แนวรับของ ลิเวอร์พูล มี เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เป็นหัวใจสำคัญมาโดยตลอด ปราการหลังชาวดัตช์คือผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่ทุกทีมต่างรู้ดีว่า "หลบได้หลบ เลี่ยงได้เลี่ยง ไปบุกทางอื่นดีกว่า"
แต่ความแข็งแกร่งนั้นก็สะท้อนให้เราเห็นว่า ลิเวอร์พูล เองก็มีปัญหาในแนวรับ และหนึ่งในคำถามที่ถกเถียงกันมาเสมอ ไม่มีใครตัดสินได้อย่างเป็นเอกฉันท์นั่นคือ "ใครคือคนที่ควรจะยืนคู่กับ ฟาน ไดค์ โดยที่ไม่ต้องรับบทลูกหาบ ?"
คำตอบนั้นปรากฏแล้ว อิบราฮิมา "อิบู" โกนาเต้ ก้าวข้ามขึ้นมาเป็นคำตอบได้สำเร็จ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง ? ติดตามที่ Main Stand
ปฎิบัติการหาคู่ให้ ฟาน ไดค์
หลักการง่าย ๆ ของกองหลังทุกยุคทุกสมัยที่โลกฟุตบอลบอกคนดูคือ "1 ตัวชน 1 ตัวซ้อน" กล่าวคือในระบบกองหลัง 4 ตัว ปราการหลังตัวกลางจะมี 2 คน และพวกเขาจะต้องทำหน้าที่สอดประสานกันตลอดทั้งเกม ดังนั้นจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมี 1 คนคอยเล่นจังหวะแรก และอีกคนคอยสั่งการและเก็บตกบอลจังหวะสอง
ซึ่งแน่นอนว่านับตั้งแต่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เขาได้รับหน้าที่ "ตัวซ้อน" เป็นหลัก แต่ระดับ ฟาน ไดค์ จะเล่นตัวชนหรือซ้อนเขาก็ทำได้ทั้งนั้น
เพราะหนึ่งในสิ่งที่สุดยอดของ ฟาน ไดค์ คือ "การสั่งการ" ในภาษาฟุตบอลเรียกกันว่า "คอมมานเดอร์" หรือ "ผู้บัญชาการ" ซึ่งถ้าใครดูลิเวอร์พูลจะเข้าใจคำนี้ทันทีว่า ฟาน ไดค์ จะเป็นคนบัญชาเกมรับ ชี้นิ้ว และตะโกนสั่งทุกคนในแต่ละจังหวะ จังหวะไหนควรเข้าเร็ว จังหวะไหนควรดันสูง และคู่แข่งคนไหนที่ว่างไร้ตัวประกบ ฟาน ไดค์ จะใช้ทักษะในการอ่านเกมของเขาสแกนและสั่งให้เพื่อนร่วมทีมเข้ารับผิดชอบตามสิ่งที่เขาเห็น
แน่นอนว่าปัญหาของ ลิเวอร์พูล ก็คือนับตั้งแต่ ฟาน ไดค์ เข้ามา ไม่เคยมีตัวหลักที่ยืนคู่กับเขายาว ๆ หลายซีซั่นได้เลย ไล่มาตั้งแต่ เดยาน ลอฟเรน, โจ โกเมซ, โจเอล มาติป และคนอื่น ๆ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเล่นในตำแหน่งดังกล่าว จะเห็นชัดกว่าใครเพื่อนก็คือ มาติป ที่อยู่ในยุคทองที่ทั้งคู่จับคู่กัน เพียงแต่ว่าอย่างที่ทุกคนรู้ ร่างกายของ มาติป ค่อนข้างเปราะ เขามีอาการบาดเจ็บตลอด นั่นทำให้เขาเข้า ๆ ออก ๆ ในทีมชุดใหญ่เสมอ
อิบราฮิมา โกนาเต้ ย้ายจาก แอร์เบ ไลป์ซิก มาอยู่กับ หงส์แดง เมื่อปี 2021 ณ เวลานั้นเขาอายุ 22 ปี และสร้างชื่อมาก่อนเเล้ว เรียกว่าเป็นวันเดอร์คิดที่มีศักยภาพจะเป็นยอดกองหลังในอนาคตก็ไม่ผิดนัก ซึ่งเรื่องนี้คนที่เชียร์ให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ซื้อก็คือ ปีเตอร์ คาร์เวียตซ์ หนึ่งในทีมงานของเขาที่ได้ฉายา "ดวงตาของคล็อปป์" ที่บอกว่า โกนาเต้ จะจับคู่กับ ฟาน ไดค์ ได้ดี และมีศักยภาพในการเป็นตัวแทนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการในระยะยาวอีกด้วย
