ในวันที่ มูรินโญ่ รับงานคุมทีมกับ โรม่า และพาทีมประสบความสำเร็จคว้าเเชมป์แรกในรอบ 15 ปี ของสโมสร ท่ามกลางการเข้าไปนั่งในหัวใจของแฟนบอล "โรมานิสต้า" พาลทำให้ใคร ๆ ต่างคิดว่านี่จะเป็นงานที่เหมาะกับเขาที่สุดในรอบหลายปี และเขาจะอยู่กับทีมหมาป่าแห่งกรุงโรมไปอีกยาวนาน ลบสถิติแย่ ๆ ที่บอกว่าเขาไม่เคยอยู่ที่ไหนเกิน 3 ปีได้เลยตลอดอาชีพของเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อย่างเข้าสู่ปีที่ 3 แชมป์ ยูฟ่า คอนเฟอร์เรนซ์ ลีก และการเข้าชิงยูโรป้า คัพ เมื่อซีซั่นที่แล้ว ก็ไม่สามารถการันตีอะไรได้ มูรินโญ่ โดนปลดฟ้าฝ่าจาก โรม่า
เรื่องดังกล่าวมันเกิดขึ้นจากอะไร เพราะตัวของเขา "เรื่องเยอะ" ดังข่าวลือ หรือเป็นเพราะเขาไปเหยียบตาปลาใครในตำแหน่งบริหารหรือไม่ ? ... เรามีคำตอบ
คนแบบนี้
ประการแรกที่เราต้องรู้ก่อนว่า มูรินโญ่ เป็นโค้ชสไตล์ไหน และเรื่องนี้ก็ไม่ได้คาดเดาอะไรยากนัก นับตั้งแต่ที่กุนซือชาวโปรตุกีส สร้างชื่อเขย่ายุโรปในปี 2004 เขาก็แสดงคาแร็คเตอร์ของตัวเองออกมาอย่างเปิดเผย
เขาเชื่อมั่นในตัวเอง มีวาทะศิลป์ที่แซ่บอย่าบอกใคร และที่สำคัญคือเขาเป็นคนที่ยอมหักไม่ยอมงอ เมื่อใดก็ตามที่แนวทางการทำทีมของเขา ไม่ตรงกับแนวทางของสโมสร มูรินโญ่ ไม่ใช่คนที่จะทน แต่เป็นคนที่เลือกที่หักด้ามพร้าด้วยเข่าแบบไม่เกรงใจใคร จะออกเองหรือโดนไล่ออกก็ได้ทั้งนั้น เขาไม่แคร์ เพราะเขาเชื่อว่าตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ
การเป็น "คนแบบนี้" ไม่ใช่เรื่องผิด และบ่อยครั้งมีคำชมถึงเขาด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่ มูรินโญ่ การันตีให้กับแทบทุกทีมของเขา(นอกจาก สเปอร์ส) คือ "ถ้วยรางวัล"
กลับกันคือการเป็น "คนแบบนี้" ก็สุ่มเสี่ยงต่อหน้าที่การงานของเขาเหมือนกันในวันที่เขาไม่ได้ประสบความสำเร็จ ไม่มีแชมป์ และพาทีมเผชิญช่วงเวลาแย่ ๆ เพราะ เมื่อไร้ถ้วยรางวัล มูรินโญ่ ก็เหมือน อัศวินที่ไร้ชุดเกราะ คนที่เขาเคยผิดใจด้วย หรือมีแนวทางความคิดไม่ตรงกัน ก็พร้อมจะใช้ช่วงเวลาที่ มูรินโญ่ ไร้เกราะนั้น "เล่นงาน" เขาเสมอ
