ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าให้นึกถึงสโมสรประจำประเทศเนเธอร์แลนด์ ชื่อแรกที่ผู้คนต่างนึกถึงคงหนีไม่พ้น อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดเอเรดิวิซี่ 36 สมัยและแชมป์ยุโรป 4 สมัย
แต่หลังจากที่สโมสรได้ตกลงปล่อยตัวอดีตผู้จัดการทีมชาวเนเธอร์แลนด์อย่าง เอริค เทน ฮาก ให้กับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2022 ผลงานของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากทีมที่ครองสัมปทานคว้าแชมป์ลีกทุกปีในช่วงหลัง กลับกลายเป็นว่า ในฤดูกาล 2022-23 จบในอันดับที่ 3 ของตาราง คะแนนตามหลังทีมแชมป์อย่าง เฟเยนูร์ด มากถึง 13 คะแนน และยังเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี ที่สโมสรไม่สามารถคว้าโควต้าไปเล่นฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
และสถานการณ์ในปัจจุบันยิ่งย่ำแย่ไปมากกว่าเดิม เนื่องจากฤดูกาล 2023/24 อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เก็บชัยชนะได้เพียงนัดเดียวจากการลงสนามไปทั้งหมด 8 นัด อยู่อันดับสุดท้าย ของตาราง เก็บแต้มได้เพียง 5 คะแนน
เพราะเหตุใดผลงานในสนามของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในระยะหลังถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ติดตามรับชมพร้อมกันได้ที่นี่เลย
อาแจ็กซ์ กับชายที่ชื่อ เทน ฮาก
แม้ว่า อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม จะเป็นสโมสรที่คว้าแชมป์เอเรดิวิซี่ได้มากถึง 36 ครั้ง แต่ถ้าย้อนกลับไปในช่วงปี 2014-2018 อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้แม้แต่ครั้ง
เดียว โดยจบในอันดับที่ 2 ของทุกปีพลาดท่าให้กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และ เฟเยนูร์ด คว้าแชมป์ไปครอง โดยแบ่งเป็น พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น คว้าแชมป์ไป 3 สมัยในฤดูกาล 2014/15,2015/16, 2017/18 ส่วนทางด้าน เฟเยนูร์ด คว้าแชมป์ไปในฤดูกาล 2016/17
ถึงแม้ในฤดูกาล 2017/18 จะเป็น พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ที่คว้าแชมป์เอเรดิวิซี่ไป แต่การ เข้ามาคุมทีม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ของ เอริค เทน ฮาก ในช่วงกลางฤดูกาลนั้นเปรียบเสมือน แสงสว่างที่เข้ามาสู่ทีม
ผู้จัดการทีมชาวดัตช์รายนี้ เข้ามาปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นแตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจน โดยนำปรัชญาการทำทีมของสุดยอดตำนานอย่าง โยฮันน์ ครัฟฟ์ กลับมาใช้อีกครั้ง
ปรับเปลี่ยนแผนการเล่นมาเล่นในระบบ 4-3-3 และเล่นในสไตล์ฟุตบอลสมัยใหม่ที่เริ่มต้น เซ็ทบอลตั้งแต่ผู้รักษาประตูด้วยการต่อบอลตามช่องแบบเท้าสู่เท้า หรือเรียกอีกอย่างว่า การเล่นแบบบิวต์อัพ (Build-Up) และปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นเกมรับ ด้วยการให้ผู้เล่นแนวรับ ดันขึ้นสูงครึ่งสนามและให้ผู้เล่นแนวรุกวิ่งเข้าแย่งบอลคู่ต่อสู้แบบเพรซซิ่งเพื่อนำบอลกลับมาสู่ทีมให้ได้เร็วที่สุด
และอีกหนึ่งสิ่งที่ เอริค เทน ฮาก ถูกชื่นชมเป็นอย่างมากนั่นคือการที่เขาให้โอกาสกับผู้เล่น ดาวรุ่งในทีมได้ขึ้นมาโชว์ศักยภาพ จึงส่งผลให้ผู้คนได้รู้จักกับ "เด็กเทพอาแจ็กซ์" ในชุดนั้น
ประกอบไปด้วย เฟรงกี้ เดอ ยอง, มัทไธจส์ เดอ ลิกต์, ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค, ฮาคิม ซีเย็ค และ อองเดร โอนาน่า ที่ในต่อมาเติบโตกลายเป็นนักเตะชื่อดังของวงการฟุตบอลในปัจจุบัน
