Feature

ถอดความสำเร็จหลัง 3 ที่สปอร์ติ้งของ รูเบน อโมริม และจะใช้ได้ไหมที่ยูไนเต็ด ? | Main Stand

ชัดเจนไม่มีพลิกโผ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดตัวโค้ชใหม่เรียบร้อย และตำแหน่งนี้ตกเป็นของ รูเบน อโมริม ตามรายงานของสื่อใหญ่ทุกเจ้า 

 

จากข่าวทั้งวงนอกวงใน ทำให้หลายคนรู้ว่า อโมริม เป็นโค้ชที่ใช้ระบบเซ็นเตอร์แบ็ก 3 คนมาตลอด และประสบความสำเร็จ แต่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด นี่คือทีมที่ไม่เคยไปได้ดีเลยสักครั้งกับระบบกองหลัง 3 คน 

และถ้าเกิดว่า อโมริม ยืนยันจะใช้ระบบการเล่นแบบเดิม เขาจะต้องปรับเปลี่ยนหรือดัดแปลงอะไรกับนักเตะในทีมปีศาจแดงที่มีอยู่บ้าง ? ติดตามที่ Main Stand

 

ผู้เชื่อมั่นในระบบหลัง 3 

สาเหตุที่เราต้องมาคุยเรื่องนี้กัน นั่นก็เพราะว่ามันมีโอกาสสูงมากที่ อโมริม จะนำระบบการเล่นแบบที่เขาเคยใช้และคว้าแชมป์มากมายที่โปรตุเกสมาใช้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ... อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราคิดแบบนั้น ?


 
เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานนัก ย้อนไปไม่กี่เดือนก่อนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ประกาศวางมือหลังจากจบซีซั่น 2023-24 ลิเวอร์พูล ก็เริ่มทาบทามโค้ชใหม่ ซึ่ง อโมริม ถือเป็นโค้ชวัยหนุ่มที่ได้รับการจับตามองเป็นเบอร์ต้น ๆ และก็มีข่าวว่า ลิเวอร์พูล ใกล้เคียงมากกับการจะเซ็นสัญญาเขา

เพียงแต่ว่าดีลนี้เกิดการสะดุดขึ้นมา และเหตุผลของการล้มเลิกความตั้งใจของบอร์ดบริหารหงส์แดงจนดีลล่ม ไม่ได้มาจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรือผลประโยชน์ แต่มีการเปิดเผยว่าเพรา อโมริม ยืนยันจะไม่เปลี่ยนปรัชญาการเล่นของเขา

จากการรายงานของ เมลิสซ่า เร้ดดี้ ผู้สื่อข่าวสาวสวยของ Sky Sports อธิบายว่า ลิเวอร์พูล อยากจะให้ อโมริม ใช้วิธีการเล่นในแบบที่ต่อยอดจากโครงสร้างเดิมซึ่ง คล็อปป์ สร้างไว้ในระบบ 4-3-3 โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงและรื้อใหม่ทิ้งทั้งหมด ทว่า อโมริม ก็ยืนยันชัดเจนว่า ระบบการเล่นแบบกองหลัง 3 คน คือสิ่งที่เขาจะนำมาใช้เป็นหลัก นั่นทำให้การเจรจาไปกันคนละทิศทาง เนื่องจากต่างฝ่ายก็มีแนวคิดที่ชัดเจน ฝั่งลิเวอร์พูลก็เน้นวางระบบให้ทีมทุกชุดตั้งแต่เยาวชนเล่นด้วยระบบเดียวกัน นั่นทำให้ผู้อำนวยการฟุตบอลไม่ต้องการให้กุนซือทีมชุดใหญ่ไปปรับเปลี่ยนแผนที่จะกระทบโครงสร้างฟุตบอลของสโมสร

หลังจากนั้นไม่นาน อโมริม ที่เคยเป็นเต็ง 1 ก็สอบตก และ ลิเวอร์พูล ก็ไปเลือก อาร์เน่อ ชล็อต เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แทน เพราะ ชล็อต จะใช้ระบบ 4-2-3-1 ที่สอดคล้องกับทิศทางที่คล็อปป์เคยได้ปูเอาไว้ก่อนประกาศลาออก 

เชื่อได้เลยว่าจากสิ่งที่เกิดขึ้นในไม่กี่เดือนก่อน แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคของ อโมริม อาจจะต้องกลับมาในยุคแผนการเล่นหลัง 3 ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย และเป็นเหมือนของแสลงของพวกเขามาโดยตลอด โดยบทเรียนสำคัญเกิดขึ้นในยุคของ หลุยส์ ฟาน กัล ในปี 2014-2016 ที่กลายเป็นการรื้อและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จนส่งผลมาถึงยุคหลัง ๆ อย่างเห็นได้ชัด 

แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนั้นก็คล้าย ๆ กับ ลิเวอร์พูล ระบบการเล่นแบบ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 ถือเป็นวิธีที่พวกเขาใช้มาเป็น 10 ปี และเมื่อเป็นเช่นนั้น นักเตะที่ซื้อตัวเข้ามาในแต่ละซัมเมอร์จึงเป็นนักเตะที่สอดคล้องกับระบบการเล่น และเข้าใจวิธีการได้โดยง่าย 

แต่ที่บอกว่าการมาของ ฟาน กัล นั้นคือจุดเปลี่ยน ก็เพราะว่ามันไม่ใช่แค่ระบบกองหลัง 3 คนที่เขานำเข้ามาด้วยเท่านั้น แต่มันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงนักเตะแทบยกชุดเลยด้วยซ้ำ และส่วนใหญ่เป็นแข้งซีเนียร์ที่เข้าใจวัฒนธรรมสโมสรเป็นอย่างดีทั้งสิ้น อาทิ ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช, ปาทริซ เอฟร่า ในปีแรก และหลังจากนั้นก็เป็น หลุยส์ นานี่, ชิชาริโต้, จอนนี่ อีแวนส์, 2 พี่น้อง ดา ซิลวา และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่  

การเปลี่ยนแปลงแบบรื้อระบบอาจจะไม่ได้เป็นเหตุผลทั้งหมดที่ ปีศาจแดง ในยุคนั้นเริ่มตกต่ำ แต่ปัญหาก็คือเมื่อพอถึงวันที่ระบบหลัง 3 แบบที่ ฟาน กัล นำเข้ามามันไม่เวิร์ก และพวกเขาเปลี่ยนกลับมาใช้โค้ชอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เน้นเกมรุกริมเส้น และเล่นฟุตบอลไดเร็กสวนกลับ มูรินโญ่ ก็แทบไม่เหลือนักเตะที่ตรงกับแท็คติกของเขาเลย จำเป็นต้องถูไถไปกับนักเตะที่เข้ามาในยุค ฟาน กัล หลายคน ซึ่งสุดท้ายก็จบไม่สวยไม่แตกต่างกันนัก 

ดังนั้นสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หลัง 3 ในเวอร์ชั่นปี 2024 ที่นำโดย รูเบน อโมริม จะนำมาซึ่งความโกลาหลแบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อนหรือไม่ เพราะ ณ เวลานี้ ปีศาจแดง ไม่เหลือเวลาให้พลาดและต้องมารื้อใหม่ซ้ำ ๆ อีกต่อไปแล้ว ด้วยกฎกาารเงินต่าง ๆ ที่เข้มงวดขึ้น ... และเราจะลองไปดูกันว่าระบบที่ อโมริม ใช้ จะต้องรื้อไปทั้งหมดเหมือนกับตอนที่ ฟาน กัล เข้ามาหรือไม่ ? เขาเล่นด้วยวิธีการไหนกันแน่ 

 

อธิบายบอลของอโมริมให้เห็นภาพ 

แน่นอนว่าโดยส่วนต้วของผู้เขียน ยอมรับว่าไม่เคยติดตามฟุตบอลโปรตุเกสเลย ดังนั้นผู้เขียนอาจจะต้องยกบทวิเคราะห์จากสำนักข่าวต่างประเทศที่ถนัดทางนี้มากกว่า เอามายกตัวอย่างให้ผู้อ่านได้เห็นภาพชัดที่สุด 

นิค ไรท์ จาก Sky Sports บอกว่าตลอดที่คุมทีม สปอร์ติ้ง มาทั้งหมด 188 เกม อโมริม มีแผนที่ใช้ทั้งหมด 3 แผน โดยแผนที่ใช้บ่อยที่สุดคือ "3-4-2-1" โดยใช้ไป 60% จากจำนวนเกมทั้งหมดที่คุมทีม ขณะที่อีก 2 แผนเป็นรองลงมาได้แค่ 3-4-3 และ 3-5-2 ตามลำดับ โดยไม่มีสักครั้งที่เขาเล่นระบบกองหลัง 4 คนเลย

