Feature

เมื่อครั้งหนึ่งเรนเจอร์ส เคยเกือบตกรอบวินเนอร์ส คัพ เพราะผู้ตัดสินไม่แม่นกฎ | Main Stand

ณ ช่วงเวลาที่ฟุตบอลกำลังเดินหน้าด้วยเทคโนโลยี กฎใหม่ ๆ วิธีการเล่นใหม่ ๆ  เพิ่มเข้ามา ความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น และบางครั้งผู้ตัดสินก็ไม่ได้แม่นกฎเสมอไป จนนำไปสู่ความผิดพลาดของการตัดสิน

 

ที่มีตั้งแต่ความผิดพลาดเล็กน้อย จนไปถึงผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ส่งผลต่อการแข่งขัน แต่ครั้งหนึ่งในฟุตบอลเคยมีการตัดสินผิดพลาดที่เกือบทำให้ทีมตกรอบมาแล้ว 

โดย เรนเจอร์ส ทีมดังจากสก็อตแลนด์ เคยเป็นหนึ่งในเหยื่อที่เคยเกือบจบเส้นทางบนเวทีฟุตบอลยุโรปด้วยข้อผิดพลาดจากการตัดสิน แต่บางครั้งฟุตบอลก็เหมือนบทหนังดราม่าสักเรื่องหนึ่ง ที่มีคนเขียนบทไว้อย่างดี จากผลการแข่งขันที่ตัดสินให้พวกเขาตกรอบ สู่การกลับคำตัดสิน ให้เรนเจอร์สได้เดินหน้าต่อ และไปถึงแชมป์

เกิดอะไรขึ้นบ้างกับ เรนเจอร์สใน ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1971-72 ติดตามเรื่องราวนี้ได้ที่ Main Stand

 

ช่วงเวลาที่ฟุตบอลเกิดการเปลี่ยนแปลง

เหตุการณ์ความผิดพลาดครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นในยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ฤดูกาล 1971-72 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฟุตบอลเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นั่นคือ การเพิ่มกฎการยิงจุดโทษเข้ามา โดยแต่เดิมนั้นในฟุตบอลถ้วยหากเสมอกันในเวลา 90 นาที จะต้องเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษ (Extra Time) อีก 30 นาที และหากยังหาผู้ชนะไม่ได้จะต้องตัดสินด้วยการโยนเหรียญเสี่ยงดวง 

แต่การตัดสินด้วยการโยนเหรียญมีข้อกังขามากเกินไป เพราะเคยเกิดความไม่โปร่งใส่ในการตัดสิน ที่โดยปกติแล้วผู้ตัดสินและตัวแทนจากทั้ง 2 ทีม จะต้องมายืนพร้อมหน้ากันบริเวณกลางสนาม เพื่อโยนเหรียญ และให้แฟนบอลลุ้นไปพร้อม ๆ กัน แต่ครั้งหนึ่งกลับมีเหตุการณ์การโยนเหรียญตัดสินที่ไปโยนกันในอุโมงค์ มีเพียงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เห็นจังหวะการโยนเหรียญ ทำให้กฎข้อนี้ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสในการตัดสิน

ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลระดับชาติมีเพียงรายการเดียวเท่านั้นที่ได้ใช้กฎการโยนเหรียญในการตัดสิน คือ ฟุตบอลยูโร 1968 รอบรองชนะเลิศระหว่างอิตาลีและสหภาพโซเวียต หลังจบ 120 นาที พวกเขาเสมอกัน 0-0 และในช่วงโยนเหรียญตัดสินเป็นอิตาลีที่ดวงดีกว่า ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับยูโกสโลวาเกีย และอิตาลีก็คว้าแชมป์ยูโร 1968 มาครองได้สำเร็จ

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ปี 1970 IFAB ได้ปรับเปลี่ยนกฎอีกครั้ง เพราะคำนึงถึงความสำคัญของเกมการแข่งขันระดับชาติที่ไม่ควรมาตัดสินด้วยการโยนเหรียญ และความไม่โปร่งใสที่เคยเกิดขึ้น จนเกิดเป็นกฎการดวลจุดโทษในที่สุด