เด็กดาวรุ่งที่กล่าวมาข้างต้นเข้ามาผสมผสานกับแข้งวัยเก๋าของทีมอย่าง ดูซาน ทาดิช, ดาเลย์ บลินด์, นิโคลัส ตายาฟิโก้ และ คลาส ยาน ฮุนเตลาร์ โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง พา อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม กลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกครั้งในฤดูกาล 2018/19
และผลงานขึ้นหิ้งที่ทำให้ผู้คนต่างให้ความสนใจ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม นั่นคือการทะลุเข้าไปถึง รองรองชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการที่เอาชนะทีมยักษ์ใหญ่ทั้ง "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ในรอบ 16 ทีมและ "ม้าลาย" ยูเวนตุส ในรอบ 8 ทีม
ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม จึงไม่แปลกที่บรรดาทีมใหญ่ๆในยุโรปต่าง ให้ความสนใจในตัวนักเตะของทีม นักเตะดาวรุ่งชื่อดังของทีมถูกในชุดนั้น ถูกทีมใหญ่ ๆ ซื้อไป เกือบหมด เริ่มตั้งแต่ เฟรงกี้ เดอ ยอง ย้ายไป บาร์เซโลน่า ค่าตัว 86 ล้านยูโร, มัทไธจส์ เดอ ลิกต์ ย้ายไป ยูเวนตุส ค่าตัว 85.5 ล้านยูโร, ฮาคิม ซีเย็ค ย้ายไป เชลซี ค่าตัว 40 ล้านยูโร และ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 39 ล้านยูโร
ถึงแม้ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม จะปล่อยตัวผู้เล่นแกนหลักของทีมไปเกือบหมด แต่ดูเหมือนจะไม่ ส่งผลกระทบอะไรทั้งสิ้นกับทีมแม้แต่นิดเดียว เอริค เทน ฮาก นำเม็ดเงินที่ได้จากการขายนักเตะ ไปซื้อนักเตะเข้ามาใหม่หลายต่อหลายคนอาทิเช่น อันโตนี่, ลิซานโดร มาร์ติเนซ, เซบาสเตียน อัลแลร์, เอ็ดสัน อัลวาเรซ, โมฮาเหม็ด คูดุส, สตีเฟน เบิร์กฮุยส์ และ ดาวี่ คลาสเซ่น ที่กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง
และอีกหนึ่งจุดที่ควรชื่นชมคือเด็กเยาวชนในอคาเดมี่ของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่ได้รับโอกาส จาก เอริค เทน ฮาก ให้ขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ และไม่ทำให้ผู้จัดการทีมต้องผิดหวัง แม้ว่าเด็กดาวรุ่งรุ่นนี้ที่ถูกดันขึ้นมาจะไม่ได้โชว์ฟอร์มหวือหวาตระการตาเป็นที่โด่งดังได้เท่ากับ เด็กดาวรุ่งในรุ่นที่แล้ว แต่โดยรวมก็ถือว่าขึ้นมาเป็นแกนหลักให้กับทีมได้หลายคนอาทิเช่น ไรอัน กราเฟนแบร์ก, เจอร์เรียน ทิมเบอร์, นุสแซร์ มาซราอุย และ ไบรอัน บร็อบบีย์
เอริค เทน ฮาก สร้างทีม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม กลับมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานในลีก เอเรดิวิซี่ ได้อีกครั้ง เขาพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ได้ 4 ปีซ้อน และคว้าแชมป์บอลถ้วยในประเทศ ได้อีก 2 สมัย ด้วยผลงานการคุมทีมที่ยอดเยี่ยมของผู้จัดการทีมรายนี้ จึงเป็นสาเหตุให้ เอริค เทน ฮาก ถูกสโมสรยักษ์ใหญ่ในประเทศอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กระชากตัว ไปเป็นผู้จัดการทีมต่อจาก ราล์ฟ รังนิก
อาแจ็กซ์ ที่ไม่เหมือนเดิม
หลังจากที่ เอริค เทน ฮาก ตัดสินใจอำลา อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม บอร์ดบริหารได้ทำการแต่งตั้ง อัลเฟรด ชรอยเดอร์ อดีตผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ โรนัลด์ คูมัน สมัยตอนเป็นผู้จัดการให้กับ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า เข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมคนต่อไป
