ถ้า มาร์โก รอยส์ จะมีภาพยนตร์ของตัวเองสักเรื่อง และให้แฟนฟุตบอลตั้งชื่อหนังของเขา เชื่อได้เลยว่า มันจะต้องออกมาในแนว ๆ Unluckiest (โชคร้ายที่สุด) หรือ Sadboy อะไรประมาณนั้น จากความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่มักจะเกิดขึ้นกับเขา โดยที่ตัวเองไม่สามารถกำหนดมันได้
เขามีภาพจำในฐานะนักเตะที่น่าสงสาร แต่ใครเลยจะรู้ ถ้าคุณถาม มาร์โก รอยส์ ถึงความล้มเหลวทั้งหมด เขาจะยิ้มแล้วก็ตอบคุณว่า "เพราะชีวิตมันพาไป" และถ้าวัดเกณฑ์ความสุขตลอดอาชีพ เขาจะตอบคุณกลับว่า "100%"
ทั้ง ๆ ที่ผิดหวังมากมายอย่างนั้นน่ะหรือ ? นี่คืออีกด้านในความเป็นคนของ รอยส์ ที่มันอาจจะทำให้เข้าใจชีวิตของเขา หรือแม้กระทั่งชีวิตของตัวคุณเองได้ดีขึ้น ... ติดตามที่ Main Stand
มองอีกด้านของความผิดหวัง
หลายคนน่าจะพอทราบประวัติของ มาร์โก รอยส์ กันมาพอสมควร หากให้สรุปกันพอสังเขปก่อนจะเข้าเรื่องหลัก ก็ต้องบอกว่า เป็นเด็กชายชาวเยอรมันที่เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 4 ขวบ แถมบ้าฟุตบอลเข้าเส้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นวันไหนที่ไม่ได้ออกจากบ้านจะต้องเอาผลไม้หรืออะไรก็ตามที่มีทรงกลมในบ้านมาเดาะเล่น จนแม่ของเขาทนไม่ไหว ต้องส่งเขาไปเล่นกับสโมสรท้องถิ่นที่ชื่อว่า เอสวี ดอร์ทมุนด์
จนกระทั่งขยับไต่เพดานบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 1996 หรือตอนที่เขาอายุ 13 ปี ฝันก็เป็นจริง เมื่อได้เข้าทีมเยาวชนของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งเป็นทีมบ้านเกิดและทีมรักทีมเดียวของเขาด้วย เพียงแต่ว่าตอนนั้นแหละที่เขาได้เรียนรู้ความผิดหวัง หลังจากนั้นไม่นานนัก พออายุได้ 16 ปี ด้วยการคัดกรองนักเตะเยาวชนแต่ละรุ่นอายุที่เข้มข้น รอยส์ ก็ไม่ได้ไปต่อกับ ดอร์ทมุนด์ เพราะว่าตัวเล็กเกินไป
เขาจำใจต้องออกมาเล่นให้ทีมในดิวิชั่น 3 อย่าง รอทไวส์ อา์หเลน (Rot-Weiß Ahlen) เริ่มต้นใหม่ด้วยความผิดหวัง และความหวังในเวลาเดียว ตรงนี้แหละที่เราจะเริ่มพูดถึงสิ่งที่ทำให้เขาไล่ต้อน ดอร์ทมุนด์ ที่ปฏิเสธเขาในวัยเด็ก ให้กลับมาซื้อตัวของเขาอีกครั้งเมื่อปี 2012 ในวันที่เขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นตัวรุกที่จัดจ้านที่สุดในบุนเดสลีกากับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค หลังฤดูกาล 2011-12 รอยส์ ทำสถิติยิงในลีกถึง 18 ลูก
รอยส์ เหมือนกับภาพสเตริโอไทป์ของชาวเยอรมันทั่วไป นั่นคือไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน พวกเขาจะจัดวางตัวเองอย่างมีระเบียบ มีการวางเป้าหมาย หาวิธีการแก้ไขตัวเองเพื่อให้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น และมีความคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เขามีชีวิตอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงเสมอ พยายามรับมือกับความผิดหวังที่เกิดขึ้น โดยมีผงชูรสเพิ่มความแฟนตาซีที่ชื่อว่า "ความหวัง" ที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาได้ทุกรอบไม่ว่าครั้งไหน ๆ