หากเราไล่เรียงดูจากไทม์ไลน์แล้ว วินเนอร์ส คัพ 1971-72 คือ 1 ปี หลังจากที่ IFAB เพิ่มการยิงจุดโทษเข้ามา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ๆ สำหรับฟุตบอล จนนำไปสู่ความสับสนและเกิดเป็นความผิดพลาด

 

จุดโทษที่ไม่ควรเกิดขึ้น

ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ฤดูกาล 1971-72 ของ เรนเจอร์ส เปิดฉากขึ้น ในรอบแรก (32 ทีม) พวกเขาต้องพบกับ แรนส์ ทีมจากฝรั่งเศส ซึ่งในตอนนั้นเป็นทีมที่มีสไตล์การเล่นที่รวดเร็ว และเต็มไปด้วยเทคนิค ดังนั้น เรนเจอร์ส ในฐานะทีมเยือนจึงต้องใช้กลยุทธ์ตั้งรับเต็มสูบ เพื่อป้องกันการเข้าทำที่รวดเร็วของแรนส์ จนสามารถไปแบ่งแต้มกลับมาจากฝรั่งเศสได้ ด้วยสกอร์ 1-1

หลังจบเกมเลกแรก วิธีการเล่นของเรนเจอร์ส ดูจะไม่ค่อยถูกใจฝั่งของแรนส์ มากนัก โดยเฉพาะผู้จัดการทีมของแรนส์ “นั่นไม่ใช่ฟุตบอล มันเป็นการต่อต้านฟุตบอล พวกเขามาที่นี่เพื่อหยุดพวกเราเล่นฟุตบอล เราจะไปที่กลาสโกว์แล้วแสดงให้เห็นว่าฟุตบอลควรเล่นยังไง”

แต่ความต้องการของแรนส์ก็ไม่เกิดขึ้น พวกเขาบุกมาแพ้เรนเจอร์ส ที่ไอบร็อกซ์ 1-0 จากการทำประตูชัยของ อเล็กซ์ แมคโดนัลด์ ผลรวม 2 นัด เรนเจอร์ส เอาชนะแรนส์ไปได้ 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย

ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เรนเจอร์ส ต้องมาเจอกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ทีมดังจากโปรตุเกสและเป็นหนึ่งในทีมเต็งลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนั้น เกมเลกแรก 20 ตุลาคม ปี 1971 เป็นฝั่งเรนเจอร์สที่ต้องเล่นในบ้านก่อน และพวกเขาก็เริ่มต้นเกมได้ดีมาก ๆ เพราะสามารถทำประตูขึ้นนำ สปอร์ติ้ง ลิสบอน 3-0 ได้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของเกม โอกาสที่จะเก็บชัยชนะในบ้านด้วยผลสกอร์ที่ห่างมีสูงมาก 

ครึ่งหลังเป็นฝั่งลิสบอนที่เล่นได้ดีกว่าจนทำประตูตีตื้นขึ้นมาได้ 3-2 แต่ก็ไม่ทันเวลา จบเกมด้วยสกอร์นี้ไป แม้เรนเจอร์สจะเก็บชัยชนะไปได้ แต่ผลต่างประตูได้เสียจาก 3-0 เป็น 3-2 นั้นให้ความรู้สึกต่างกันลิบลับ เพราะลิสบอนคือในหนึ่งทีมที่แข็งแกร่งมาก ๆ ในช่วงเวลานั้น ระยะห่างเพียง 1 ประตูคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะต้องกลับไปเล่นในบ้านตัวเอง

และเหตุการณ์ความวุ่นวายทั้งหมดก็เกิดขึ้นในนัดนี้ เกมเลกสอง 3 พฤศจิกายน ปี 1971 เรนเจอร์สต้องไปบุกเยือน สปอร์ติ้ง ลิสบอน แต่พวกเขากลับต้องเจออุปสรรคตั้งแต่การเดินทางเพราะสภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้เที่ยวบินดีเลย์ แต่ในที่สุดก็สามารถขึ้นบินได้ และเรนเจอร์ส ก็เดินทางไปถึงเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เพียง 3 ชั่วโมงก่อนถึงเส้นตายเรื่องเวลาของยูฟ่า

