิ่ม

 

One Season Wonder ? 

บอร์นัมัธ จบอันดับ 12 ในฤดูกาล 2023-24 โดนินิค โซลันกี้ ยิงประตูระเบิดเถิดเทิง 19 ประตูในลีก มากที่สุดในอาชีพค้าแข้งของเขาสำหรับการเล่นในลีกสูงสุด และที่สำคัญคือนักเตะดาวรุ่งหลายคนที่ อิราโอล่า ผลักดันใช้งานอย่างเต็มที่เริ่มเปลี่ยนสถานะจากแข้งโนเนมกลายเป็นตัวอันตรายที่ทุกทีมต้องระวัง ทั้ง อองตวน เซเมนโญ, จัสติน ไคลเวิร์ต, ดานโก้ ออตตาร่า, อิลลิยา ซาบานยี่, มิลอส เคอร์เคซ และอีกหลายคน 

แน่นอนว่ามันธรรมดามากสำหรับการจบอันดับ 12 ไม่ใช่สิ่งที่สื่อจับตามองอะไรมากนัก และมีโค้ชหลายคนที่ดีในปีแรก แต่ปีต่อมาผลงานแย่ อย่างไรก็ตามต้องยกให้เขาไว้สักคนเพราะในฤดูกาล 2024-25 อิราโอล่า ต่อยอดจาก บอร์นมัธ ทีมเดิมไปยังอีกระดับ แม้จะต้องเสียกองหน้าที่ดีที่สุดอย่าง โซลันกี้ ไปให้กับสเปอร์ส ก็ตาม 

อิราโอล่า ประกาศก่อนซีซั่นเริ่มว่าสิ่งที่เขาเคยทำผิดพลาดในปีที่แล้ว จะถูกนำปัดผุ่นมาใช้อีกหนึ่งครั้ง และหนนี้ทุกอย่างจะเข้มข้นกว่าเดิม เพราะเขาเชื่อว่านักเตะที่เขามีสามารถเข้าใจถึงสิ่งที่เขาจะสื่ออย่างถ่องแท้แล้ว 

"เมื่อครั้งตอนอยู่สเปน ผมพยายามเล่นเกมรุกหนัก ๆ เพรสซิ่งสูง ๆ แต่ที่อังกฤษผมเข้าใจบางอย่าง เพราะสิ่งที่เคยคาดการณ์ไว้มันไม่มากพอ เราจะต้องพยายามรุกหนักกว่านี้ กดดันสูงกว่านี้ พยายามแย่งบอลให้ได้มากกว่านี้ กล้าที่จะเสี่ยงมากกว่าเดิม"

"เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะไม่สามารถสร้างความแตกต่างที่แท้จริงได้ ผมเป็นของผมแบบนี้แหละ ทุกครั้งที่ผมคุมที่อยู่บนซุ้มม้านั่งสำรองผมไม่เคยสบายใจเลยเวลาที่ผมเห็นทีมตัวเองถอยมาตั้งรับลึกถึง 10 คน นั่นคือสิ่งที่เราจะเปลี่ยน" อิราโอล่า กล่าว

มันเป็นแบบที่เขาพูด ณ ปัจจุบัน บอร์นมัธ เป็นทีมอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกที่มีค่าเฉลี่ยการกดดันในพื้นที่สุดท้ายของคู่แข่งรองจาก สเปอร์ส และพวกเขาก็เสี่ยงขึ้นจริง เพราะมีสถิติเสียการครองบอลในแดนสุดท้ายเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว จากเฉลี่ย 9.7 ครั้ง เป็น 11.5 ครั้ง 

แม้ไม่มี โซลันกี้ แต่นักเตะแนวรุก 4 คนของ บอร์นมัธ อย่าง เอวานิลสัน(45 ครั้ง), เซเมนโย(36), ไคลเวิร์ต(31) และ มาร์คัส ทาเวอร์เนียร์(31) คือนักเตะที่มีอัตราการวิ่งเพรสซิ่งในแดนสุดท้ายมากที่สุดติด 20 อันดับแรกของพรีเมียร์ลีก และสถิติที่สำคัญมากที่สุดที่บอกว่าพวกเขาเสี่ยงขึ้นเพื่อให้ได้ผลการแข่งขันที่ดีขึ้นก็คือ สถิติการเปลี่ยนจากรับเป็นรุกเร็วที่สุดเป็นอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีก  อีกด้วย 

"พวกเขาพัฒนาขึ้นมาก ทีมของ อิราโอล่า กลายเป็นทีมที่ชอบโจมตีในยามที่แนวรับคู่แข่งกำลังวุ่นวาย เมื่อฝ่ายตรงข้ามเสียบอลและไม่มีเวลาจัดระเบียบเกมรับ พวกเขาไม่ลังเลที่จะเข้าทำด้วยความเร็ว" Matt Furniss นักวิเคราะห์ของ Opta กล่าว

"ต้องของคุณการเพรสซิ่งสูงของพวกเขาที่ประสบความสำเร็จเยอะมากในการแย่งบอลกลับมาจากฝั่งตรงข้าม ทำให้พวกเขามีโอกาสยิงประตูจากจังหวะทรานซิชั่นมากที่สุดในลีกซีซั่นนี้ (138 ครั้ง) และไม่มีทีมไหนเลยที่ได้ประตูจากการทรานซิชั่นมากถึง 40% ... มีบอร์นมัธ ทีมเดียวเท่านั้นที่ทำได้ 43.00%" นั่นคือข้อสรุปทั้งหมดของพัฒนาการพวกเขาภายใน 2 ซีซั่นที่นักเก็บสถิติได้เห็น 

ฤดูกาลแรกตั้งหลัก ฤดูกาลนี้ต่อยอด ... สิ่งที่ยากก็คือหลังจากนี้ทุกทีมจะระแวดระวังพวกเขาเป็นพิเศษ สถิติดังกล่าวที่เราไล่เรียงมากจะเป็นสิ่งที่ทุกทีมรู้ และพยายามหาทางแก้ เช่นเดียวกับปัญหาเรื่องของการหมุนเวียนนักเตะให้เพียงพอกับฤดูกาลอันยาวนาน ... นี่คือบททดสอบต่อไปของ อิราโอล่า และลูกทีมของเขา 

ส่วนจะทำได้หรือไม่คำตอบอยู่ที่พวกเขา แต่ที่แน่ ๆ ณ เวลานี้ บอร์นมัธ คือทีมที่เล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอาผลการแข่งขันเป็นที่ตั้ง พร้อมด้วยแนวทางที่แน่วแน่ที่สุดทีมหนึ่ง นี่คือเรื่องที่ควรปรบมือให้กับทีมเล็ก ๆ ที่งบประมาณไม่มากแถมเสียตัวหลักในทุกซัมเมอร์อย่างไม่ต้องสงสัย 

 

แหล่งอ้างอิง : 
 
https://www.theguardian.com/football/article/2024/may/18/andoni-iraola-bournemouth-manager-interview-cycling
https://www.premierleague.com/news/4221191#!
https://en.wikipedia.org/wiki/2023%E2%80%9324_AFC_Bournemouth_season
https://getfootballnewsspain.com/andoni-iraola-on-german-football-patrick-vieira-and-rayo-vallecano/
https://totalfootballanalysis.com/team-analysis/rayo-vallecano-202324-scout-report-tactical-analysis-tactics

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