"แน่นอน 100% ผมจะต้องได้เล่นฟุตบอลโลก คุณจะไม่เชื่อมั่นในตัวเองได้ยังไงจริงไหม ? ผมไม่เคยที่จะละทิ้งความหวัง และไม่เคยสิ้นสูญเสียความเชื่อที่มีต่อตัวเอง เรื่องนี้ไม่ใข่แค่ฟุตบอล แต่มันคือวิถีชีวิต ที่พิสูจน์มาแล้วด้วยตัวของผมเอง"
"ใช่ ชีวิตของคุณอาจจะต้องการคำว่าโชคบ้าง แต่แก่นแท้ทั้งหมดคือความสามารถ การตั้งเป้าหมาย การอยู่กับมันอย่างมีความเชื่อมั่น ... และแน่นอนที่สุดคือคุณต้องใช้ชีวิตแบบมีความหวังเสมอ" รอยส์ ว่าเช่นนั้น
อะไรบ้างที่ รอยส์ พลาดไป ? เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด เขาพลาดติดทีมชุดแชมป์โลกปี 2014 กับทีมชาติเยอรมันเพราะบาดเจ็บในเกมอุ่นเครื่องนัดสุดท้ายก่อนทัวร์นาเมนต์ ทั้งที่ ณ เวลานั้นเขากำลังขึ้นหม้อแบบสุด ๆ จากนั้นอีก 2 ปีต่อมาในยูโร 2016 ก็หนังม้วนเดิม เล่นดีสุด ๆ แต่ก็เจ็บก่อนทัวร์นาเมนต์เริ่ม ไหนจะฟุตบอลยูโร 2020 ที่เขาถอนตัวเองเพราะคิดว่าร่างกายตัวเองยังไม่ดีพอ ส่วนฟุตบอลโลก 2022 ก็เจ็บข้อเท้าก่อนทัวร์นาเม้นต์เริ่มเป็นหนที่ 3
ในความล้มเหลวซ้ำ ๆ คุณเห็นอะไรหรือไม่ ? ... ไล่เรียงมาตั้งแต่ปี 2014 ถึงปี 2022 ถือเป็นช่วงเวลา 8 ปี ที่ทุกคนยังคงโฟกัสกับเขาเสมอ นั่นหมายความว่า ไม่ว่า รอยส์ จะผิดหวังกี่ครั้ง เขากลับมารีสตาร์ท เริ่มกิจวัตรเดิม ๆ ใหม่เพื่อผลักดันตัวเองกลับมายังจุดเดิมให้ได้ เขาอาจจะถอยหลังบ้าง แต่ทุกครั้งที่ถอย เขาตั้งเป้าหมายและมีความหวังในทุกครั้งว่า จะเป็นนักเตะที่ดีขึ้นจากวันที่เขาต้องผิดหวังในวันที่แผลยังสดใหม่
มีคำหนึ่งจากภาพยนตร์ Rocky ที่นำแสดงโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ที่ถือเป็นประโยคระดับ Iconic ตลอดกาลที่บอกว่า "ไม่มีใครชกคุณได้หนักยิ่งกว่า 'ชีวิต' ดังนั้นไม่เกี่ยวว่าเราจะหมัดหนักขนาดไหน แต่สิ่งสำคัญคือคุณรับหมดได้หนักแค่ไหนต่างหาก" ประโยคดังกล่าวเปรียบเทียบกับชีวิตของคนทุกคนที่เกิดมา การอยู่กับความสำเร็จนั้นง่ายดายใครก็ทำได้ แต่ในวันที่เกิดปัญหา เกิดเรื่องแย่ คุณสามารถรับมือกับมันได้ดีขนาดไหนต่างหาก
กลับมาที่โลกของฟุตบอล เราได้เห็นนักเตะบางคนเจ็บเพียงครั้งเดียว ผิดหวังเพียงหนเดียว ก็กลายเป็นคนละคน จากนักเตะเก่ง ๆ ก็จางหายไปจากวงการมากมาย แต่ มาร์โก รอยส์ นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เขา ล้ม ลุก และ ล้ม แล้วก็ลุก แบบนี้มาตลอดตั้งแต่ความผิดหวังครั้งแรก แต่ท้ายที่สุด ในวันที่เขาจะต้องเลิกเล่น (ซึ่งน่าจะยังไม่ใช่ในปี 2024 นี้) พร้อมกับถ้วยแชมป์ที่สะสมมาเพียงน้อยนิด ทุกคนกลับพูดถึงเขาในแง่ของความชื่นชม และมีอารมณ์ร่วมกับอาชีพของเขามากขนาดนั้น … ถ้าจะหาใครในวงการนี้สักคนที่รับหมัดได้หนักที่สุด มาร์โก รอยส์ อาจจะเป็นคนคนนั้น
"ความหวังสำคัญกับชีวิตคุณจริง ๆ ไม่ต้องไปสนหรอกว่าคนอื่นจะมองคุณแบบไหน ฝันให้ใหญ ทำงานให้หนัก และไม่ถอดใจยอมแพ้" มาร์โก รอยส์ ว่าแบบนั้น และทำให้เห็นจากการลุกขึ้นจากความผิดหวังครั้งแล้วและครั้งเล่า