สนามเอสตาดิโอ โชเซ อัลวาเลเด รังเหย้าของสปอร์ติ้ง ลิสบอน เป็นหนึ่งในสนามที่เต็มไปด้วยบรรยากาศสุดบ้าคลั่งของเหล่าแฟนบอลหลายหมื่นชีวิต ที่พร้อมใจกันส่งเสียงเชียร์ ตีกลอง และจุดพลุไฟ เพื่อข่มขวัญผู้มาเยือนให้รู้ว่าที่นี่เป็นเหมือนดั่งนรกแค่ไหน และดูเหมือนว่าสารของเหล่าแฟนบอลจะส่งไปถึงนักเตะทุกคน เพราะทีมเจ้าบ้านสามารถทำประตูออกนำเรนเจอร์สไปได้ก่อน 1-0 ในนาที่ 25 จาก เฮคเตอร์ ยาซัลเด แต่เพียง 1 นาที เรนเจอร์สก็ทวงประตูคืนได้ไวจาก โคลิน สไตน์

เกมเปิดแลกกันอย่างดุเดือดมาก จาก 2-1 กลายเป็น 2-2 ในช่วงท้ายครึ่งแรก สกอร์นี้ยืดเยื้อมาจนถึงช่วงท้ายเกม และหากจบแบบนี้ เรนเจอร์ส จะเป็นทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป แต่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ไม่ยอมให้เกิดขึ้นง่าย ๆ พวกเขาทำประตูพลิกขึ้นนำได้อีกครั้ง 3-2 ในนาทีที่ 86 จากการทำประตูของ เปโดร โกเมส สกอร์รวม 5-5 ยื้อชีวิตให้ไปสู้กันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ในนาทีที่ 100 วิลลี่ เฮนเดอร์สัน ยิงตีเสมอให้เรนเจอร์สได้ 3-3 สกอร์รวม 5-6 โอกาสในการเข้ารอบเปิดกว้างสำหรับเรนเจอร์ส จอห์น เกร็ก หนึ่งในกองหลังของทีมกล่าวถึงช่วงเวลาในการต่อเวลาพิเศษในครั้งนั้นไว้ว่า “มันกลายเป็นสถานการณ์ที่กดดันของพวกเรา พวกเราพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการเสียประตู และรักษาสกอร์ไว้ให้ได้ แต่พวกเขาก็ทำประตูนั้นได้” 

เป็นอีกครั้งที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอนไม่ยอม นาทีที่ 115 เปเรส ทำประตูให้เจ้าบ้านขึ้นนำ 4-3 สกอร์รวมเสมอกัน 6-6 ผู้ตัดสินชาวดัตช์ ลอเรนส์ ฟาน เรเวนส์ เป่านกหวีดยาวหมดเวลาการแข่งขัน แล้วสั่งให้ผู้เล่นเข้าแถวเพื่อยิงจุดโทษ

การดวลจุดโทษในครั้งนั้นถือเป็นฝันร้ายสำหรับเรนเจอร์ส เพราะพวกเขาพลาดถึง 3 จาก 4 คน แต่ฝั่ง สปอร์ติ้ง ลิสบอนกลับไม่พลาดเลยสักครั้ง ส่งผลให้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เอาชนะเรนเจอร์ส ไปได้ สกอร์รวม 6-6 (ดวลจุดโทษ 4-1) ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ 

แฟนบอลต่างตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า จนมีแฟนบอลจำนวนหนึ่งวิ่งกรูลงมาในสนาม ทำให้ผู้เล่นและสต๊าฟโค้ชของเรนเจอร์สต้องรีบวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว ส่วนเส้นทางในฟุตบอลยุโรปของเรนเจอร์สต้องยุติลงเพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย จอห์น มิลเลอร์ แฟนบอลรายหนึ่งของเรนเจอร์ส ที่ฟังการแข่งขันทางวิทยุ เล่าว่า “ผมนอนบนเตียงอย่างเศร้า ๆ เพราะรู้ว่าพวกเขาตกรอบแล้ว”

หลังจากที่ต้องพบกับความผิดหวังบรรดานักเตะและสต๊าฟโค้ชของเรนเจอร์ส ทำได้เพียงกลับไปนั่งเสียใจในห้องแต่งตัวและฟังเสียงการเฉลิมฉลองชัยชนะของลิสบอน แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหมดหวังกันอยู่นั้น จอห์น แฟร์กรีฟ ซึ่งเป็นนักข่าวได้ปรากฎตัวขึ้นในห้องแต่งตัวของทีมเยือน แล้วบอกว่า “พวกเขาต้องเป็นทีมที่ผ่านเข้ารอบ เพราะกฎการยิงประตูทีมเยือน (away goal)”

