97 ประตู 28 แอสซิสต์ จาก 102 นัดที่เล่นให้กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ดูเหมือนจะทำให้ วิคตอร์ โยเคอเรส กลายเป็นกองหน้าเนื้อหอมอันดับ 1 ของยุโรปในเวลานี้
และเราจะไล่เรียงถึงที่มาว่าจากกองหน้าที่อยู่กับ ไบรท์ตัน มา 4 ปี ไม่เคยได้เล่นเกมลีกสักนัดเดียว ก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และระบบกรเล่นของ รูเบน อโมริม ช่วยเขาแค่ไหน ?
ติดตามที่ Main Stand
ไม่ใช่วันเดอร์คิดก็เหนื่อยหน่อย
มีคำคมสอนใจหนึ่งประโยคที่บอกว่าความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ดี นั่นเป็นเหตุผลที่คุณควรผิดพลาดให้มากขึ้นอีก และเรียนรู้จากมันให้มากขึ้นหลายเท่า ... เรืองราวของ วิคตอร์ โยเคอเรส จอมถล่มประตูของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก็เป็นเช่นนั้น
วิคตอร์ โยเคอเรส เติบโตมาจากลีกสวีเดน และเล่นให้ทีมเล็ก ๆ อย่าง บรอมมาพอจคาน่า สโมสรระดับขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างลีกสูงสุดและลีกรอง ซึ่งย้อนกลับไปในช่วงปี 2017 ต้องชมทีมงานแมวมองของ ไบรท์ตัน ที่ตาถึงเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ไปหาดาวยิงในลีกเล็ก ๆ และมาจากทีมเล็ก ๆ อย่างเขาเจอ
เหตุผลที่บอกว่าตาแหลม นั่นก็เพราะว่า โยเคอเรส ยิงไป 20 ประตูจาก 60 นัดให้ต้นสังกัด นี่ไม่ใช่จำนวนประตูที่มากนัก ดังนั้นการที่คุณจะซื้อนักเตะที่ยิงได้เฉลี่ยปีละ 8-9 ลูกในลีกสวีเดนได้ คุณเองก็ต้องสำรวจพวกเขาอย่างรอบด้าน ซึ่งโชคดีที่ ไบรท์ตัน เป็นสโมสรที่ให้ความสำคัญสุด ๆ ในเรื่องนี้ นักเตะดังหลายคนของพวกเขาก็ได้มาจากทีมเล็ก ๆ แบบนี้นี่แหละไม่ว่าจะเป็น มอยเซส ไกเซโด (อินดิเพนเดนเต้ เดล วัลเล่), อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ (อาร์เจนติโนส) และอีกมากมายหลายคน ... นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาเจอเพชรเม็ดงามอย่าง โยเคอเรส แต่น่าเสียดาย ที่พวกเขาปล่อยให้เพชรเม็ดนั้นหลุดมือไป
โยเคอเรส ถูกซื้อตัวมาด้วยราคาแค่ 5 แสนปอนด์เท่านั้น แน่นอนเขาไม่เคยถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งแห่งชาติเหมือนกับเด็กในรุ่นเดียวกันอย่าง เดยัน คูลูเซฟสกี้ บวกกับเป็นจังหวะไทมิ่งที่ไม่ดีนักในการย้ายทีมครั้งนั้น เพราะ ไบรท์ตัน ยังไม่ได้เริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองที่เอาตัวรอดสบาย ๆ ในพรีเมียร์ลีกเหมือนทุกวันนี้
