ชื่อของ โอมาร์ มาร์มูช กลายเป็นดาวเตะน่าจับตาในฤดูกาล 2024-25 ไปแล้ว หลังดาวเตะชาวอียิปต์ ทำผลงานยอดเยี่ยมให้กับ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต และมีข่าวเชื่อมโยงกับทีมดังมากมาย โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล
ก่อนที่ชื่อของเขาจะติดตลาดโด่งดังมากกว่านี้ เขามีเบื้องหลังที่น่าสนใจ และเหตุผลว่า ทำไมเขาถึงได้ฉายาว่า "เจ้าชายแห่งอียิปต์"
เขาเป็นใคร มาจากไหน และทำไมถึงถูกยกให้เป็นนักเตะอียิปต์ที่จะสานต่อความยิ่งใหญ่ของ โม ซาลาห์ ? ติดตามที่ Main Stand
หนุ่มนักแสวงหาจากกรุงไคโร
โอมาร์ มาร์มูช เกิดที่กรุงไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ และในวันที่เขาเริ่มสนใจฟุตบอล ชื่อของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็เริ่มโด่งดังขึ้นมาในฐานะนักเตะวันเดอร์คิด หลังจากย้ายจาก บาเซิล ไปยัง เชลซี ซึ่ง ณ นาทีนั้น มาร์มูช ในวัย 14 ปี ก็เริ่มอยากที่จะทำให้ได้เหมือนกับที่ โม ซาลาห์ สร้างชื่อ และกลายเป็นนักเตะที่แฟนบอลอียิปต์ตั้งความหวังไว้สูงในเวลานั้น
ทว่าการจะไต่ไปถึงระดับซาลาห์ ณ เวลานั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะนักเตะชาวอียิปต์ส่วนใหญ่มักจะเลือกค้าแข้งในประเทศตัวเอง เพราะมีรายได้ดี มีเพียงส่วนน้อยเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะดีจริง ๆ จนเหล่าเอเยนต์พาตัวเข้าไปหาโอกาสในยุโรป
ซึ่งตัวของ มาร์มูช เล่าว่า ตอนที่เขาอายุ 14 ปี แม้จะฝันสูง แต่ฝีเท้าของเขาในตอนนั้นไม่ได้ดีมากเทียบเท่ากับเพื่อนร่วมรุ่น เขามักจะโดนมองข้ามอยู่บ่อย ๆ เพียงแต่ว่าความตั้งใจจริง คือสิ่งที่ทำให้เขายังไปต่อ และไม่คิดจะล้มเลิกง่าย ๆ
เขาเล่าว่า หลังจากพิจารณาตัวเองอย่างรอบด้านแล้วว่าตนเองไม่ใช่นักเตะระดับพรสวรรค์สูง ดังนั้นสิ่งที่ต้องใช้มากกว่าคนอื่น ๆ คือเรื่องของความวิริยะ อุตสาหะที่จะพัฒนาตัวเอง
โดยในช่วงวัย 14 ปี เขายังเรียนหนังสืออยู่ด้วยซ้ำ แต่เขาก็เริ่มวางโปรแกรมพัฒนาตัวเองด้วยสิ่งที่เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องรอ นั่นคือการพัฒนาศักยภาพด้านร่างกาย เขาออกวิ่งทุกวัน เข้าโรงยิมและฝึกความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ เพราะเชื่อว่าถ้าร่างกายดี สิ่งต่าง ๆ ในสนามที่ว่ายาก ๆ จะสามารถทำได้ง่ายขึ้น
ในขณะที่ขยันซ้อม ขยันฟิต สิ่งหนึ่งที่ทำไปพร้อม ๆ กันคือเรื่องของศิลปะ โอมาร์ มาร์มูช คือเด็กที่มีพรสวรรค์เรื่องนี้ และเขาเล่าว่า สองอย่างนั้นอาจจะแตกต่างกัน แต่มันเกื้อหนุนกันและกันเป็นอย่างมาก ทำให้เขามีบาลานซ์ในชีวิต ในสิ่งที่ชอบ ฟุตบอลทำให้ร่างกายของเขาแข็งแรงฉันใด ศิลปะก็ทำให้จิตนาการของเขาเปิดกว้าง และมีความสุนทรีย์ในชีวิตฉันนั้น