วิลลี่ จอห์นสตัน ปีกตัวจี๊ดของทีม ได้ออกมาเล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นผ่านยูทูปของสโมสรว่า “ผมจำได้ว่านั่งอยู่ในห้องแต่งตัว และก้มหัวลง แล้วนักข่าวก็เข้ามาพร้อมกับบอกว่าเราผ่านเข้ารอบ ทุกคนคิดว่าเราตกรอบไปแล้ว แม้แต่ผู้จัดการทีมของเรา แต่นักข่าวคนน้ันก็เข้ามาบอกว่าผู้ตัดสินเข้าใจผิด”

ขณะที่ ปีเตอร์ แม็กลอยด์ ผู้รักษาประตูของทีม เสริมถึงเรื่องราวในอดีตอีกว่า “มันคือความล้มเหลว ผู้ตัดสินไม่เข้าใจกฎประตูทีมเยือน พวกเราคิดว่าเกมจบแล้วตั้งแต่หมดเวลาพิเศษ แต่เขา (ผู้ตัดสิน) ไม่คิดอย่างนั้น”

ในความเป็นจริงแล้วเกมการแข่งขันนัดนี้ต้องจบลงตั้งแต่หมดเวลา 120 นาที ด้วยผลสกอร์ 6-6 เพราะเรนเจอร์สทำประตูในฐานะทีมเยือนได้ 3 ประตู ส่วนอีก 3 ประตูทำได้ในเกมเหย้า ในขณะที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอนทำประตูในเกมเยือนได้เพียง 2 ประตู และ 4 ประตูจากเกมเหย้า ด้วยกฎ away goal ทีมที่จะผ่านเข้าสู่รอบต่อไป คือ เรนเจอร์ส เพราะกฎนี้จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อจบทั้งสองเลกแล้วสกอร์เสมอกันอยู่ หากมีทีมที่ทำประตูในฐานะทีมเยือนได้มากกว่า ทีมนั้นจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ 

วิลลี่ วัดเดลล์ ผู้จัดการทีมเรนเจอร์ส ไม่พอใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของ ฟาน เรเวนส์ อย่างมาก จึงแจ้งเรื่องนี้ไปยังสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า เพื่อขอให้แก้ไขคำตัดสิน อังเดร รามิเรซ ตัวแทนของยูฟ่าทราบถึงความผิดพลาดในครั้งนี้ ก่อนจะรวบรวมทั้งผู้อำนวยการทีมและเจ้าหน้าที่การแข่งขัน เพื่อสอบสวนถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าผู้ตัดสินผิดพลาดจริง ๆ หรือไม่ ซึ่งทำให้ฝั่งทีมดังจากโปรตุเกส ไม่พอใจเช่นกัน

ประธานสโมสรของสปอร์ติ้ง ลิสบอน ต้องการให้ผู้อำนวยการฟุตบอลของทั้งสองทีมบินไปที่สำนักงานใหญ่ของยูฟ่า ที่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อหารือเรื่องนี้ และเพื่อปกป้องสิทธิ์ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ซ้ำยังส่งโทรเลขอีกสองฉบับไปยังยูฟ่าโดยมีเนื้อความอ้างว่าการตัดสินของผู้ตัดสินไม่ได้ผิดพลาด น่าจะไม่เป็นอะไร แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะยูฟ่าได้กลับคำตัดสินอย่างรวดเร็วให้เรนเจอร์สเป็นฝ่ายชนะ ทว่าก็ไม่เร็วพอที่จะให้บรรดาหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าแก้ไขผลการแข่งขันให้ถูกต้อง ซึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าของ Times พาดหัวข่าวเด่นเป็นสง่า ว่า “เรนเจอร์สแพ้จุดโทษ และสปอร์ติ้ง ลิสบอน ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ พบ โตริโน่”