ย้อนกลับไปในปี 2017 คริส ฮิวจ์ตัน ยังเป็นกุนซือของ ไบรท์ตัน และพวกเขายังต้องหนีตกชั้นในแทบทุกปีหลังเลื่อนชั้นขึ้นมา ดังนั้นดาวรุ่งอายุ 19 ปี จากสวีเดน แถมยังเป็นกองหน้าที่ตัวผอมบางอย่าง โยเคอเรส จึงไม่สามารถสอดแทรกทีมชุดนั้นได้
ฮิวจ์ตัน ที่ถูกถามเรื่องนี้ภายหลังบอกว่า ณ ช่วงเวลานั้นการลองสิ่งใหม่ ๆ เป็นเรื่องทำได้ยาก กองหน้าของเขาอย่าง แอนดี้ เมอร์เรย์ ทำหน้าที่ได้ดี แถมตัวสำรองคนอื่น ๆ ทั้ง ฟลอริน อันโดเน่ และ อารีเลซ่า ยาฮันบัค ต่างก็เป็นนักเตะที่พิสูจน์ตัวเองในระดับสูง และมีดีกรีทีมชาติชุดใหญ่ติดตัวมาทั้งสิ้น ที่สำคัญสุด ๆ คือทุกเเต้มมีค่าสำหรับ ไบรท์ตัน พวกเขาไม่สามารถเสี่ยงกับ โยเคอเรส เพียงแค่เพราะอยากปั้นเด็กได้
แม้กระทั่งเข้าถึงยุค เเกรห์ม พอตเตอร์ ในปี 2019 ก็ไม่แตกต่างกันนัก พอตเตอร์ ต้องเลือกองหน้าสักคนจากทีมสำรองเข้ามาเป็นตัวสแตนด์บาย ซึ่งคนที่เขาเลือกก็คือ อารอน คอนโนลี่ ดาวยิงไอริชที่เป็นเด็กปั้นสโมสร ซึ่งตอนนั้น คอนโนลี่ ก็ยิงประตูได้มากมายตอบแทนความไว้วางใจพ็อตเตอร์ได้ทุกครั้งไป ... โยเคอเรส จึงตกเป็นตัวเลือกลำดับสุดท้าย และไม่เคยมีโอกาสได้เล่นในระดับพรีเมียร์ลีกเลยแม้แต่เกมเดียวในสมัยเล่นให้ ไบรท์ตัน
โลกความจริงมันยากเสมอ และในฟุตบอลอังกฤษที่จังหวะรวดเร็ว เข้าปะทะรุนแรง ถ้าคุณไม่ทำตัวให้พร้อม ต่อให้โอกาสมาถึง คุณก็ยากที่จะคว้ามันได้ ... อันที่จริง พอตเตอร์ พยายามส่ง โยเคอเรส ให้กับทีมอย่าง ซังต์ เพาลี ยืมตัวไปใช้งาน หรือแม้กระทั่งให้ลองกับสนามรองด้วยการปล่อยตัวให้ สวอนซี ยืมตัวในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ... ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปด้วยดี โยเคอเรส กระเด้งกระดอนเมื่อถึงเวลาต้องชนกับกองหลังยักษ์ใหญ่ และที่สำคัญคือแม้แต่แย่งตำแหน่ง 11 ตัวจริงในสวอนซี เขาก็ยังทำไม่ได้เลยด้วย
โยเคอเรส เฝ้ามองดาวรุ่งคนอื่น ๆ นำหน้าเขาไปคนแล้วคนเล่า และในไม่ช้าเขาก็รู้ว่าการเฝ้ามองคือเรื่องที่ผิดพลาด เพราะสิ่งที่ถูกต้องคือเขาต้องมองและเรียนรู้ด้วยว่าเพราะอะไรเขาจึงไม่ได้เป็นคนที่ถูกเลือก ซึ่งนั่นจะเป็นสิ่งที่ส่งผลต่ออนาคตของเขาโดยตรงไม่ว่าจะไปที่ไหน
เกิดจริง ๆ เพราะทัศนคติ
หลังจากเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ทำให้ตัวเองไม่ดีพอในช่วงเล่นกับ ไบรท์ตัน โยเคอเรส ถูกส่งไปที่ โคเวนทรี แบบยืมตัว ตอนนั้นเขาอายุ 22 ปี และเขารู้แล้วว่าตัวเองจะต้องทำอะไรบ้าง