ขณะที่ เควิน แฮตชาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอลยุโรปจาก talkSPORT ก็ระบุถึงสิ่งที่สำคัญกว่าตัวเลข 3-4-3 หรือ 3-4-2-1 ที่กล่าวมาทั้งหมด นั่นก็คือวิธีการเล่นที่ อโมริม ใส่ลงไปให้กับลูกทีมของเขา มักจะเป็นการเล่นเกมรุกที่เน้นการครองบอล เล่นเกมบุกตามจังหวะ ไม่หักโหมเดินหน้าบี้แหลกแบบที่หลายคนเข้าใจ โดยถอดใจความสำคัญทั้งหมดได้ว่า

อโมริม เป็นโค้ชที่ชอบเกมรุก แต่เกมรุกของเขาต้องเป็นสิ่งที่ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติด้วย ทีมของเขาจะครองบอลเยอะ และให้ความสมดุลตามจังหวะเกมเป็นหลัก โดยในซีซั่น 2020-21 ที่เขาพา สปอร์ติ้ง คว้าแชมป์ลีกโปรตุเกสได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาคุมทีม พวกเขาเสียประตูในลีกแค่ 20 ลูกเท่านั้น

มีการกล่าวถึงชื่อของ โชซ่ มูรินโญ่ ที่เป็นไอดอลของเขา และอธิบายเพิ่มว่า มันจะเป็นการเล่นแบบผสมผสานกันไป ทำให้ทีมมีความสมดุลที่สุด เขาจะมีกองกลางที่ยืนต่ำ 2 คน เพื่อทำให้การต่อบอล - ครองบอลชัวร์และแม่นยำที่สุด  

ส่วนเกมรุกจะขึ้นโดยอาศัยวิงแบ็ก ที่จะยืนแบบกว้างและดันไลน์ขึ้นสูง โดยวิงแบ็กทั้ง 2 ฝั่งจะทำงานร่วมกับกับแนวรุก 3 คนด้านหน้า ... ประกอบด้วยกองหน้าตัวเป้า 1 คน และนักเตะเกมรุกอีก 2 คน ที่เหมือนเป็นกองหน้าตัวต่ำแต่ยืนด้านกว้างของสนาม เล่นร่วมกับวิงแบ็กที่เติมขึ้นมา ทั้ง 4 คนนี้ (แบ็ก 2 ฝั่ง และ 2 ตัวรุกที่ยืนหลังกองหน้า) มักจะมีการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันเข้าไปเล่นในพื้นที่อันตราย เพื่อสนับสนุนการจบสกอร์ของกองหน้าเบอร์ 9 อย่าง วิคเตอร์ โยเกเรส แข้งเนื้อหอมที่ยิงไป 59 ลูกจาก 65 เกมที่เล่นให้กับ สปอร์ติ้ง

กองหน้าอย่าง โยเกเรส สำคัญมากสำหรับระบบการเล่นและความสำเร็จที่อโมริมสร้างไว้ เนื่องจากเป็นตัวที่ทำให้ทีมสามารถเลือกวิธีการโจมตีได้มากกว่าการต่อบอลสั้นที่เป็นวิธีการหลัก ความสูงใหญ่ แข็งแรง และมีความเร็ว ทำให้ สปอร์ติ้ง ใช้ประโยชน์จากเขาด้วยการเล่นบอลไดเร็กต์บ่อย ๆ จน โยเกเรส ยิงกระจายอย่างที่ได้กล่าวไป 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมเจอคู่แข่งที่สูสีกัน หรือเก่งกว่าจนขึ้นมากดดัน สปอร์ติ้ง ในแดนตัวเอง บอลไดเร็กต์จะทำงานมากเป็นพิเศษ และเป็นอาวุธที่พวกเขาใช้ในการเล่นสวนกลับ 

ในขณะที่เกมส่วนใหญ่ที่พวกเขาจะต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่ด้อยกว่า และเล่นเกมรับแบบ 2 ชั้นหน้าปากประตุตัวเอง อโมริม จะเปลี่ยนมาเป็นวิธีการบุกเต็มตัวภายใต้การเล่น 3-2-5 โดย 3 เซ็นเตอร์แบ็กจะไปยืนบริเวณเส้นกึ่งกลางสนาม ทำหน้าที่เป็นตัวตัดบอล และดันกองกลาง 2 ตัวขึ้นไปเป็นตัวสอดเข้าไปในกรอบเขตโทษ วิงแบ็กทั้ง 2 ฝั่งจะทำหน้าที่เหมือนปีกที่ยืนสูงชิดเส้นทั้ง 2 ฝั่ง ขณะที่ตัวรุกตรงกลางทั้ง 3 คน จะเข้าไปหาจังหวะเล่นในกรอบเขตโทษ 

การกระทำดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อให้ทีมได้กดคู่แข่งจนทำได้แต่เตะทิ้ง จากนั้นพวกเขาก็จะนำบอลจังหวะสองมาบุกใหม่ด้วยวิธีการที่หลากหลายทั้งสั้นสลับยาว จุดนี้มีการอธิบายต่อว่า พวกเขาจะโจมตีอย่างต่อเนื่องจากหลายทิศทาง จนกระทั่งคู่แข่งแสดงความผิดพลาดออกมาและฉวยโอกาสปิดสกอร์ในตอนนั้น 

ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่เรารวบรวมจากสื่ออย่าง Sky Sports, The Athletic และ talkSPORT มามัดรวมเพื่ออธิบายให้เห็นภาพได้ชัดที่สุด ทีนี้ก็มาว่าถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ นั่นคือการว่าด้วย "ปัจจุบัน" 

 

ถ้ายกโมเดลที่ สปอร์ติ้ง มาไว้ที่ ยูไนเต็ด น่าจะเป็นแบบไหน ? 

แน่นอนที่สุด คือตำแหน่งการยืนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเราคงต้องเริ่มไล่ตั้งแต่เซ็นเตอร์แบ็ก

ณ จุดนี้ มัทไธส์ เดอ ลิกต์ เป็นตัวเลือกที่น่าจะมีโอกาสมากที่สุดที่จะได้ลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ 3 คนของ อโมริม เนื่องจากความเป็นผู้นำและประสบการณ์ในตำแหน่งนั้นมีความสำคัญมาก ในขณะเดียวกัน เซ็นเตอร์แบ็กตัวริมฝั่งขวาและซ้ายก็ดูเหมาะสมกับ เลนี่ โยโร่ และ ลิซานโดร มาร์ติเนซ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะทาง มาร์ติเนซ ที่มีสถิติเข้าเค้ากับแนวทางการทำทีมของอโมริมตอนอยู่สปอร์ติ้งเป็นอย่างมาก

ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฝั่งซ้ายที่สปอร์ติ้ง จะเป็นหน้าที่ของ กอนซาโล อินาซิโอ โดยหน้าที่ของนักเตะในตำแหน่งนี้คือการออกบอลจากแดนหลัง เป็นหัวใจในการขึ้มเกมมากกว่ากองหลังทุกคน โดย อินนาซิโอ มีค่าเฉลี่ยการจ่ายบอลถึงเกมละ 95.9 ครั้ง เป็นอันดับ 1 ของลีกโปรตุเกส 

เมื่อย้อนดูสถิติของ มาร์ติเนซ นั้น ก็เป็นนักเตะที่วางบอลแนวลึกเป็นจำนวนครั้งมากที่สุดถึง 746 ครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าด้วยการถนัดเท้าซ้ายเหมือนกัน และเป็นตัวออกบอลเหมือนกัน ดูเหมือนว่าในตำแหน่งสำคัญนี้ อโมริม อาจจะไม่ต้องหาใครเข้ามาใหม่ 

ส่วนตำแหน่งที่สำคัญมาก ๆ ในระบบนี้อย่างวิงแบ็ก ดูน่าเป็นห่วงมาก เพราะวิงแบ็กสไตล์อโมริม จะต้องเล่นรับผิดชอบเกมรับตอนที่ทีมเป็นฝ่ายโดนบุก ขณะเดียวกันตอนที่เล่นเกมรุก พวกเขาจะเป็นอาวุธหลักในการโจมตีจากด้านข้างด้วย

นี่คือปัญหาใหญ่ เพราะ "แบ็กลอย" คือสิ่งที่ ยูไนเต็ด ยุค เอริก เทน ฮาก โดนคู่แข่งเล่นงานประจำ เทน ฮาก เองก็ชอบให้แบ็กดันขึ้นสูง แต่คู่เซ็นเตอร์ของเขาก็คุมพื้นที่ได้ไม่ดี จนโดนสวนกลับน้ำบานเป็นประจำ นี่คือจุดสลบใหญ่มากของ ยูไนเต็ด ในเวลานี้ 

การที่ อโมริม เล่นหลัง 3 อาจจะช่วยเรื่องการคุมพื้นที่เกมรับได้ดี ทำให้ทีมโดนสวนกลับยากขึ้น แต่แบ็กที่ ยูไนเต็ด มีและใช้งานได้ในตอนนี้คือ ดิโอโก้ ดาโลต์ และ นูสแซร์ มัซราวี หรือจะรวม ไตเรลล์ มาลาเซีย กับ ลุค ชอว์ ที่เจ็บแล้วเจ็บเล่าด้วยก็ได้ ทุกคนมีความเป็นฟูลแบ็กมากกว่า ถ้าจะให้พูดบ้าน ๆ ก็คือมีเซนส์ทางเกมรุกต่ำกว่าที่จะใช้เป็นอาวุธสำคัญในการบุกคู่แข่ง เทียบกับแบ็กที่อโมริมเคยใช้มาแล้วอย่าง นูโน่ เมนเดส, เปโดร ปอร์โร่ และ นูโน่ ซานโต๊ส ที่นักเตะเหล่านี้ทั้งยิงทั้งแอสซิสต์รวมกันปีหนึ่งเกือบ ๆ 20 ลูกเลยทีเดียว เท่านี้ก็ยิ่งเห็นภาพชัดว่า สิ่งที่คิดกับสิ่งที่มีดูจะเป็นคนละสไตล์กัน