สปอร์ติ้ง ลิสบอน ยังไม่ยอมให้จบแค่นั้น เพราะการกลับคำตัดสินแบบนี้หมายความว่าพวกเขาในฐานะทีมเต็งแชมป์จะต้องตกรอบ ดังนั้นสโมสรจึงส่งโทรเลขไปยังยูฟ่าอีกครั้ง เพื่อขอให้มีการรีแมตช์ แต่ยูฟ่าไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกแล้ว พร้อมกับมองว่าเหตุผลที่ลิสบอนขอรีแมตช์นั้นไม่เพียงพอ และการตัดสินให้เรนเจอร์สชนะคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เรนเจอร์ส ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ โตริโน่ จากอิตาลี

หลังจากนั้นหนังสือพิมพ์โปรตุเกสที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้ของสปอร์ติ้ง ขึ้นพาดหัวข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์รายวันว่า “ชัยชนะของสปอร์ติ้ง หรือ ความผิดพลาดซ้ำซ้อนของการตัดสิน” เป็นนัยยะของการไม่เห็นด้วยกับการตัดสินของยูฟ่า

 

จากตกรอบ สู่แชมป์

ความผิดพลาดที่เกิดจากการตัดสินในครั้งนั้นกลายเป็นเกราะป้องกันชั้นดีของเล่าบรรดานักเตะและสต๊าฟโค้ช เพราะพวกเขาเคยผ่านจุดที่แย่ที่สุดมากแล้ว จากการที่ได้รู้ว่าตัวเองตกรอบ แต่แล้วเหตุการณ์ก็กลับตาลปัตร จนเหมือนเป็นการจุดเชื้อไฟให้กับเรนเจอร์ส

พวกเขาตบเท้าเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศไปเจอกับโตริโน่ ที่ ณ เวลานั้นโชว์ผลงานใน เซเรีย อา อิตาลี ได้อย่างโดดเด่นด้วยการนำเป็นจ่าฝูงในลีก เลกแรกเรนเจอร์ส บุกไปยันเสมอด้วยสกอร์ 1-1 ส่วนในเลกที่สอง เรนเจอร์ส เปิดบ้านเอาชนะ โตริโน่ ไปได้ 1-0 สกอร์รวม 2-1 เรนเจอร์สผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ไปพบกับ บาเยิร์น มิวนิค ได้สำเร็จ 

ในเกมเลกแรกของรอบรองชนะเลิศ เรนเจอร์ส ยังคงรักษามาตราการเล่นในฐานะทีมเยือนได้ดีเหมือนเดิมบุกไปเสมอ “เสือใต้” ถึงเยอรมัน 1-1 ก่อนที่ในเลกที่สองเรนเจอร์ส จะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองจัดการล้มยักษ์เมืองเบียร์ได้ในบ้านตัวเองด้วยสกอร์ 2-0 จากการทำประตูของ แซนดี้ จาร์ดีน และ เดเร็ก พาร์เลน  

ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะผ่านบาเยิร์นไปได้ ด้วยขุมกำลังของทีมเสือใต้ในตอนนั้นที่เต็มไปด้วยนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์เบอร์ต้น ๆ ของโลก เช่น ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ กองหลังระดับขึ้นหิ้งของโลกลูกหนัง แกร์ด มุลเลอร์ กองหน้าระดับอัจฉริยะของเยอรมัน แต่พวกเขากลับพ่ายแพ้ให้กับเรนเจอร์สที่ไม่ได้มีนักเตะชื่อดังอยู่ในทีม มีเพียงแค่ใจที่สู้ พร้อมเผชิญหน้ากับทุกทีม

เรนเจอร์ส เดินหน้าสู่คัมป์ นู สังเวียนนัดชิงชนะเลิศ พบกับ ดินาโม มอสโก ทีมดังจากรัสเซีย ในวันที่ 24 พฤษภาคม ปี 1972 นี่เป็นโอกาสที่เรนเจอร์สจะได้แก้ตัวหลังจากที่พวกเขาเคยพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศให้กับ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อฤดูกาล 1966-67 จอห์น เกร็ก กัปตันทีมของเรนเจอร์ส กล่าวว่า “ผมรู้สึกเสียสติไปแล้ว ที่ได้เห็นเหล่าแฟนบอลของเรามากมาย ส่งเสียงเชียร์ให้เราชนะ มากเสียจนผมรู้สึกว่าภายในไม่กี่วินาทีเราต้องเขย่าคู่ต่อสู้ให้ได้ ”