"ตอนแรกผมอยากจะเป็นนักเตะอาชีพ แต่แค่เล่นในโรงเรียนผมก็รู้แล้วว่าผมไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด ผมจึงต้องพยายามให้มาก และนั่นเป็นทางรอดเดียวของผมสำหรับเรื่องนี้"
"เช่นเดียวกัน พ่อและแม่ของผมไม่เชื่อเรื่องที่ผมฝันอยากจะเป็นนักฟุตบอล เพราะผมเป็นเด็กเรียนดี เขาอยากให้ผมเอาจริงเอาจังทางนั้นมากกว่า แต่ผมเจอบาลานซ์ ผมทำทั้ง 2 อย่างพร้อมกันโดยไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ข้างหลัง และผมก็เอาชนะใจพวกเขาได้" มาร์มูช เริ่มกล่าว
"ผมพยายามทำทั้งสองอย่างให้ดี ผมเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังเพื่อให้พ่อแม่เข้าใจและสนับสนุน ส่วนเรื่องของงานศิลปะเป็นโลกอีกใบที่ผมใช้ถ่ายทอดความรู้สึกและความคิดที่ผมไม่สามารถแสดงออกด้วยคำพูดได้ มันคือสิ่งที่ผมใช้แสดงออกถึงคาแร็คเตอร์ที่อยู่เหนือกว่าแค่คำว่าฟุตบอล"
ความแข็งแรงของร่างกาย บวกกับจิตนาการในการมองสิ่งรอบตัวแบบศิลปิน ทำให้ โอมาร์ มาร์มูช ได้เจอจุดเปลี่ยนสำคัญ ตอนอายุ 15 ปี เขาสามารถคัดตัวเป็นนักเตะเยาวชนของทีม วาดี เดกลา(Wadi Degla) และเขาเล่นอยู่ที่นั้นแค่ไม่กี่สัปดาห์ ก็ก้าวสู่ทีมชุดใหญ่ และเติบโตอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ จนกระทั่งติดทีมชาติอียิปต์ไปเล่นในรายการ แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ตั้งแต่อายุ 17 ปี เลยทีเดียว
เขาเล่นให้ วาดี แค่ 16 เกมยิงไป 2 ประตู และจากนั้น โวล์ฟสบวร์ก ก็ซื้อตัวเขาไปร่วมทีมตอนที่เขาอายุ 18 ปี และเบื้องต้นการเจรจาเป็นไปในแบบที่จะให้ มาร์มูช ลงเล่นในทีมสำรองที่ลงแข่งในระดับ ลีกา 3 ไปก่อน จากนั้นจึงค่อยพิจารณาว่าดาวเตะจากอียิปต์รายนี้ จะดีพอที่จะเป็นนักเตะสำหรับทีมชุดใหญ่หรือไม่
การซื้อ มาร์มูช ครั้งนี้ก็เหมือนกับซื้อหวยของ โวล์ฟสบวร์ก พวกเขาจ่ายค่าตัวให้กับ วาดี แค่ 100,000 ยูโรเท่านั้น ... ส่วนจะทำเงินก้อนโตได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของนักเตะที่วงการฟุตบอลอียิปต์บอกว่า "เติบโตอย่างรวดเร็ว" อย่าง มาร์มูช ล้วน ๆ
เจ้าชาย ... ที่รอการแจ้งเกิด
แม้จะก้าวกระโดดใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีนิด ๆ ในการมาเล่นในยุโรป แต่ชีวิตใหม่ที่ โวล์ฟสบวร์ก ไม่ง่ายเลย เด็กอายุ 18 จาก อียิปต์ เดินทางมาที่เยอรมันคนเดียว ไม่มีใครติดสอยห้อยตามมาด้วย ต่อให้จะเป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้นแค่ไหน แต่มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ลำบากสำหรับเขาไม่น้อย