จงเป็นคุณในเวอร์ชั่นที่เติบโตขึ้นทุกวัน
อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น นอกจากเรื่องของฟุตบอลแล้ว แนวคิด รวมถึงสิ่งที่ มาร์โก รอยส์ พูดหรือแสดงออกมา สามารถเอาใช้ได้ในกับทุกอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย มาร์โก รอยส์ ยืนอยู่ในวงการนี้มานาน และเป็นนักเตะขวัญใจมหาชนเสมอ สิ่งหนึ่งที่คุณปฏิเสธไม่ได้เลยคือเขาเป็นคนที่มีออร่าแห่งความเป็นสตาร์อยู่กับตัวเสมอ ไม่ว่าจะตอนที่เขาบาดเจ็บหรือแข็งแรง ไม่ว่าจะตอนที่เขาชูโทรฟี่หรือจบเสียงนกหวีดยาวด้วยการเป็นผู้แพ้ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
สิ่งสำคัญคือทัศนคติ มาร์โก รอยส์ เป็นนักเตะที่โฟกัสกับตัวเองตลอด หากคุณค้นบทสัมภาษณ์ความผิดหวังต่าง ๆ ตลอดอาชีพของเขา คุณจะพบว่า รอยส์ ไม่เคยว่ากล่าวให้ร้าย ฟาดงวงฟาดงาและโทษใครทั้งนั้น การเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด และเติบโตขึ้นอย่างคนคุณภาพด้วย ไม่ใช่ชื่อเสียง หรือความสำเร็จ แต่มันคือการแสดงออกต่าง ๆ อย่างสุภาพบุรุษ
บนความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศมากมาย รอยส์ เคยตอบคำถามจากนักข่าวว่า เขาคิดอย่างไรกับการเป็นผู้แพ้บ่อย ๆ เขาตอบกลับด้วยประโยคที่จบทุกอย่างภายในไม่กี่วินาทีว่า "ความพ่ายแพ้มันน่าเสียใจนั่นคือเรื่องจริง แต่ผมให้ความสำคัญกับด้านวิธีการด้วย ไม่ใช่เรื่องของผลลัพธ์อย่างเดียว เพราะบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ผมมักจะได้เรียนรู้จากความล้มเหลว"
มาร์โก รอยส์ อาจจะไม่ได้ป่าวประกาศว่าเขาดูและตัวเองยังไงให้อยู่บนโฟกัสของแฟน ๆ ในโลกฟุตบอลในระยะยาวได้ขนาดนี้ แต่เบื้องหลังของเขาคือ การพยายามอุดทุกข้อเสียของตัวเอง รอยส์ คือนักเตะที่มีเทรนเนอร์ส่วนตัว เพื่อออกแบบวิธีการออกกำลังกายให้เหมาะกับร่างกายของเขาที่สุด นอกจากนี้ยังมีความสนิทสนมและปรึกษาเรื่องสุขภาพจิตกับ Philipp Laux ที่เป็นนักจิตวิทยาของสโมสรอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะร่างกายและจิตใจ ทุกอย่างต้องเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กันอย่างสมดุล ไม่มีสิ่งไหนทิ้งห่างและปล่อยอีกอย่างไว้ที่เบื้องหลัง … รอยส์ จึงดีลกับทุกปัญหาที่เกิดตลอดอาชีพของเขาได้อย่างสบาย ๆ เขาเป็นคนที่คุณจะเห็นตอนร้องไห้ในวันที่ทีมแพ้และผิดหวัง แต่คุณมั่นใจได้เลยว่า คุณเองจะไม่ได้เห็นคราบน้ำตาของเขาในวันต่อไป เพราะเขารู้ดีว่าชีวิตคนเรามันเหมือนซีรีส์ยาว ไม่ใช่ละครสั้น ๆ ที่มีจุดสิ้นสุดเพียงแค่วันนี้เท่านั้น วันนี้คุณแพ้ พรุ่งนี้คุณอาจจะชนะ ... แม้วันนี้จะล้มเหลว แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าคุณจะไม่ประสบความสำเร็จในวันข้างหน้า ไม่ว่าจะกับเรื่องเดียวกัน หรือเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต
"ถ้าจะให้ดี คุณไม่ควรปล่อยให้ความสำเร็จมาครอบงำความคิดจนหมกหมุ่นขนาดนั้น และในขณะเดียวกัน คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ความล้มเหลวเข้ามาครอบงำหัวใจของคุณนานเกินไปด้วย" มาร์โก รอยส์ สรุปวิธีการรับมือกับชีวิตของเขาแบบนี้
สุข รอยส์เปอร์เซ็นต์ (100%)
มีความสุขกับงานที่ทำ คำ ๆ นี้เราได้ยินมาโดยตลอดในช่วงอายุที่เราต้องพยายามทำงานเพื่อยกระดับตัวเองในทุก ๆ ด้าน แต่มีไม่กี่คนที่จะทำมันได้จริง ๆ เพราะในเมื่อการทำงานคือการทุ่มพลังงานส่วนใหญ่ในชีวิตไป สูญเสียเวลาส่วนตัวไปก็ไม่น้อยแล้วเราจะมีความสุขได้อย่างไร ? ... คุณลองไปดูชีวิตของ มาร์โก รอยส์
นักฟุตบอลอาชีพ คืออาชีพที่ใช้พลังเยอะมาก ๆ ทั้งด้านร่างกายที่ต้องแบกความเข้มข้นระดับสูงในแทบทุกวัน ตั้งแต่ในสนามซ้อมจนถึงวันแข่งขันจริง ขณะที่เรื่องพลังใจเองก็ไม่น้อยหน้า เพราะคุณจะเป็นคนในที่แจ้งที่ใครก็มองเห็น สิ่งที่คนในสปอตไลท์ทุกคนต้องเจอ คือคำวิจารณ์ เย้ยหยัน ล้อเลียน หรืออะไรก็ตามที่เป็นความคิดเห็นในเชิงลบ
อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น แฟนบอลมักคิด และตัดสินใจไปเองเมื่อมองมาที่ มาร์โก รอยส์ เราต่างมองเขาว่าน่าสงสาร เป็นคนดวงกุด เป็นคนโชคร้ายที่สุดในโลกนี้ (โลกฟุตบอล) แต่สำหรับ รอยส์ เขาไม่เคยมองแบบนั้น อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่เคยพูดอะไรลบ ๆ กับอาชีพของตัวเองนัก บ่อยครั้งยังออกไปทางพูดถึงมันด้วยความสุขอีกด้วย
"ฟุตบอลไม่ใช่เกม แต่มันคือวิถีชีวิต ผมจึงลงเล่นด้วยการทุ่มเททั้งใจ และมอบทุกสิ่งที่มีให้กับการแข่งขันเสมอ ฟุตบอลสอนให้คุณมีระเบียบวินัย ทำงานเป็นทีม และมีความอุตสาหะ" รอยส์ พูดถึงอาชีพของเขา
"ในฐานะนักฟุตบอล ผมเข้าใจดีว่าไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะการเจ็บยาว ๆ แบบที่ผมเป็น แต่ผมมองมันอย่างเข้าใจ เรื่องแบบนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของเกมและผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี ดังนั้นผมจึงมองไปข้างหน้าเสมอ และผมทำแบบดีมาตลอด" รอยส์ กล่าวในปี 2018
แน่นอนที่สุด มาร์โก รอยส์ ผ่านการรับมือกับเรื่องแบบนี้มาสารพัด แต่ก็ยังอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้ ในช่วงหลายครั้งที่เขาเจ็บยาว เล่นไม่ได้ เขาก็ยังมีวิธีทำงานในแบบของตัวเองเสมอ และมีอิทธิพลต่อสโมสรและเพื่อนร่วทีมเสมอ อย่างเช่นครั้งหนึ่งที่เขาเจ็บยาวและอยู่ในช่วงพักฟื้น เจ้าตัวก็ใช้เวลาเป็นเหมือนพี่ใหญ่ในทีม คอยไปพูดคุยกับนักเตะหลาย ๆ คนโดยเฉพาะคนที่มีปัญหา เพื่อให้คำแนะนำ และช่วยเหลือให้ทุกอย่างเป็นไปในทางบวกมากขึ้น