เรนเจอร์ส เริ่มต้นในนัดชิงได้เหมือนฝัน เพราะพวกเขาขึ้นนำคู่แข่งไปได้ก่อนถึง 3-0 จากการทำ 2 ประตู ของ วิลลี่ จอห์นสตัน ในช่วงท้ายครึ่งแรกและต้นครึ่งหลัง ก่อนที่จะมาโดนตีไข่แตกได้ในนาที 60 และท้ายเกมนาที 87 กลายเป็น 3-2 ความกดดันตกมาอยู่กับฝั่งเรนเจอร์ส แต่พวกเขาใช้เรี่ยวแรงที่เหลือทั้งหมดฮึดสู้ และยันสกอร์ไว้ได้จนจบเกม เพราะเรนเจอร์สรู้ดีว่าความพ่ายแพ้ในนัดชิงนั้นเป็นอย่างไร ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีก

เรนเจอร์สคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1971-72 ได้สำเร็จ หลังจากที่เคยเกือบตกรอบ เพราะผู้ตัดสิน แต่เกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นหลังเกม เพราะมีแฟนบอลเรนเจอร์สกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูลงมาในสนาม แม้แต่นักเตะของฝั่งตัวเองยังต้องวิ่งหนีตาย วิลลี่ จอห์นสตัน ผู้ทำ 2 ประตูในนัดชิง พูดแซว โคลิน สไตน์ เพื่อนร่วมทีมของเขาว่า “นั่นเป็นครั้งเดียวที่ โคลิน สไตน์ วิ่งเอาชนะผมได้ เขาวิ่งเข้าอุโมงค์อย่างรวดเร็ว แต่ผมไม่สามารถออกจากสนามได้เพราะโดนแฟนบอลล้อมไว้” 

เรนเจอร์ส เดินทางกลับถึงสก็อตแลนด์และร่วมเฉลิมฉลองกับแฟน ๆ ด้วยการแห่ถ้วยรางวัลบนรถบรรทุกถ่านหินไปรอบ ๆ เมือง “เราเดินทางถึงสนามบิน และเห็นแฟน ๆ อยู่ทุกแห่งหนบนถนนสู่ไอบร็อกซ์ เราเฉลิมฉลองกันบนรถบรรทุกถ่านหิน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรา และมันพิเศษมาก ๆ” ปีเตอร์ แม็กลอยด์ ผู้รักษาประตูชุดแชมป์วินเนอร์ส คัพ กล่าว

ปัจจัยที่หลายคนมองว่าช่วยส่งให้ เรนเจอร์ส เถลิงบัลลังก์ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1971-72 ได้สำเร็จ คงหนีไม่พ้นโศกนาฎกรรมในเกม “โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้” ที่เป็นการพบกันระหว่างทีมในเมืองกลาสโกว นั่นคือ เรนเจอร์ส และ เซลติก เมื่อช่วงต้นปี 1971 ซึ่งมีแฟนบอลผู้เสียชีวิตจากการโดนทับถึง 66 ราย ซึ่งว่ากันว่าบรรดาแข้ง เรนเจอร์ส ชุดนั้นต้องการถ้วยรางวัลเพื่อรำลึกถึงแฟนบอลที่ไม่สามารถอยู่เห็นความสำเร็จของทีมได้อีกแล้ว

อย่างไรก็ดีในฤดูกาลถัดมาพวกเขาไม่สามารถลงเล่นเพื่อรักษาแชมป์ได้ เพราะเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในนัดชิงฯ ทำให้เรนเจอร์ส โดนยูฟ่าแบนจากการลุยฟุตบอลยุโรป 2 ปี ก่อนที่จะยื่นอุทธรณ์และลดเหลือ 1 ปี

 

เมื่อผู้ตัดสินไม่ได้แม่นกฎเสมอไป

กลับมาที่การตัดสินเจ้าปัญหาอีกครั้ง กฎประตูทีมเยือน (away goal) ถูกนำมาใช้ในวินเนอร์ส คัพ คร้ังแรกเมื่อฤดูกาล 1965-66 และบังคับใช้มาโดยตลอด แต่ในฤดูกาล 1971-72 มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปนั่นคือ การยิงจุดโทษ ผู้ตัดสิน ลอเรนส์ ฟาน เรเวนส์ อาจเข้าใจผิดเรื่องกฎการยิงจุดโทษ หรือลืมกฎประตูทีมเยือนไป แต่นั่นก็กลายเป็นการตัดสินที่ผิดพลาดที่สุดในอาชีพผู้ตัดสินของเขา 