แดนกลางในตำแหน่งกองกลางตัวต่ำไม่น่าปวดหัวเท่าไหร่ เพราะ มานูเอล อูร์กาเต้ ที่ยูไนเต็ดซื้อมาใหม่ ก็เป็นอดีตลูกทีมเก่าที่อโมริมใช้งานจนทะลุปรุโปร่งรู้จักกันดีหมดแล้ว ส่วนกองกลางอีกคนที่ต้องใช้คุณสมบัติคล่องแล้ว เชื่อมบอลดี ต่อบอลได้ ก็น่าจะตกเป็นของ ค็อบบี้ เมนู ... หรือไม่แน่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ก็อาจจะถอยมาเล่นในตำแหน่งนี้ได้เช่นกัน 

ส่วนสำคัญมาก ๆ ต่อมาก็คือตัวรุก 3 คน ที่ไม่ใช่เป็นปีกจ๋าแบบที่ ยูไนเต็ด มีเลย ในตำแหน่งเบอร์ 9 หากวัดจากคุณสมบัติของ โยเกสเรส ดูเหมือนว่า รามุส ฮอยลุนด์ น่าจะเป็นตัวเลือกแรก และ 2 ตัวที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาในตำแหน่งตัวสนับสนุน น่าจะเป็น บรูโน่ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด (คาดการณ์โดย Sky Sports)

โดยรวมปัญหาที่เห็น คือตัวริมเส้นที่เป็นเรื่องใหญ่มาก ยูไนเต็ด มีนักเตะตำแหน่งตัวรุกริมเส้นธรรมชาติถึง 4 คน ทั้ง แรชฟอร์ด, อเลฮานโดร การ์นาโช่, อาหมัด ดิยัลโล่ และ อันโตนี่ นักเตะเหล่านี้จะหาทางลงให้ตัวเองในตำแหน่งไหน ซึ่งสถานการณ์ "ปีกตกงาน" จะคล้าย ๆ กับยุค ฟาน กัล ที่เกิดขึ้นมาแล้ว 

ทั้งนี้ทั้งหมดก็เป็นเพียงการวิเคราะห์เท่านั้น แต่นี่คืองานใหญ่คนละสเกลกับงานเดิม ที่อโมริมต้องงัดทุกอย่างที่เขามีออกมา ... ตลาดซื้อขายซัมเมอร์ปิดแล้ว และตลาดหน้าหนาวก็คงไม่มีการย้ายทีมที่ได้ดั่งใจ ดังนั้นที่เหลือมันก็ขึ้นอยู่กับกึ๋นของเขาแล้วว่าจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร 

นี่คือบททดสอบสำคัญที่สุดในอาชีพของเขา ถามว่ายากแค่ไหน ก็ต้องใช้คำบ้าน ๆ ว่า "โคตรยาก" เพราะตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา นี่คืองานที่ไม่เคยมีโค้ชคนไหนทำสำเร็จเลยแม้แต่คนเดียว

คิวต่อไปคือ รูเบน อโมริม ... เขาจะทำได้หรือไม่ อีกไม่นานเราจะเห็นภาพยิ่งกว่าตัวหนังสือทั้งหมดที่เรามาพิมพ์บอกกันตรงนี้อย่างแน่นอน 

 

แหล่งอ้างอิง

https://talksport.com/football/2208205/ruben-amorim-tactics-style-of-play-manchester-united/
https://talksport.com/football/2206498/ruben-amorim-tactics-man-utd-line-up-overhaul/
https://www.givemesport.com/ruben-amorim-tactics-breakdown-analysis-man-utd/
https://www.skysports.com/football/news/11667/13244623/ruben-amorim-tactics-formation-and-playing-style-how-could-man-utd-line-up-under-new-head-coach
https://www.nytimes.com/athletic/live-blogs/ten-hag-sacked-live-updates-manchester-united-next-manager/f0dw3ANKSJkW/9J0wemfArSk3/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