"ผมย้อนกลับไปคิดถึงวันนั้น และพบว่าความยากลำบากจริง ๆ ก็คือคุณห่างไกลเพื่อน ไม่มีคนในครอบครัวอยู่ใกล้ ๆ ในประเทศอย่างเยอรมันที่ผมไม่รู้ภาษา พูดไม่ได้ กินอาหารของพวกเขาไม่เป็น ไม่รู้เกี่ยวกับขนบและฟุตบอลของพวกเขามากนัก"
"มันท้าทายก็จริง แต่หลายสิ่งเปลี่ยนใหม่หมด ไม่ใช่แค่อากาศหรืออุณหภูมิ แต่มันคือเรื่องแนวทางการเล่นแบบฟุตบอลยุโรปที่เกมมันเร็วกว่าที่อียิปต์มาก คุณต้องแข็งแรงมาก และมีไหวพริบอีกระดับหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่พอแค่นั้น สภาพจิตใจคุณจะต้องพร้อมปะทะ และกว่าที่ผมจะตั้งหลักกับชีวิตที่เยอรมันได้ ผมใช้เวลานานโขเลย" มาร์มูช ว่า
จาก 2 ปี ที่กระโดดจากนักเตะทีมโรงเรียนมาเล่นในยุโรป เส้นทางสู่นักเตะอาชีพที่แท้จริงยาวนานกว่านั้น ... มาร์มูช ใช้เวลา 3 ปีในทีมสำรองของ โวล์ฟสบวร์ก กว่าจะได้ลงเล่นเกมแรกอย่างเป็นทางการ ซึ่งเมื่อเวลาของเขามาถึง เขาก็ไม่ได้โชว์ความแตกต่างมากนัก และนั่นทำให้ช่วงเวลาส่นใหญ่ของเขาหมดไปกับการส่งตัวไปให้ทีมระดับ ลีกา 2 อย่าง ซังต์ เพาลี และ สตุ๊ตการ์ท
แม้การปล่อยยืมตัวอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ มาร์มูช ได้ลงเล่นมากขึ้น แสดงฟอร์มที่ดีขึ้น และมีประตูสวย ๆ ให้กล่าวถึง เพียงแต่ว่า โวล์ฟสบวร์ก ก็ยังไม่มั่นใจในตัวเขาว่าจะดีพอสำหรับเกมลีกสูงสุดหรือไม่ การลงสนามของเขาในฤดูกาลสุดท้ายกับ "หมาป่าเมืองเบียร์" ไม่ค่อยดีนักหลังจากจบฤดูกาล 2022-23 เขาก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ แฟรงค์เฟิร์ต โดยจุดเปลี่ยนนี้สำคัญกับอาชีพค้าแข้งของเขาจริง ๆ
มาร์มูช ยังอยากจะสู้ต่อ แต่เมื่อได้พบกับ ดิโน่ ท็อปโมลเลอร์ อดีตโค้ชของ บาเยิร์น ที่คุม แฟรงค์เฟิร์ต และพูดคุยกันโดยตรง เขาก็เหมือนดวงตาเห็นธรรม สิ่งที่ ท็อปโมลเลอร์ บอกกับเขาก็คือ เขาไม่ใช่นักเตะที่ไม่ดี ต่อให้จะมีสถิติยิงประตูและแอสซิสต์น้อยมาก เพราะสิ่งที่ ท็อปโมลเลอร์ เห็นคือสไตล์การเล่นที่ไม่ตรงกับทีมมากกว่า ... พร้อมบอกว่าที่ แฟรงค์เฟิร์ต ความพยายามของเขาจะไม่สูญเปล่า และเขาจะเป็นคนละคนกับช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
มาร์มูช เชื่อ และตกลงย้ายทีมในซัมเมอร์ที่ผ่านมา ด้วยสถานะของนักเตะฟรีเอเยนต์ เขาอยากพิสูจน์คำพูดของ ท็อปโมลเลอร์ ที่ได้ใจเขาไปเต็ม ๆ ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น มีข่าวว่าเขาปฏิเสธข้อเสนอจาก อาร์เซน่อล และ เบรนท์ฟอร์ด ด้วย
ขยันถูกที่ ... 1 ปีก็ปัง