"ตอนนั้นผมใช้เวลาไปกับการพูดคุยกับนักเตะในทีมบางคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้เล่นมากนัก และนักเตะที่ดูไม่มีความสุข อย่างน้อยผมก็คิดว่า ผมได้พยายามที่จะช่วยเหลือและเคียงข้างทีม เพื่อที่เราจะได้มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน มีทัศนคติตรงกันตอนลงสนาม ผมพยายามทำให้ทุกคนทั้งนักเตะและทีมงานโค้ชได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี" รอยส์ กล่าวตอนเจ็บยาวในช่วงเดือนมกราคมปี 2018 ซึ่งหลังจากนั้น เขาก็กลับมามีร่างกายที่แข็งแรง มีฟอร์มที่สุดยอด จนสามารถเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมชาติเยอรมันในฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งเป็นฟุตบอลโลกหนแรก (และอาจเป็นหนเดียว) ของเขาได้สำเร็จ
ไม่ว่าคุณจะถามใครที่อยู่รอบตัวเขา ทุกคนล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า มาร์โก รอยส์ คือบุคคลทรงคุณค่าของทีมเสมอไม่ว่าในบทบาทไหนก็ตาม ตอนนี้ในวัย 35 ปี เขาได้ลงเล่นเกมสุดท้ายกับต้นสังกัดที่เขารักที่สุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนาน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ "ความสุข" ในการทำงานของเขา มาร์โก รอยส์ เป็นเช่นนั้นเสมอมา และมันจึงทำให้เขาสร้างเรื่องราวในแบบที่แตกต่างออกไปจากนักเตะหลายคน เขาแสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่ได้วัดจากถ้วยรางวัลที่เขาได้รับ แต่มันคือผลกระทบที่เขามีต่อผู้เล่นคนอื่น ๆ ในทีมต่างหาก
ครั้งหนึ่งในปี 2012 เขาเคยถูกสื่ออย่าง บิลด์ สัมภาษณ์ว่า ถ้าไม่ได้เป็นนักฟุตบอลเขาอยากเป็นอะไร ? ฟังดูเป็นคำถามง่าย ๆ แต่คำตอบของ รอยส์ ก็ขมวดจบเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม
"เดิมทีผมเคยมีแพชชั่นและหลงไหลในการเป็นนักบิน ผมอยากเป็นนักบินมาตั้งแต่เด็ก แล้วมันเป็นอีกฝันของผม และมันก็ยังคงเป็นอยู่ในตอนนี้" รอยส์ กล่าวก่อนจะถูกถามว่าแล้วทำไมถึงเลือกเป็นนักฟุตบอล ? ... เขาตอบกลับว่า
"ผมอยากเป็นนักบิน ก็เพราะว่าได้เห็นโลกกว้าง ได้สัมผัสวัฒนธรรมที่แตกต่าง มันเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลใช่มั้ยล่ะ ? แต่คุณเชื่อเรื่องของแรงดึงดูดไหม บางสิ่งพาผมมาที่โลกของฟุตบอล และผมไม่คิดว่าผมจะตัดสินใจผิด หรือผิดหวังที่เลือกอาชีพนี้ ... ผมรักอาชีพที่สุด ๆ และผมคิดว่าฟุตบอลคืองานที่ดีที่สุดในโลกนี้สำหรับผม" รอยส์ ว่าเช่นนั้น
เมื่อคุณทำงานที่รักอย่างมีเกียรติ ทุกคนก็จะให้เกียรติและชื่นชมคุณเป็นสิ่งตอบแทน ... นี่คือสิ่งที มาร์โก รอยส์ ให้ และ ได้ จากฟุตบอลอย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง
https://www.goal.com/en/lists/marco-reus-europe-unluckiest-footballer-borussia-dortmund-fairy-tale-ending-champions-league-final/bltba4f5a304d474aa6#cs064a8264360afca4
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/farewell-marco-reus-the-story-of-a-borussia-dortmund-legend-27298
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/marco-reus-10-things-borussia-dortmund-germany-new-contract-5396
https://www.bookey.app/quote-author/marco-reus
https://www.bundesliga.com/en/news/Bundesliga/marco-reus-on-borussia-dortmund-injury-germany-world-cup-joachim-low-467840.jsp