"เราสามารถเห็นและรู้ได้ว่าเขาจะมีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองเป็นเซ็นเตอร์แบ็กระดับโลกได้แน่นอน"
"คุณสมบัติของเขาชัดเจนตามที่เราเห็น เป็นเซ็นเตอร์แบ็กที่ฉลาดในการเล่นเกมรับ มีร่างกายที่แข็งแกร่งและมีความรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงน่าจะปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษได้ เพราะความสูง ความแข็งแรง ความเร็ว และจังหวะฝีมือคือสิ่งสำคัญมาก ๆ ในลีกนี้"
"เหนือสิ่งอื่นใด เวลาที่บอลอยู่กับเท้า เขานิ่งและกล้าออกบอล นั่นแหละคือสไตล์ของเรา เขาช่วยงานของ เฟอร์กิล ได้ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงถูกใจเขานัก" คราเวียร์ตซ์ กล่าวถึงเหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ซื้อตัว โกนาเต้ มาร่วมทีม
ความยากในการออกจากเงา "พี่ใหญ่"
แม้จะเก่งกาจมาจากไหน แต่เมื่อคุณเป็นกองหลังของ ลิเวอร์พูล คุณมีหน่วยวัดที่มาตรฐานสูงมากนั่นคือฟอร์มของ ฟาน ไดค์ ดังนั้น เวลาที่ใครต่อใครต้องมาจับคู่กับ "บิ๊กเวิร์จ" ก็ถูกมองว่าเป็นลูกหาบไปโดยปริยาย และความผิดพลาดของพวกเขาเหล่านั้น ก็จะถูกมองว่าเป็นการเพิ่มภาระหน้าที่ให้ ฟาน ไดค์ ซึ่งถ้าใครพลาดบ่อย ๆ เขาคนนั้นก็อาจจะถูกมองว่า "ไม่ดีพอ"
ตัวของ โกนาเต้ เองก็เช่นกัน กว่าที่เขาจะมาถึงจุดที่เป็นตัวหลักของทีม ณ ตอนนี้ ก็มีช่วงเวลาที่เขาต้องพิสูจน์ตัวเอง และออกจากคำว่าลูกหาบให้ได้
ปัญหาของเขามีหลายอย่างในช่วงแรกนอกจากเรื่องการทำฟอร์มให้เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับ ฟาน ไดค์ เป็นเรื่องยากลำบากประการแรกของนักเตะอายุ 22 ปีในวันที่ย้ายมาใหม่ ประการที่ 2 เขามีปัญหาเรื่องการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อย ๆ และ 3 เขามีปัญหาเรื่องการปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษที่เร็ว แรง และใช้พละกำลังเยอะ มันเหมือนกับว่าทีมงานของคล็อปป์ คิดผิดในดีลนี้
3 สิ่งนี้สร้างปัญหาให้เขาจังเบอเร่อ จังหวะพลาดง่าย ๆ คือสิ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นเป็นระยะ ๆ หลายครั้งเขาถูกวิจารณ์ออกสื่อ ไม่ว่าจะด้วยฟอร์มที่เล่นกับ ลิเวอร์พูล หรือกับทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้เห็นบ่อย ๆ เพราะในช่วงปีสองปีก่อนหน้านี้ โกนาเต้ มักถูกเลือกเป็นตัวจริง ขณะที่หลายคนมองว่า วิลเลียม ซาลิบา คือคนที่เหมาะสมกว่า