ลอเรนส์ ฟาน เรเวนส์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน ปี 1922 ที่เมืองชีดาม (Schiedam) ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาเริ่มต้นเส้นทางในวงการฟุตบอลด้วยการเป็นนักฟุตบอลของทีม SVV Schiedam ทีมท้องถิ่นในเมืองชีดาม และผันตัวมาเป็นผู้ตัดสินเมื่ออายุ 26 ปี 

เขาไต่เต้าจากลีกระดับสมัครเล่น สู่การเป็นผู้ตัดสินอันดับต้น ๆ ของฮอลแลนด์ ฟาน เรเวนส์ ได้ลงตัดสินในเอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ ตั้งแต่ปี 1960-1972 นอกจากนี้ยังเป็นผู้ตัดสินเพียงคนเดียวที่ได้ทำหน้าที่ในรอบชิงชนะเลิศดัตช์ คัพ ถึง 3 ครั้ง และได้ลงตัดสินในฟุตบอล 1970 ที่ประเทศเม็กซิโก

ก่อนที่จะเกิดเหตุในวินเนอร์ส คัพ 1971-72 ฟาน เรเวนส์ เคยสร้างวีรกรรมมาก่อนแล้วในฟุตบอลโลก 1970 เกมระหว่างเยอรมันตะวักตก และโมร็อกโก เพราะเขาเป่านกหวีดให้เริ่มต้นเกมครึ่งหลัง โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าผู้รักษาประตูของโมร็อกโกยังไม่ได้อยู่ในสนาม “หากเยอรมันยิงประตูได้ในเวลานั้น ผมคงต้องขึ้นเครื่องบินลำถัดไปเพื่อกลับบ้านทันที” ฟาน ราเวนส์ กล่าวถึงความผิดพลาดของตัวเอง

“ผู้ตัดสินทุกคนทำผิดพลาด” ฟาน เรเวนส์ เปิดใจกับ Dutch Referee “การตัดสินโดยไม่มีข้อผิดพลาดนั้นเป็นไปไม่ได้ มีแฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่โกรธเคืองผม ผมได้รับจดหมายข่มขู่จากคนที่บอกว่าผมล้มเหลวในการตัดสิน มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ”

จากการตัดสินผิดพลาดในวินเนอร์ส คัพ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 1971 ครั้งนั้น ไม่มีใครรู้ว่า ฟาน เรเวนส์ ได้รับบทลงโทษอะไรบ้าง เพราะทางยูฟ่าไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้ แต่ถัดมาไม่ถึงปี ฟาน เรเวนส์ ตัดสินใจแขวนนกหวีด ในเดือน มิถุนายน ปี 1972 ด้วยวัย 50 ปี ยุติเส้นทางในอาชีพผู้ตัดสินของตัวเอง พร้อมทิ้งไว้ทั้งความสำเร็จและความผิดพลาด ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละทีมจะจดจำเขาในแง่มุมไหน

 

แหล่งอ้างอิง : 

https://backpagefootball.com/sporting-v-rangers-1972/14605/
https://worldreferee.com/referee/laurens_van_ravens
https://en.wikipedia.org/wiki/Laurens_van_Ravens
https://www.dutchreferee.com/lau-van-ravens-referees-makes-mistakes-thats-all-in-the-game/
https://www.theguardian.com/sport/blog/2014/sep/04/forgotten-story-rangers-1972-european-cup-winners
https://www.bbc.com/sport/football/52729553
https://www.followfollow.com/1158-2/
https://youtu.be/YoK0jnf0nOc?si=_dG8z-PQYl3DEKgB
https://ae.everythingforfootball.com/europe/uefa-cup-winners-cup-1971-72/results

Author

กมลธิชา จันทร์เอียด

หนูรู้สึกง่วงตลอดเวลา ยกเว้นตอนดู "ลิเวอร์พูล" ทีมรักของหนูลงแข่ง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