กับ เชลซี รอบแรกเขาได้ใจแฟน เชลซี ทุกคน แต่เมื่อซีซั่นที่ 3 มาถึง เขาพาทีมเสียสถิติไม้แพ้ใครในบ้านที่ตัวเองเคยทำไว้ที่ 64 นัด ตามด้วยการโดนวิจารณ์ว่าคุณภาพเกมที่ตกต่ำ "น่าเบื่อ" และสุดท้ายของท้ายสุด โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีม "ไม่พอใจเขาเป็นการส่วนตัว" ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันจากสื่อแทบทุกเจ้าว่าทั้ง 2 คนมีปัญหากัน ช่วงเวลาที่ไร้เกราะ มูรินโญ่ ก็โดนปลดอย่างสุดช็อค
ไม่ใช่กับ เชลซี เท่านั้น กับงานที่อื่น ๆ ของเขาก็มีการแยกทางในกรณีคล้าย ๆ กัน กับ เรอัล มาดริด ในวันที่ฟอร์มเริ่มตก และมีข่าวว่าทีมแตกจากการที่นักเตะสเปน และนักเตะโปรตุเกสแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ประกอบกับเขาถูก บาร์เซโลน่า ยุค "มหาเทพ" กลบรัศมี มูรินโญ่ ก็โดนปลดออก
กับ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากพาทีมจบฤดูกาลที่ 2 แบบไร้ถ้วย พร้อมกับข่าวลือเสียหายเรื่องทีมแตกเล่นงานเขาอีกครั้ง ผลงานแย่ คุมห้องแต่งตัวไม่อยู่ สุดท้าย มูรินโญ่ ก็เป็นต้องโดนปลด ซึ่งทันทีที่ มูรินโญ่ โดนปลด ก็มีสิ่งที่บ่งชี้ชัด ๆ ว่าเขามีปัญหากับลูกทีมคือ ปอล ป็อกบา ซีเนียร์ของทีมลงรูปใน IG ด้วยท่าอมยิ้มทันทีหลังจากที่ข่าว OFFICIAL ปลด มูรินโญ่ ออก ... แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มองจากดาวอังคารก็ดูออก
กับ สเปอร์ส เขาอยู่ไม่จบซีซั่น ครึ่งซีซั่นแรกเขาทำทีมดีจนได้รับคำชม พาทีมเข้าชิง คาราบาว คัพ แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าเขาทะเลาะกับบอร์ดบริหาร และประจวบเหมาะกับช่วงที่ทีมฟอร์มตกพอดี มูรินโญ่ ก็โดนปลดออกก่อนนัดชิง คาราบาว คัพ จะเริ่มเพิ่งไม่กี่วัน
และท้ายที่สุดกับ โรม่า หลังจากพาทีมเข้าชิงบอลยุโรป 2 ปี ซ้อน ปีนี้เขาทำทีมตกไปอยู่อันดับ 9 แทบหมดลุ้นสิ่งที่บอร์ดบริหารตั้งความหวังไว้ จากนั้นเขาก็โดนปลดออกหลังผ่านครึ่งซีซั่นไม่นิดเดียว
ว่ากันว่าเบื้องหลังคือเหล้าเก่าในขวดใหม่ มูรินโญ่ ทะเลาะกับเจ้าของทีมชาวอเมริกัน ก่อนเขาโดนปลดมีการโทรศัพท์คุยกันราว 25 นาที จากนั้นการตัดสินทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่นักเตะในทีมยังรู้ข่าวนี้ก่อนจะออกสื่อไม่ถึง 1 ชั่วโมงด้วยซ้ำ
จะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่ มูรินโญ่ ออกจากทีมที่เขาคุม ปัญหามักจะเกิดขึ้นพร้อมกันเสมอ ไม่ว่าจะในหรือนอกสนาม มันเป็นช่วงเวลาที่แฟน ๆ แบ่งเป็น 2 ฝั่ง แตกต่างกับวันแรก ๆ ที่ใครก็รัก มูรินโญ่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น มันคือช่วงเวลาที่ชอบธรรมพอที่เขาจะโดนไล่ออก
จากสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ "ปีที่ 3" ดูจะเป็นช่วงเวลาที่สุกงอมของหลาย ๆ เรื่อง เช่นการสั่งสมศัตรูภายในของเขา 3 ปีกับชีวิตการทำงานทำให้เขารู้ไส้รู้พุงคนในองค์กร และคนในองค์กรก็รู้ไส้รู้พุงเขาเช่นกัน ดังนั้นต่างคนก็ต่างตั้งธงถึงอีกฝ่ายได้แล้วว่าคนนี้เป็นมิตรหรือศัตรู คนนี้ควรจะห่าง หรือเข้าใกล้
และ 2 คือเงื่อนไขที่เรียกว่าวัฎจักรของฟุตบอล ไม่มีทีมไหนประสบความสำเร็จได้ตลอด ทุกทีมจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในการผลัดใบ หรืออย่างน้อยก็การหลุดจากช่วงอิ่มตัวจากความสำเร็จ
ชัดเจนจริง ๆ ว่าบุคลิกของเขามีผลต่อการทำงาน ไม่สามารถอยู่ที่ไหนได้ยาวเท่าไรนัก ต่อให้เขาจะทำให้แฟนบอลรักขนาดไหน แต่การเป็นกุนซือที่มีข้อเรียกร้องต้องการสิ่งที่ดีที่สุดจากบอร์ดบริหารแบบ "ต้องได้" ก็ทำให้เขาเกิดปัญหาในการทำงานอยู่เรื่อยมา
ครั้นจะให้เขาเปลี่ยนนิสัยใจคอ สร้างคาแร็คเตอร์เป็นกุนซือที่ได้ครับนายสบายครับท่าน คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาโตมาด้วยคาแร็คเตอร์ยอมหักไม่ยอมงอนี้มาตั้งแต่หนุ่ม ๆ เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเพราะความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ ดังนั้น มูรินโญ่ จะเป็นอย่างนี้ต่อไป... ถ้าให้ทำงานปีที่ 3 แบบทรมานและฝืนตัวเอง สู้ออกมาอยู่ที่ ๆ ที่ตัวเองต้องการไม่ดีกว่าหรือ กุนซืออย่าง มูรินโญ่ มีทางเลือกเสมอ และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ทนเมื่อเจอกับช่วงเวลาที่ไม่ใช่อย่างแน่นอน ... นี่แหละคนอย่าง มูรินโญ่
ไม่ถึง 3 ปีแล้วยังไงต่อ ?
ก่อนจะโดน โรม่า ไล่ออกไม่กี่วัน มูรินโญ่ ส่งสัญญาณและพูดถึงตัวเองว่า เขายังคงเป็นกุนซือที่เฉียบคมในแง่ของความคิด และยังเป็นคนที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน โดยเขาพูดถึงเรื่องนี้ว่า
“ผมอยู่ที่นี่มาสองปีห้าเดือนแล้ว และผมเป็นคนเดียวที่นี่ที่ไม่พลาดการฝึกซ้อมแม้แต่ครั้งเดียว” มูรินโญ่กล่าว
“สำหรับผมไม่มีการลาป่วยทั้งด้านร่างกายหรือจิตใจ เป็นเวลาสองปีครึ่งที่ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด แม้แต่สองสามสัปดาห์ก่อนตอนที่ทุกคนจะป่วยด้วยซ้ำ"