อาดี วิเวียซ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมของโคเวนทรีในเวลานั้นบอกว่า โยเคอเรส ถือว่าเข้ามาเป็นแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญของทีมช้างกระทืบโรง เนื่องจาก ณ เวลานั้นทีมกำลังต้องการกองหน้าอย่างมาก เพราะตัวที่มีอยู่ประสบปัญหายิงไม่ได้ และหลายคนเกิดการบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตาม วิเวียซ แนะนำให้ มาร์ค โรบินส์ กุนซือใหญ่ลองสลับเอาตัวรุกตำแหน่งอื่มาเล่นกองหน้าไปก่อน แต่ โรบินส์ มองว่านักเตะอย่าง โยเคอเรส ขาดโอกาสมาตลอด เขากำลังกระหายสิ่งนั้น และนั่นคือสิ่งที่เขาจะมอบโอกาสสำคัญให้เพื่อดูว่า โยเคอเรส จะตอบสนองแบบไหน
"ผมบอกกับ วิเวียซ ว่าเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับ วิคตอร์ ทั้งหมด ผมได้ยินเรื่องของเขามาตลอดว่าเขาอาจจะต้องรอเสริมประสบการณ์อะไรไปก่อน แต่ผมบอกว่าคาแร็คเตอร์ของเขามันดีพอที่จะเล่นได้แล้ว แววตาของเขาบอกว่ามันมีแรงผลักดัน และอาการของเขากำลังบอกว่าเขากำลังต้องการโอกาสมาก ๆ และเขาจะตอบแทนมัน ... ผมชอบพวกที่มีนักสู้ในดีเอ็นแบบนี้" มาร์ค โรบินส์ กล่าว
"ผมเห็นเขาในสนามซ้อม เขาพยามเคลื่อนที่หลายครั้ง และเล่นจังหวะต่าง ๆ ด้วยความเร็วที่มากขึ้นกว่ากองหน้าคนอื่น ๆ และเมื่อเขาได้โอกาส เขาไม่ทำให้ผมผิดหวังเลย"
"หลังจากนั้นเขาก็ตั้งหลักได้ และเริ่มทำให้ทุกคนประหลาดใจ หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์การกีฬา หัวหน้าทีมแพทย์ของเราวิเคราะห์ร่างกายเขาอย่างละเอียดมาก และบอกว่านี่คือนักเตะที่ทั้งเร็วและแข็งแรงในเวลาเดียวกัน เขาอาจจะไม่ใช่คนตัวใหญ่มาก แต่เขาไม่ล้มลงง่าย ๆ ต่อให้คุณตั้งใจจะพุ่งชนเขาก็ตาม"
"ทุกอย่างดีขึ้นเมื่อเขาได้โอกาส เขากลายเป็นาส่วนหนึ่งของทีม 3 เดือนแรกเขาแค่มาซ้อมแล้วก็กลับบ้าน แต่หลังจากที่เขาได้เล่น เขากลายเป็นคนละคนเลย คนคอยพูดคุยกับพนักงานทุกคนในทีม ให้ความเคารพทุกคน และเราจึงรู้ว่านี่คือนักเตะที่ไม่ได้พร้อมแค่เกมในสนาม แต่ยังรวมถึงความเป็นมนุษย์ด้วย" โรบินส์ ว่าต่อ
ไม่ใช่แค่ทุกคนที่เคยร่วมงานกับเขาที่งงกับการเปลี่ยนแปลงราวเป็นคนละคนของ โยเคอเรส แม้แต่เจ้าตัวก็แปลกใจกับเรื่องนี้ เขาว่าการพยายามทำตัวเป็นส่วนหนึ่งกับทีม มีความสุขกับงาน และมีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ ทุกคน มันส่งผลต่อฟอร์มในสนามของเขาด้วย ลักษณะการวิ่ง การอ่านจังหวะบอลของเพื่อนร่วมทีม มันทำให้เขากลายเป็นกองหน้าในสไตล์ตัวจบสกอร์ที่เฉียบคม