สื่ออย่าง Eurosport ระบุฟอร์มของ โกนาเต้ ในทีมชาติฝรั่งเศสว่า "เขาขาดสมาธิในการเล่น และมักปล่อยคู่แข่งเข้าไปยิงประตูได้ง่ายเกินไป โดยภาพรวมการจัดการเกมรับของเขาไม่ดีนัก กล่าวสั้น ๆ คือเขาดูจะไร้ทิศทาง (เมื่อต้องรับบทผู้นำในเกมรับ)"
ขณะที่ Goal Frace ก็เขียนในแบบเดียวกันว่า "เมื่อเขาได้เล่นแทน ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เขาทำได้โอเค แต่นั่นไม่พอหรอก เขาควรแสดงความมั่นใจในบทบาทของเขามากกว่านี้ เขายังต้องการผู้นำ เมื่อต้องเล่นกับ ซาลิบา ในทีมชาติฝรั่งเศส เราพบว่าเขามีปัญหาเรื่องการจัดการที่ชัดเจน"
หลายปัญหาที่กล่าวมาต้องบอกว่า นอกจาก โกนาเต้ จะไม่ได้อยู่ในระดับใกล้เคียง ฟาน ไดค์ แล้ว เขายังถูกมองว่าดีไม่พอจะเป็นลูกคู่ในบางช่วงเวลาด้วย หากยังจำกันได้ในช่วงเดือนมีนาคม 2024 หรือครึ่งหลังของซีซั่นที่แล้ว โกนาเต้ เสียตำแหน่งตัวจริงให้ดาวรุ่งจากอคาเดมี่อย่าง ยาร์เรลล์ ควอนซาห์ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ความมั่นใจของเขาลดลงไปอีก เมื่อได้ลงเล่นพร้อมแบกความกดดัน ความผิดพลาดก็ยิ่งก่อตัวมากขึ้น
ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือการบุกเยือน อตาลันต้า ในฟุตบอลยูโรป้า ลีก ที่ ลิเวอร์พูลแพ้ไป 0-3 เกมนั้น โกนาเต้ โดน จานลูก้า สคามัคก้า กองหน้าของ อตาลันต้า เล่นงานอย่างต่อเนื่องและอยู่ในฟอร์มที่ไม่ดีเอาเสียเลยจากโอกาสที่ได้รับในการออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริง
จากนั้นในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ ที่กูดิสันพาร์คกับ เอฟเวอร์ตัน เขาก็เสียท่าให้กับ โดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน ซึ่งเห็นชัดว่ามันมาจากความมั่นใจ และ 4 เกมสุดท้ายในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมเลย ... เรื่องทั้งหมดทำให้เขาเสียตำแหน่งตัวจริงทีมชาติให้กับ ซาลิบา ในศึก ยูโร 2024 ซึ่ง ซาลิบา ก็ทำผลงานได้ดีมาก ๆ ในทัวร์นาเมนต์นั้นจนเกิดการเปรียบเทียบอย่างเลี่ยงไม่ได้
จากสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าเขากำลังโดนคู่แข่งที่เป็นรุ่นน้องแซงหน้าทั้งในระดับสโมสรและในระดับทีมชาติ ... ถ้าเขาถอดใจ เรื่องนี้มันคงจบง่ายกว่านี้ไปแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเขากลับมาถึงสโมสร ลิเวอร์พูล เป็นช่วงเวลาที่ดี เพราะ เยอร์เก้น คล็อปป์ วางมือไปแล้ว และมี อาร์เน่อ ชล็อต เข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งนั่นถือเป็นจุดหักเหสำหรับเส้นทางยอดกองหลังของ โกนาเต้ เลยก็ว่าได้
เริ่มใหม่พร้อมกันหมด ... ที่เหลือขึ้นอยู่กับคุณ