“ผมไม่ยอมรับหากมีใครจะมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นมืออาชีพของผม... ถ้ามีตัวอย่างความเป็นมืออาชีพที่สมบูรณ์แบบ นั่นก็คือผมเอง จะบอกอะไรให้ผมไม่เคยพลาดการคุมทีมเลยแม้แต่นัดเดียวตลอดอาชีพการงานกว่า 20 ปี ”
จากประโยคดังกล่าวคุณเข้าใจได้ทันทีว่า มูรินโญ่ ไม่เคยหมดไฟไปจากฟุตบอล เขายังคงกระหายความสำเร็จ และเชื่อว่าตัวเองมีดี ไม่ใช่โค้ชตกรุ่นอย่างที่ใคร ๆ ว่ากัน ... คนอื่นจะคิดอย่างไรไม่รู้แต่นั่นคือในความคิดของเขา
เชื่อว่าจบจากงานที่โรม่า เขาก็จะมีงานต่อไปรออยู่อีกไม่นาน เพียงแต่ว่าตอนนี้ มูรินโญ่ ต้องยอมรับว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นกุนซือขึ้นหิ้งที่ทีมใหญ่ ๆ จะต้องง้อ พูดง่าย ๆ เป็นกุนซือในระดับเดียวกับ เยอร์เก้น คล้อปป์, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ คาร์โล อันเชล็อตติอีกแล้ว
สิ่งที่ มูรินโญ่ ทำไม่ใช่ความกังวลว่าเขาจะทำอย่างไรให้ตัวเองทำงานอยู่ที่เดิมได้เกิน 3 ปี แต่มันเป็นการทำผลงานออกมาให้เหมือนกับที่ปากของเขาพูดว่าตัวเองยังคงเป็นหนึ่งในโค้ชที่ดีที่สุดให้ได้
เพราะที่สุดแล้วต้องอย่าลืมว่าในโลกฟุตบอลเวลานี้ การรอคอยชักจะน้อยลงทุกที คุณเหลือบมองทีมใหญ่คุณเองก็จะพบว่าแทบไม่มีทีมไหน ณ ตอนนี้ที่โค้ชคุมทีมเกินระยะเวลาที่ว่ามา นอกจากกุนซือที่เราได้ยกตัวอย่างไว้ในข้างต้น
บาร์เซโลน่า ใช้ ชาบี คุมทีมได้ 2 ปีกับอีก 2 เดือน, แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เอริค เทน ฮาก ใช้เวลา 1 ปีกว่า, บาเยิร์น มิวนิค ใช้ โทมัส ทูเคิล ยังคุมทีมไม่ถึงปี, เปแอสเช กับโค้ชใหม่อย่าง หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็เพิ่งเริ่มงาน ... คุณจะเห็นได้เลยว่าทุกทีมที่มีเป็นทีมระดับแถวหน้า และมีเป้าหมายที่การเป็นแชมป์ พวกเขาไม่มีเวลาให้กุนซือมากนัก และพวกเขาพร้อมจะเปลี่ยนโค้ชทุกครั้งที่เห็นทิศทางที่ดีกว่า ดังนั้นการคุมทีมน้อยกว่า 3 ปี ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หากเราพิจารณาจากเรื่องนี้จริง ๆ
แล้ว มูรินโญ่ จะไปถึงจุดนั้นได้อีกครั้งหรือไม่ ?
มูรินโญ่ เคยเป็นกุนซือระดับขึ้นหิ้งมาก่อนในช่วงสัก 10 กว่าปีที่แล้ว แล้วเขาจะกลับมาถึงจุดนั้นได้อีกไหม ?