ดิโน่ ท็อปโมลเลอร์ คือโค้ชที่ชื่นชอบวิธีการเล่นแบบเพรสซิ่งสูง ต่อบอลน้อยจังหวะ เน้นฟุตบอลไดเร็กต์ จากหลังไปหน้าด้วยความเร็วที่สุด ซึ่งนั่นเองเป็นสิ่งที่เขาอยากจะได้คนอย่าง มาร์มูช มาเสียบในตำแหน่งกองหน้าหมายเลข 9 เพราะ มาร์มูช เป็นคนที่เร็ว แข็งแรง และขยัน เขาจะส่ายหาตำแหน่งตลอดเวลา และเมื่อมีช่องที่ว่าง จินตนาการของเขาก็จะใช้ประโยชน์ได้ในทันที ช่วยให้ทีมเปลี่ยนจากรับเป็นรุกอย่างรวดเร็ว
"มาร์มูช คือคนที่ตอบโจทย์ทางกลยุทธ์ของเรา เขาเป็นเบอร์ 9 ธรรมชาติก็จริง ๆ แต่สามารถเล่นได้ทุกที่ในเกมรุก สปีดความเร็วของเขาจะทำให้ฟุตบอลของเราอันตราย และเมื่อมีเขาอยู่ เราจะสร้างเกมบุกได้จากทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะซ้าย ขวา หรือเจาะทะลุตรงกลาง" ท็อปโมลเลอร์ ว่าแบบนั้น
หลังเปิดซีซั่น 2024-25 สิ่งที่ ท็อปโมเลเลอร์ บอกเป็นจริงทุกอย่าง เกมสวนกลับของ แฟรงค์เฟิร์ต คืออาวุธเด็ดที่พวกเขาใช้เล่นงานทุกทีม ไม่เว้นแม้กระทั่ง บาเยิร์น มิวนิค ทีมที่ดีที่สุดในประเทศ และในเกมนั้น มาร์มูช ยิงไป 2 ประตูและทำไปอีก 1 แอสซิสต์ช่วยให้ทีมเก็บผลเสมอ 3-3 ได้ และจนถึงตอนนี้ ผ่านเกมบุนเดสลีกาไป 10 นัด เขายิงไปแล้วถึง 11 ประตู
เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยในแง่ของความพยายามและความขยัน เพียงแต่การอยู่กับโค้ชที่ใช้งานเขาได้ตรงกับสิ่งที่เขามี ความพิเศษของเขาจึงฉายออกมาจนทำให้คนรอบนอกเห็นความเก่งกาจของเขาชัดขึ้น
เรื่องนี้ ท็อปโมลเลอร์ อธิบายเพิ่มว่า ถ้าคุณเห็นฟอร์มของเขาจากแค่ไฮไลต์ คุณจะไม่รู้จักเขาทั้งหมด เพราะสิ่งที่ยอดเยี่ยมของ มาร์มูช คือเบื้องหลังของเขาที่มาจากการทำงานหนัก และรับคำสั่งพร้อมนำไปปฏิบัติตาม พร้อมทั้งยังมีการเปรยว่า นักเตะแบบ มาร์มูช สามารถอยู่กับโค้ชคนไหนก็ได้ทั้งนั้น เพราะถือเป็นคนที่หัวไว ทำตามสั่งได้อย่างเป๊ะ ๆ เสมอ
"มาร์มูช ยิ่งเล่นดีก็ยิ่งแสดงถึงความยอดเยี่ยมที่เขาซ่อนอยู่มาตลอด ... สำหรับผม สิ่งที่ผมชอบเขามากที่สุดไม่ใช่การยิงประตูเป็นกอบเป็นกำ แต่นี่คือนักเตะที่ทำงานหนักมากในช่วงเวลานอกเหนือจากการแข่งขัน และเขามีสมาธิกับเกมและการซ้อมตลอด ความใส่ใจในทุกคำสั่ง ถือเป็นสิ่งที่ผมรักเขามากที่สุด"
นอกจากนี้ ท็อปโมลเลอร์ ยังกล่าวอีกว่า การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วและจมูกไวมากภายในกรอบเขตโทษ มักจะรบกวนฝ่ายตรงข้ามจนสร้างโอกาสให้ทีมได้เสมอ และเสริมว่าผู้เล่นคนนี้มักจะมุ่งมั่นที่จะทำประตูอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทีมของเขาอาจจะครองบอลไม่มาก แต่สร้างจังหวะการจบสกอร์ในแต่ละเกมได้มากมาย ... ตอนนี้เป็นรองเพียงแค่ บาเยิร์น และ เลเวอร์คูเซ่น เท่านั้น
จากทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ มาร์มูช ถูกสื่อเรียกว่า "เจ้าชายแห่งอียิปต์" ซึ่งหมายความว่า หากวันใดที่ "ราชาแห่งอียิปต์" อย่าง โม ซาลาห์ เริ่มพ่ายแพ้แก่สังขาร มาร์มูช ก็จะพร้อมรับไม้ต่อความยิ่งใหญ่นี้เอาไว้ ... เพียงแต่ว่าดาวเตะวัย 24 ปี ต้องพิสูจน์ตัวเองเรื่องความสม่ำเสมออีกมาก เพราะสิ่งที่ราชาทำไว้ คือมาตรฐานที่สูงมาก ต่อให้ไม่ใช่นักเตะอียิปต์ ก็ใช่ว่าจะทำแบบที่ ซาลาห์ ทำได้ง่าย ๆ
โดยตัวของ มาร์มูช เล่าว่า เขาเองก็เขิน ๆ กับฉายานี้ แต่สิ่งที่เขาทำพยายามมาตลอดคือ การติดต่อพูดคุยกับ ซาลาห์ เพื่อขอคำแนะนำต่าง ๆ ซึ่ง ซาลาห์ ก็ยินดีมากที่จะมอบทุกคำแนะนำที่รุ่นน้องร่วมทีมชาติอยากจะได้
"ผมติดต่อกับ ซาลาห์ ตลอดเวลา เขาเป็นเหมือนพี่ใหญ่ของนักเตะอียิปต์ที่ค้าแข้งในยุโรป เราสนับสนุนกันและกันเพราะพวกเราต่างรู้ว่านักเตะอียิปต์ที่มาเล่นในยุโรปนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย"
"สำหรับผม ซาลาห์ เป็นหนึ่งใน 3 นักเตะที่เก่งที่สุดในโลก ผมอยากเป็นแบบเขา และทุกสิ่งที่เขาทำคือแรงบันดาลใจของผมเสมอ จนกระทั่งวันนี้" มาร์มูช กล่าว
ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าของฉายา "เจ้าชายอียิปต์" จะเริ่มโดดเด่นเตะตาหลายทีมในยุโรปมากขึ้นแล้ว หนึ่งในนั้นมี ลิเวอร์พูล ด้วย ซึ่งจะว่าไปหากดูจากการยิงประตูและแอสซิสต์แต่ละลูกของเขา รวมถึงการเล่นและสไตล์แบบที่ ท็อปโมลเลอร์ บอก ... มันทำให้ชวนคิดว่า มาร์มูช อาจจะไม่ได้เป็นตัวแทนของ ซาลาห์ แค่ในนามทีมชาติเท่านั้น แต่อาจจะเหมาะถึงการเป็นตัวแทน ซาลาห์ ใน ลิเวอร์พูล ด้วย เพราะตอนนี้ ซาลาห์ ก็อายุ 32 ปีแล้ว
การเล่นในสไตล์ที่ตอบโจทย์บอลโต้กลับเร็ว และการเคลื่อนที่แบบจมูกไวในกรอบเขตโทษของ มาร์มูช กำลังแสดงความเข้มความโหดขึ้นมาเรื่อย ๆ หากปีนี้เขาจบฤดูกาลด้วยสถิติส่วนตัวสวย ๆ หรือพาต้นสังกัดคว้าแชมป์สักรายการ ไม่แน่ เจ้าชาย อาจจะตามรอย ราชา ในไม่ช้าก็ได้ใครจะรู้
แหล่งอ้างอิง
https://www.kingfut.com/2024/11/12/marmoush-training-free-kicks/
https://www.dw.com/en/omar-marmoush-the-bundesliga-and-egypts-next-big-star/a-70733853
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/who-is-omar-marmoush-eintracht-frankfurt-egypt-canada-forward-salah-davies-17290
https://www.dw.com/en/omar-marmoush-egyptian-slays-bayern-ahead-of-salah-reunion/a-67679623
https://english.ahram.org.eg/NewsParis/511647.aspx