แน่นอนว่าเมื่อสโมสรมีโค้ชคนใหม่เข้ามามันหมายความว่านักเตะแทบทุกคนในทีมต้องเริ่มต้นสร้างความประทับใจให้กับเจ้านายใหม่พร้อม ๆ กันทั้งหมด ยกเว้นเหล่าตัวจริงแบเบอร์ที่เราต่างรู้ดีว่ามีใครบ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สามารถรวม โกนาเต้ ไว้ในนั้น
ในทางกลับกัน มันก็ไม่ได้มีชื่อของ ควอนซาห์ ในฐานะนักเตะที่การันตี 11 ตัวจริง ดังนั้นมันจึงเป็นข่าวดีของ โกนาเต้ ที่จะพยายามใช้ช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงของสโมสร สอดแทรกตัวเองกลับไปอยู่ยังจุดที่เขาเคยยืนอีกครั้ง
มีรายงานในช่วงพรีซีซั่นว่า ชล็อต เองก็ไม่ได้ชอบใจ โกนาเต้ เป็นพิเศษนักเนื่องจากเป็นนักเตะที่มีประวัติการบาดเจ็บบ่อย ระดับของฟอร์มการเล่น การฝึกซ้อม ซึ่งยืนยันด้วยการได้เล่นเป็นตัวจริงแค่ 17 นัดในซีซั่น 2023-24
แต่อย่างที่บอก ซีซั่นใหม่ โค้ชใหม่ ทุกคนต้องเริ่มสร้างความประทับใจกันใหม่ ตัวของ โกนาเต้ เองก็เช่นกัน แม้เขาจะกลับมารายงานตัวช้ากว่าตนอื่น เพราะได้พักเพิ่มจากภารกิจยูโร 2024 แต่เมื่อกลับมาเจ้าตัวรีดศักยภาพในการซ้อมออกมาได้ดีมาก (รายงานจาก The Athletic) โดยมีการอธิบายเพิ่มเติมว่าความมุ่งมั่นในการซ้อมของ โกนาเต้ เปลี่ยนใจ ชล็อต ได้มากจริง ๆ
"ชื่อของ โกนาเต้ ได้รับความสนใจอย่างมากในการอภิปรายของกลุ่มทีมงานโค้ชของลิเวอร์พูล เขาอาจถูกมองว่าเป็นนักเตะที่ฟอร์มไม่ดีนัก แต่ในทางเดียวกันทีมงานของ ชล็อต ก็เข้าใจว่าเขามีศักยภาพที่ซ่อนอยู่ และสามารถพัฒนาได้อีกเยอะหากได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง" เจมส์ เพียร์ซ เหยี่ยวข่าวสายลิเวอร์พูลของ The Athletic ว่าเช่นนั้น
นอกจากทีมโค้ชจะประเมินเขาไว้สูงแล้ว อีกหนึ่งคนที่ทำให้ โกนาเต้ กลับมามั่นใจอีกครั้งก็คือพี่ใหญ่อย่าง ฟาน ไดค์ โดย เพียร์ซ ยังระบุเพิ่มเติมถึงเรื่องนี้ว่า
"ฟาน ไดค์ พยายามที่จะรักษาขวัญและกำลังใจของ โกนาเต้ อย่างมากเพราะเขารู้ว่า อิบู จะไปได้ไกลขนาดไหน หลัก ๆ แล้ว ฟาน ไดค์ บอกให้เขาเข้าใจถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก และแนะนำวิธีการไปถึงจุดที่สูงกว่านี้ในอาชีพของเขาด้วยการเข้าหาอย่างใกล้ชิด"
"เรื่องนี้ โกนาเต้ ขอบคุณและซาบซึ้งกับการสนับสนุนของ ฟาน ไดค์ แบบสุด ๆ และยอมรับว่าแรงผลักดันจากซีเนียร์ในทีมช่วยให้เขากลับมาอยู่ในฟอร์มที่เข้ารูปเข้ารอย และใช้คำว่าอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของตัวเองก็ว่าได้"
เรื่องที่ เพียร์ซ บอก ตอบได้ด้วยผลงานในสนามและสถิติในฤดูกาล 2024-25 โกนาเต้ ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมลีกและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทั้งหมด 8 จาก 9 นัด ลิเวอร์พูล ลงสนาม หนเดียวที่เขาเป็นตัวสำรองคือในเกมออกสตาร์ทซีซั่นกับ อิปสวิช ซึ่งเกิดจากการที่เขาซ้อมร่วมกับทีมน้อยกว่าคนอื่น ๆ เท่านั้น