สิ่งที่หลายคนพูดถึง มูรินโญ่ คือกุนซือประเภทที่ต้องมีทีมที่มีคุณสมบัติพร้อมในระดับหนึ่ง เพราะเขาเป็นกุนซือที่เน้นเรื่องผลลัพธ์, เข้มข้นเรื่องการวางกลยุทธ, เด็ดขาดในการตัดสินใจ และนักสร้างแรงบันดาลใจให้นักเตะอยากประสบความสำเร็จ ... ถ้าเขามีนักเตะที่ดี เราต่างก็เห็นแล้วว่าเขาทำอะไรได้บ้าง
แต่ปัญหาคือตอนนี้งานที่ มูรินโญ่ รับดูเหมือนจะลดเกรดลงเรื่อย ๆ ในแง่ของคุณภาพนักเตะดังนั้นงานที่เขารับหลังจากนี้ก็อาจจะขัดกับสไตล์การทำทีมแบบสำเร็จรูปของเขาอยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตามก็ใช่ว่า มูรินโญ่ จะหมดหวังในการกลับมาเป็นกุนซือแถวหน้าอีกครั้ง เพราะก่อนหน้าก็มีตัวอย่างเช่น คาร์โล อันเชล็อตติ เป็นต้น ช่วงเวลาหนึ่ง อันเชล็อตติ ก็ลดเกรดจากการคุมทีมแถวหน้าไปคุมทีมอย่าง นาโปลี และ เอฟเวอร์ตัน แต่สิ่งที่ อันเชล็อตติ ทำคือการพิสูจน์ตัวเองว่า ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหน เขาเป็นนักแก้ปัญหาชั้นดี ไม่ใช่นักสร้างปัญหาเพิ่มเติม
ยกตัวอย่างเช่นที่ เอฟเวอร์ตัน ด้วยคุณภาพทีมระดับนั้นแถมมีงบซื้อตัวนักเตะไม่มาก อันเชล็อตติ ก็ใช้วิธีวิเคราะห์จากนักเตะที่มีเพื่อหากลยุทธที่เหมาะสมต่อกำลังพลมากที่สุด โดยไม่สร้างข้อเรียกร้องกับบอร์ดบริหารหรือร้องขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เรียกง่าย ๆ ว่า อันเชล็อตติ ยืดหยุ่นการทำงานของเขา ไม่ติดอยู่กับสไตล์ใดสไตล์หนึ่ง จากนั้นเขาก็พาเอฟเวอร์ตันเกาะหัวตาราง ทำผลงานให้คนได้เห็นว่าเขายังมีของ ซึ่งในที่สุด อันเชล็อตติ ก็กลับมารับงานกับสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง เรอัล มาดริด และประสบความสำเร็จในวันนี้อีกครั้ง
จากตัวอย่างของ อันเชล็อตติ อย่างแรก มูรินโญ่ ต้องเป็นนักแก้ปัญหาก่อนนักสร้างปัญหาให้ได้ งานที่เขาจะได้รับต่อจากนี้แน่นอนว่าจะไม่ใช่ทีมระดับแถวหน้าแน่นอน ดังนั้นเขาจะต้องงัดทุกสิ่งที่มีออกมาใช้ให้หมดทั้งด้านกุลยุทธ์ จิตวิทยา และการบริหารจัดการคน
มูรินโญ่ จะต้องระลึกเสมอว่าเขาเป็น "ลูกจ้าง" ที่องค์กรจ้างมาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่มาชี้ปัญหาในทีมที่ตัวเองเห็นและเรียกร้องความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็พร้อมจะแตกหักทันที ... จริงอยู่ที่เขาเคยทำแบบนี้ได้ในวันที่เขามีชื่อเสียงถึงขีดสุด แต่วันนี้สถานะของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
ช่วงเวลาหลังจากนี้จะเป็นการพิสูจน์ตัวเองของเขา เรื่องการคุมทีมไม่เกิน 3 ปี คงไม่มีใครเพ่งเล็งเขาอีกแล้วด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด แต่สิ่งที่ทุกคนอย่างรู้คือ "สเปเชี่ยล วัน" อย่าง มูรินโญ่ จะกอบกู้ชื่อเสียงของเขากลับมาด้วยวิธีไหนกันแน่ ... ตำนานบทนี้จะสานต่อ หรือถูกปิดตัวลง มีเพียงแค่ มูรินโญ่ เท่านั้นที่รู้คำตอบ
แหล่งอ้างอิง :
https://www.espn.co.uk/football/story/_/id/39299129/roma-coach-jose-mourinho-compares-harry-potter
https://www.heraldnews.com/story/news/local/ojornal/2023/05/26/what-is-jos-mourinho-saying-about-himself-these-days-both-as-a-coach-and-an-individual/70260380007/
https://www.storiesbyarvind.com/blog/my-fascination-with-the-jose-mourinho-style-of-leadership
https://www.goal.com/en/lists/revealed-jose-mourinho-leave-roma-immediately-impromptu-meeting-american-owners-daniele-de-rossi/blt98e9ae9190ffd05e