เขาอาจจะมีส่วนร่วมกับเกมไม่มากนัก เรื่องการเลี้ยงบอลต่อบอลอาจจะไม่ใช่จุดเด่นของเขา แต่ช่วงที่เล่นกับโคเวนทรี่ทักษะการมองตาก็รู้ใจ แล้ววิ่งเข้าไปจุดนัดพบทำให้ โยเคอเรส เริ่มสร้างสถิติการยิงประตูแบบที่แฟนโคเวนทรีจดจำเขาในฐานะฮีโร่ของสโมสรจนวันนี้ แม้จะย้ายออกไป 2 ปีแล้วก็ตาม
การเล่นของเขายกระดับการเล่นของทีมขึ้นไปด้วยโดยที่ทุกคนต้องยอมรับ ในวันที่ โยเคอเรส ย้ายเข้ามา โคเวนทรี ยังเป็นทีมในโซนหนีตกชั้น ปีแรกเขาพาทีมทำภารกิจอยู่รอดสำเร็จ และในปีที่ 2 เขายิง 21 ประตูในลีกพาทีมเข้าโซนเพลย์ออฟ 40 ประตูใน 2 ซีซั่น ทำให้ชื่อของเขาเริ่มจะดังขึ้นมาพร้อมกับท่าดีใจแบบใส่หน้ากากที่กลายเป็นท่าประจาตัวของเขา
โยเคอเรส อธิบายว่าท่านี้ได้มาจากตัวละคร "เบน" ในภาพยนตร์ The Dark Knight Rises ปิดไตรภาค Batman ยุค คริสโตเ้ฟอร์ โนแลน ซึ่งตัวละครนี้ได้บอกว่า "ไม่เคยมีใครสนใจฉัน จนกระทั่งฉันเริ่มใส่หน้ากาก" ... เขาไม่อธิบายอะไรต่อมากนัก แต่หน้ากากที่เขาหมายถึงนั้นอาจจะเป็น "หน้ากากของความเป็นมืออาชีพ" เพราะการเล่นที่โคเวนทรี่ทำให้เขารู้ว่าการจะเป็นนักเตะที่ดีได้ ไม่ใช่การที๋โฟกัสกับตัวเองเท่านั้น เมื่อคุณใส่ใจแนวคิดของเพื่อนร่วมงาน มีปฎิสัมพันธ์ในแบบที่สร้างประโยชน์ มันจะส่งผลกับวิธีการเล่นของเขาในทางที่ดีขึ้น ... จากกองหน้าที่เล่น 4 ปียิงไป 0 ประตูที่ ไบรท์ตัน หน้ากากแห่งมืออาชีพเปลี่ยนโยเคอเรสกลายเป็นอีกคน และท่าดีใจนั้น ก็ทำให้ทุกคนสนใจเขาเหมือนกับประโยคของ เบน ไม่มีผิด
สู่อีกระดับกับโค้ชอโมริม
รูเบน อโมริม ได้รับรายงานถึงกองหน้าในระดับ แชมเปี้ยนชิพ ที่มีศักยภาพในการยิงประตูสูง และมีความแข็งแกร่งทางกายภาพที่ดี ทั้งวิ่งเร็วและตัวใหญ่แข็งแรง ในที่สุดทีมงารสรรหาของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก็เข้ามาคว้าตัว โยเคอเรส จาก โคเวนทรี ด้วยราคา 24 ล้านยูโร แน่นอนว่า โคเวนทรี ไม่มีแรงพอที่จะขัดขืนเงินจำนวนขนาดนั้นได้ แม้ไม่อยากขายก็ต้องขาย และนั่นถือเป็นเรื่องดีสำหรับนักเตะ
ตัดมาที่ฝั่งของ สปอร์ติ้ง ทีมงานซื้อขายของพวกเขาอย่าง กอนซาโล ทริสเตา ซานโต๊ส ยอมรับว่าในตอนแรกไม่คิดว่า โยเคอเรส จะเล่นได้และเป็นนักเตะสำเร็จรูปขนาดนี้ เพราะทุกคนยังตั้งแง่เกี่ยวกับระดับการเล่นในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ที่ต่ำกว่าในโปรตุเกส แต่ที่ซื้อมาก็เพราะว่าสไตล์การเล่นในแบบที่คล้าย ๆ กับ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ คือเป็นตัวเป้าแบบธรรมชาติ ถือเป็นสิ่งที่ทีมของ อโมริม ยังขาด ... นักเตะเทคนิคดี ๆ ของพวกเขามีเยอะแล้ว พวกเขาขาดคนส่งบอลเข้าประตูเท่านั้น