และถ้าใครได้ดูลิเวอร์พูลเล่นในซีซั่นนี้ รวมถึงย้อนกลับไปอ่านคำอธิบายที่ ปีเตอร์ คราเวียตซ์ บอกเกี่ยวกับ โกนาเต้ ในตอนที่ซื้อมาร่วมทีมใหม่ ๆ มันแทบจะตรงกันทุกประการ รวดเร็ว แข็งแรง กลางอากาศดี และมีบอลยาวจากแดนหลังที่อันตราย
ในซีซั่นนี้ โกนาเต้ ชนะการดวล (Duels Won) 29 ครั้งจากทั้งหมด 39 ครั้ง (74 เปอร์เซ็นต์) ในพรีเมียร์ลีก และตัวเลขนี้ยิ่งน่าประทับใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อรวมการดวลลูกกลางอากาศเข้าไปด้วย โดยชนะ 22 ครั้งจากทั้งหมด 26 ครั้ง (85 เปอร์เซ็นต์)
ส่วนเกมรุกเขาโดดเด่นขึ้นจริง ๆ จากที่ไม่เคยยิงหรือแอสซิสต์ได้เลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โกนาเต้ ทำไปแล้ว 1 แอสซิสต์ และเพิ่งโหม่งประตูแรกในลีกให้ลิเวอร์พูลในเกมที่ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน และประตูแรกในแชมเปี้ยนส์ลีกในเกมชนะ มิลาน ที่ซาน ซิโร่
หลังจากผลงานที่ยอดเยี่ยม อาจารย์ของเขาอย่าง ฟาน ไดค์ ก็ออกปากชม อิบู เป็นครั้งแรกว่า "เขาเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมในตอนนี้ และจะดีกว่านีได้อีกแน่นอน ... เขาช่วยให้ทีมได้ประตู สำคัญที่สุดคือเขาทำให้เกมรับของทีมมั่นคงมาก ๆ เขากำลังโดดเด่นขึ้นเรื่อยในความเห็นของผม"
"สิ่งที่เขาต้องทำคือเรียนรู้ เติบโต พัฒนาตัวเอง และดูแลตัวเองให้ดีขึ้นมาก ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโปรแกรมที่แน่นเอี๊ยดระดับเตะ 3 วันต่อ 1 แมตช์ มันคือหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่เขาจะได้รับมอบหมาย เราจะช่วยกันผลักดันเขาต่อไป และเขาจะดีขึ้นอีกแน่" ฟาน ไดค์ ว่าแบบนั้น
ไม่ต้องรอให้ ฟาน ไดค์ บอกก็ได้อันที่จริง ... เพราะคอมเมนต์ในโลกโซเชี่ยลที่เคยติฉินได้เปลี่ยนเป็นคำชมไปเรียบร้อยแล้ว
บทพิสูจน์ที่รออยู่
ว่ากันว่าสิ่งที่ช่วย โกนาเต้ มาก ๆ คือการฝึกซ้อมในโปรแกรมของ ชล็อต ที่ไม่ได้เข้มข้นและหนักเท่ากับยุคของ คล็อปป์ โดยจุดประสงค์ก็เพื่อถนอมนักเตะเอาไว้เล่นเกมจริงที่โปรแกรมแน่นมากขึ้นจากปีก่อน ๆ ซึ่งจุดนี้เองดูจะเหมาะกับ โกนาเต้ ซึ่งเป็นนักเตะที่เจ็บง่าย และส่วนใหญ่มักจะมาจากการซ้อมเสมอ
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารักษาความฟิตและโมเมนตัมได้ดีแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนเรื่องของแท็คติกนั้นเชื่อว่า โกนาเต้ น่าจะเข้าใจหน้าที่ของเขาอย่างแจ่มชัดเพราะ ลิเวอร์พูล มีการประชุมและวิเคราะห์เรื่องแท็คติกผ่านวีดีโอที่เพิ่มชั่วโมงมากขึ้น