"โยเคอเรส มีคุณสมบัติที่ดีมาก ๆ ในการจะก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าที่ดี เราสงสัยในตัวเขาช่วงแรก แต่เขาเข้ากับแผนการเล่นของ อโมริม จริง ๆ เขาเป็นคนที่เคลื่อนที่เยอะมาก นอกจากจะปักหลักตรงกลางแล้ว เรื่องทัศนคติการเล่น เป็นสิ่งที่เรามองหาคนอย่างเขามาตั้งแต่แรก" ซานโต้ส ว่าไว้
โดยแท็คติกของ อโมริม ในระบบ 3-4-3 นั้นก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดึงศักยภาพของ โยเคอเรส ออมาได้ดี ตรงกับจุดแข็งของนักเตะอย่างมาก บทวิเคราะห์ของ Sky Sports ระบุว่า เกมรุกของ สปอร์ติง ลิสบอน ในยุค อโมริม นั้นจะอาศัยการขึ้นโดยอาศัยวิงแบ็ก ที่จะยืนแบบกว้างและดันไลน์ขึ้นสูง โดยวิงแบ็กทั้ง 2 ฝั่งจะทำงานร่วมกับกับแนวรุก 3 คนด้านหน้า
ประกอบด้วยกองหน้าตัวเป้า 1 คน และนักเตะเกมรุกอีก 2 คน ที่เหมือนเป็นกองหน้าตัวต่ำแต่ยืนด้านกว้างของสนาม เล่นร่วมกับวิงแบ็กที่เติมขึ้นมา ทั้ง 4 คนนี้ (แบ็ก 2 ฝั่ง และ 2 ตัวรุกที่ยืนหลังกองหน้า) มักจะมีการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันเข้าไปเล่นในพื้นที่อันตราย เพื่อสนับสนุนการจบสกอร์ของกองหน้าเบอร์ 9 อย่าง วิคตอร์ โยเกเรส แข้งเนื้อหอมที่ยิงไป 67 ลูกจาก 67 เกมที่เล่นให้กับ สปอร์ติ้ง
กองหน้าอย่าง โยเคอเรส สำคัญมากสำหรับระบบการเล่นและความสำเร็จที่อโมริมสร้างไว้ เนื่องจากเป็นตัวที่ทำให้ทีมสามารถเลือกวิธีการโจมตีได้มากกว่าการต่อบอลสั้นที่เป็นวิธีการหลัก ความสูงใหญ่ แข็งแรง และมีความเร็ว ทำให้ สปอร์ติ้ง ใช้ประโยชน์จากเขาด้วยการเล่นบอลไดเร็กต์บ่อย ๆ จน โยเกเรส ยิงกระจายอย่างที่ได้กล่าวไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมเจอคู่แข่งที่สูสีกัน หรือเก่งกว่าจนขึ้นมากดดัน สปอร์ติ้ง ในแดนตัวเอง บอลไดเร็กต์จะทำงานมากเป็นพิเศษ และเป็นอาวุธที่พวกเขาใช้ในการเล่นสวนกลับ ทำให้ โยเกสเรส มีพื้นที่ในการเล่นเยอะและมีโอกาสจบสกอร์มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมที่ โยเคอเรส ยิงแฮตทริกใส่ แมนฯ ซิตี้ และพา สปอร์ติ้ง ลิสบอน เอาชนะไปถึง 4-1 ในรายการใหญ่อย่างแชมเปี้ยนส์ลีก