ซึ่งถ้าจะว่าด้วยเรื่องของแท็คติกก็มีส่วนสำคัญ เพราะ ณ เวลานั้นเกมรับของ ลิเวอร์พูล มีการปรับจากยุคของ คล็อปป์ พอสมควร ซึ่งส่งผลให้พื้นที่รับผิดชอบของ โกนาเต้ น้อยลงเพราะในยุคของ คล็อปป์ เกมจะไปเร็วจากหลังไปหน้า และทีมจะเน้นเกมบุกดุดันตลอดทั้งเกม แต่ยุคของ ชล็อต หน้าที่ของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แบ็กขวาที่ต้องทำงานร่วมกับเซ็นเตอร์ฮาล์ฟฝั่งขวาอย่าง โกนาเต้ ถูกสั่งให้เล่นแบบระวังเกมรับมากขึ้น ไม่ต้องเติมลอยสูงตลอดเวลาเหมือนที่ผ่านมา
ขณะที่แผงกองกลางยังมี "เบอร์ 6 ธรรมชาติ" ที่ ชล็อต ใช้งาน ไรอัน กราเฟนแบร์ก เข้ามาเป็นตัวช่วยไล่และตัดบอลในเกมรับมากขึ้น ที่สำคัญ "กราฟ" ยังมีหน้าที่เป็นตัวเข้ามารับบอลจากกองหลัง ทำให้กองหลังเล่นได้ง่ายขึ้น และทีมคุมจังหวะเกมมากขึ้น ลดภาระของการโดนสวนกลับได้ดีขึ้นเป็นเงาตามตัว
การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่ทุกชีวิตบนโลกต้องรับมือ บางคนกลัวการเปลี่ยนแปลง และหัวแข็งเกินกว่าจะปรับตัว ซึ่งปลายทางของพวกเขาเหล่านั้นคือการตกยุค และหายไปจากความทรงจำ ... ในวงการฟุตบอลก็เช่นกัน
ทว่าในรายของ โกนาเต้ การเปลี่ยนแปลงหนนี้ท้าทายเขาเป็นอย่างมาก และเหนือสิ่งอื่นใด เขาทำตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้โดยมีการสนับสนุนจากคนรอบข้าง และที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ทุกคนสามารถพูดได้เต็มปากว่าเขาคือคู่เซ็นเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดสำหรับ ฟาน ไดค์ ... จบคำถามที่มีมานานหลายปี
ภารกิจแรกของเขากำลังผ่านพ้นไป เขาก้าวข้ามคำว่าลูกหาบได้แล้ว ต่อจากนี้จะเป็นช่วงเวลาของการเติบโต ซึ่งแน่นอนว่าทุกนาทีที่ โกนาเต้ โตขึ้น ฟาน ไดค์ ก็จะแก่ลง และเริ่มพ่ายแพ้แก่สังขารในท้ายที่สุด
ถึงเวลานั้นภารกิจสำคัญจะมาถึง นั่นคือการพิสูจน์ว่าเขาดีพอจะเป็นพี่ใหญ่ในแนวรับของ ลิเวอร์พูลเจเนอเรชั่นต่อไปได้หรือไม่ ? ... คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับเขาที่กำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้น
แหล่งอ้างอิง
https://www.thisisanfield.com/2024/06/ibrahima-konate-insists-he-wasnt-dropped-at-liverpool-for-jarell-quansah/
https://www.nytimes.com/athletic/4806420/2023/08/26/liverpool-konate-injury-defender-transfer/
https://www.liverpoolfc.com/news/first-team/437041-explained-why-liverpool-coaches-admire-ibrahima-konate-quality-potential.
https://tribuna.com/en/news/liverpoolfc-2024-09-07-he-weakened-the-structure-disoriented-konate-slammed-for-performance-in-france-defeat-to/
https://www.caughtoffside.com/2024/08/08/ibrahima-konate-liverpool-training/
https://www.transfermarkt.com/ibrahima-konate/leistungsdaten/spieler/357119