ขณะที่ WyScout เครือข่ายแมวมองระดับโลกยังเขียนบทความถึงการใช้งาน โยเคอเรส ของ อโมริม "Tick many boxes" หรือตอบโจทย์แทบทุกข้อ ไม่ว่าจะตอนที่ทีมได้บอลกดดันคู่แข่ง หรือตอนที่ทีมจะเล่นเกมรับและพยายามโต้กลับเร็ว
"รูเบน อโมริม เลือกใช้ โยเคอเรส เพราะเป็นกองหน้าที่ยิงบอลได้ด้วยเท้าทั้งสองข้าง เป็นตัวกลางที่สมบูรณ์แบบ วิ่งเร็วแข็งแรง และมีทักษะการยิงประตูที่เฉียบขาดรวมถึงเลือดเย็นในเวลาเดียวกัน"
"เขาสามารถใช้ความเร็วของเขาเร่งฝีเท้าเพื่อออกตัวแซงกองหลังฝั่งตรงข้าจากบอลไดเร็กต์ และเขาจมูกไวมากที่จะรู้ถึงการยืนตำแหน่งที่ผิดพลาดของฟูลแบ็กและวิงแบ็ก เขาชอบที่จะเอามาเล่น และสร้างสถานการณ์ดวล 1-1 กับเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ซึ่งถ้ามีโอกาส เขาจะเปลี่ยนทิศทางการวิ่งเพื่อลากบอลผ่านไป ซึ่งจุดนี้เกิดจากกล้ามเนื้อของเขาที่แข็งแรงมาก"
ขณะที่สถิติยังบอกว่านักเตะในตำแหน่งวิงแบ็ก และตัวรุกหลังกองหน้าของ สปอร์ติ้ง ถูกสั่งให้เล่นร่วมกันตลอดทั้งเกม และพยายามยัดบอลเข้ากรอบเขตโทษให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเมื่อบอลเข้าเขตโทษ พวกเขาจะดันกองกลาง ขยับเข้ามาช่วยยืนในกรอบเขตโทษเพิ่ม จนคู่แข่งเปิดพื้นที่จน โยเคอเรส มีโอกาสและเวลาได้เล่นกับฟุตบอลมากขึ้น ดังนั้นจังหวะการยิงของเขาแต่ละลูกกับ สปอร์ติ้ง จึงเป็นในลักษณะทีดูโล่ง ๆ ยิงง่าย ๆ ซึ่งนั่นต้องขอบคุณแท็คติกของโค้ชและเพื่อนร่วมทีมเล่นกันได้ตามสั่งทุกประการณ์
ตอนนี้ชื่อของ โยเคอเรส ดังเกินกว่าจะอยู่กับ สปอร์ติง ลิสบอน แล้ว สถิติการยิงประตูที่แทบจะเท่าสถิติการลงเล่น นอกจากนี้ยังมีแอสซิสต์อีก ... ที่สุดแล้ว เจ้าตัวก็ได้ย้ายสู่ลีกระดับท็อปของยุโรปสมใจในปี 2025 ด้วยการไปอยู่กับ อาร์เซน่อล ค่าตัว 63.5 ล้านยูโร บวกแอดออน 10 ล้านยูโร
เตรียมรอดูกันว่า ก้าวต่อไปในเวทีที่ใหญ่ขึ้นของ โยเคอเรส เขาจะทำได้ดีแค่ไหน ?
แหล่งอ้างอิง :
https://www.goal.com/en/lists/incoming-man-utd-boss-ruben-amorim-reveals-viktor-gyokeres-transfer-plan-sporting-cp-hat-trick-hero-man-city/bltf1c3d272e4e339b0#cs24065f3a33275ced
https://www.coventrytelegraph.net/sport/football/football-news/viktor-gyokeres-what-knows-best-30307732
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cgj7lq6g38lo
https://learning.coachesvoice.com/cv/viktor-gyokeres-sporting-sweden/
https://www.wearebrighton.com/newsopinion/the-viktor-gyokeres-elephant-in-the-brighton-room/