แต่สิ่งที่ อัลเฟรด ชรอยเดอร์ ต้องมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่ไม่น้อย คือการเสียนักเตะกำลังหลักในฤดูกาลที่แล้วไปเกือบครึ่งทีมเริ่มตั้งแต่ อองเดร โอนาน่า หมดสัญญาย้ายไป อินเตอร์ มิลาน,นุสแซร์ มาซราอุย หมดสัญญาย้ายไป บาเยิร์น มิวนิค, ไรอัน กราเฟนแบร์ก ย้ายไป บาเยิร์น มิวนิค ค่าตัว 20 ล้านยูโร, เซบาสเตียน อัลแลร์ ย้ายไป โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ค่าตัว 31 ล้านยูโร, ลิซานโดร มาร์ติเนซ ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 57 ล้านยูโร และ อันโตนี่ ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 95 ล้านยูโร
ซึ่งในรายสุดท้าย อัลเฟรด ชรอยเดอร์ แสดงอาการเซ็งและไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจทุ่มงบก้อนโตมูลค่าสูงถึง 95 ล้านยูโร เป็นสถิติค่าตัวซื้อขาย นักเตะแพงที่สุดของลีกเอเรดิวิซี่ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยากที่จะปฏิเสธ เม็ดเงินมูลค่าสูงขนาดนี้ได้ จึงยอมปล่อยตัว อันโตนี่ ไปร่วมทีมในช่วง 3 วันสุดท้ายก่อนเดดไลน์ ตลาดซื้อขายจะปิดตัวลง
โดย อัลเฟรด ชรอยเดอร์ ถึงขั้นออกมาให้สัมภาษณ์กับ Ziggo Sport สื่อภายในประเทศ เนเธอร์แลนด์ พูดเหน็บแนมไปถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไว้ว่า
"ยุคปัจจุบันเงินเข้ามาเกี่ยวข้องกับในทุกๆเรื่อง เช่นเดียวกับโลกของวงการฟุตบอล การซื้อขายนักเตะในทุกวันนี้ใช้เงินซื้อนักเตะกันเกินความพอดี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยควักเงินสูงถึง 73 ล้านปอนด์เพื่อซื้อตัว เจดอน ซานโช่ มาสู่ทีม หลังจากนั้น พวกเขาก็ยังทุ่มเงินสูงถึง 95 ล้านยูโร เพื่อซื้อ อันโตนี่ นักเตะที่เล่นในตำแหน่งเดียวกันกับ เจดอน ซานโช่ ไปร่วมทีมอีก พวกเขาคิดอะไรอยู่ พวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้เล่นที่ซื้อไปจะคุ้มค่า หรือไม่คุ้มค่า พวกเขารู้แค่ว่าจะทุ่มเงินเพื่อซื้อมาให้ได้ ผมรู้สึกเศร้าใจจริง ๆ และไม่เห็นด้วย กับหลายสิ่งในโลกของวงการฟุตบอล"
แม้ว่า อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2022/23 จะเสียนักเตะแกนหลักไปหลายต่อหลายคน แต่ทางบอร์ดบริหารก็นำงบส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายนักเตะนำมาให้ อัลเฟรด ชรอยเดอร์ ซื้อตัวผู้เล่นเข้ามาเสริมทีมเพื่อที่จะนำมาทดแทนผู้เล่นที่ย้ายออกจากทีมไป
อัลเฟรด ชรอยเดอร์ ใช้เงินในการซื้อนักเตะใหม่เข้ามาร่วมทีมสูงถึง 100 ล้านยูโร เริ่มจากซื้อตัว สตีเฟน เบิร์กไวน์, คาลวิน บาสซีย์, โอเว่น ไวจ์ดัล, ฆอร์เก้ ซานเชส, ฟรานซิสโก้ คอนไซเซา และ ไบรอัน บร็อบบีย์ อดีตเด็กเก่า
แต่ผลงานการคุมทีม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ของ อัลเฟรด ชรอยเดอร์ กลับไม่เป็นอย่างที่ คาดหวังไว้ เขาทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังชนะเพียง 12 นัด จากการคุมทีมทั้งหมด 26 นัด แถมยังได้สร้างสถิติที่ไม่น่าจดจำไว้อีกหนึ่งอย่างนั่นคือการที่ไม่สามารถคว้าชัยชนะได้ เป็นเวลา 7 นัดติดต่อกัน
หลังจากที่เขาคุมทีมพาต้นสังกัดไม่สามารถชนะใครได้ 7 นัดติดต่อกัน จึงเป็นสาเหตุให้ อัลเฟรด ชรอยเดอร์ ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทันที ทั้งที่เพิ่งจะได้รับโอกาสคุมทีมไปเพียง 6 เดือนเท่านั้น
และอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ อัลเฟรด ชรอยเดอร์ ต้องออกจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม นั่นคือการที่นักเตะในทีมต่างไม่มีความเชื่อมั่นในตัวของผู้จัดการทีมรายนี้ ทั้งเรื่องแนวทางการเล่นของทีมและผลงานในสนามที่สุดแสนจะย่ำแย่
อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เลือกที่จะผลักดัน จอห์นนี่ ไฮติงก้า ที่ในเวลานั้นทำหน้าที่ผู้จัดการทีม ชุดเยาวชนของสโมสรขึ้นมารับไม้ต่อจาก อัลเฟรด ชรอยเดอร์ ให้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราวจนจบซีซั่น
ผลงานการคุมทีมชุดใหญ่ของ จอห์นนี่ ไฮติงก้า เรียกได้ว่าดีในระดับหนึ่ง เขาคุมทีมไปทั้งหมด22 นัดเก็บชัยชนะได้มากถึง 14 นัด พาทีมจบในอันดับที่ 3 ของตาราง
แต่ด้วยความที่คุมทีมในนามชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิต เขาจึงเป็นผู้จัดการทีมที่ยังมีประสบการณ์ที่น้อย จึงเป็นสาเหตุให้พลาดท่าแพ้จุดโทษให้กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น สกอร์รวม 4-3 ในเกมนัดชิงฟุตบอลถ้วยเคเอ็นวีบี คัพ (ฟุตบอลถ้วยภายในประเทศเนเธอร์แลนด์)
ซึ่งหมายความว่า อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2022/23 "มือเปล่า" ไร้ถ้วยแชมป์ ติดมือเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ปัญหาภายในสั่นคลอน
ไม่ใช่แค่ตัวผู้จัดการทีมและนักเตะในสโมสรที่เกิดการเปลี่ยนแปลงบ่อย บอร์ดบริหารของสโมสรก็เช่นเดียวกัน ภายในระยะเวลา 1 ปีกว่า ๆ ตำแหน่งบอร์ดบริหารประจำสโมสร อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เกิดการเปลี่ยนแปลงจนน่าตกใจเริ่มตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2022 อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ปลด มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการประจำสโมสรด้านกีฬาฝ่ายฟุตบอล เนื่องจากถูกร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ส่งข้อความที่ไม่พึ่งประสงค์หาเพื่อนร่วมงานเพศหญิงในสโมสรหลายราย
หลังจากที่ ลีน ไมยาร์ด ประธานสโมสร อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้ ว่ามีความผิดจริง จึงทำการปลด มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ออกจากสโมสรในทันทีพร้อมแถลงการณ์ ไว้ว่า
"จากข้อความที่ไม่เหมาะสมของ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ที่ส่งหาเพื่อนร่วมงานหญิงเป็นระยะเวลา ยาวนาน ความประพฤติดังกล่าวทางสโมารมองว่าเป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับทุกคน ทางสโมสร
มีคำสั่งให้ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ต้องออกไปจากสโมสรโดยมีผลบังคับทันที"
ซึ่งคนที่เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการประจำสโมสรด้านกีฬาฝ่ายฟุตบอลต่อจาก มาร์ค โอเวอร์มาร์ส นั่นคือ สเวน มิสลินทัต อดีตผู้อำนวยการกีฬาของทีม สตุ๊ตการ์ท
พฤษภาคม 2023 เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ประธานกรรมการบริหารประจำสโมสร อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ประกาศอำลาสโมสรหลังอยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน 11 ปี
โดยมีรายงานว่าอดีตตำนานผู้รักษาประตู แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลือกที่จะลาออกจากตำแหน่ง เพราะมองว่า ตนเองทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอสำหรับในฤดูกาล 2022/23 หลังจากไม่สามารถพา อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม คว้าแชมป์ติดมือได้แม้แต่ถ้วยเดียว และผลงานในลีกจบได้เพียง อันดับที่ 3 ของตาราง ซึ่งเป็นอันดับที่แย่ที่สุดของสโมสรในรอบ 13 ปี
เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ได้ออกมาแถลงอำลาผ่านสโมสรไว้ว่า
"หน้าที่ผมของผมกับสโมสรได้จบลงแล้ว เป็น 11 ปีที่มีความหมายสำหรับผมมาก เราเผชิญกับ ประสบการณ์ที่ดีร่วมกัน ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากสำหรับผู้คนที่ผมได้รู้จักและได้ทำงานร่วมกัน รวมไปถึงความสำเร็จที่พวกเราได้สร้างร่วมกันมา"
"ผมต้องการที่จะพักในช่วงเวลานี้ นั่นคือเหตุผลที่ผมตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่มอบให้ผม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม"
ไม่ใช่แค่ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ เพียงคนเดียวที่ออกมาประกาศลาออกจากตำแหน่งบอร์ดบริหาร ของสโมสร อีกคนที่ออกมาแถลงประกาศลาออกเช่นกันคือ สเวน มิสลินทัต
แต่ในรายของ สเวน มิสลินทัต แตกต่างจาก เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ นั่นคือเขาถูกประธานสโมสร ไล่ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการประจำสโมสรด้านกีฬาฝ่ายฟุตบอล ทั้งที่เพิ่งได้รับโอกาสทำหน้าที่ต่อจาก มาร์ค โอเวอร์มาร์ส เพียง 1 ปีเศษเท่านั้น
เนื่องจากบอร์ดบริหารของทีมมองว่า สเวน มิสลินทัต ทำผลงานได้น่าผิดหวัง ส่งผลให้บอร์ด บริหารไม่มีความเชื่อมันในตัว สเวน มิสลินทัต จึงเลือกที่จะยุติสัญญาไว้เพียงเท่านี้พร้อมแถลง ไว้ว่า
"เราต่างพยายามหลายครั้งเพื่อฟื้นฟูสโมสรให้กว้างขวางในทุกด้าน แต่น่าเสียดายที่มันล้มเหลว ผลลัพธ์ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร พวกเราขอขอบคุณ สเวน มิสลินทัต ที่ใช้ความพยายามอย่างมาก ในการทำงานให้กับสโมสร ตอนนี้เราต้องก้าวหน้าต่อไปและกลับไปสู่ความสำเร็จด้านกีฬา ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดต่อสโมสร อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม"
ไม่มีทรง มีแต่ทรุด
หลังจากผ่านช่วงเวลาเลวร้ายในฤดูกาล 2022/23 บอร์ดบริหารของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม พยายามเลือกหาผู้จัดการทีมคนใหม่ที่จะเข้ามากอบกู้วิกฤติของสโมสรให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง
โดย อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ตัดสินใจเลือกผู้จัดการทีมอย่าง เมาริซ สไตน์ อดีตผู้จัดการทีม สปาร์ต้า ร็อตเธอร์ดัม มาคุมทีม
ปัจจัยหลักที่ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เลือก เมาริซ สไตน์ มาคุมทีมนั่นคือ ผลงานในฤดูกาล 2022/23 เมาริซ สไตน์ สร้างผลงานสุดเซอร์ไพรส์พา สปาร์ต้า ร็อตเธอร์ดัม จบอันดับที่ 6 ของตารางได้สิทธิ์ไปแข่งเพลย์ออฟถ้วยฟุตบอลยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก และยังเป็นอันดับที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา
แต่ปัญหาใหญ่ๆและปัญหาเดิมๆที่ เมาริซ สไตน์ ต้องเผชิญเจอเหมือนกับผู้จัดการทีมที่ผ่านมาหลาย ๆ คนนั่นคือ นักเตะคีย์แมนหลักคนสำคัญของทีมถูกบรรดาสโมสรใหญ่ๆในยุโรปซื้อตัวไปเกือบหมด
เริ่มจาก โมฮัมเหม็ด คูดุส ย้ายไป เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ค่าตัว 43 ล้านยูโร, เอ็ดสัน อัลวาเรซ ย้ายไป เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ค่าตัว 40 ล้านยูโร, เจอร์เรียน ทิมเบอร์ ย้ายไป อาร์เซนอล ค่าตัว 40 ล้านยูโร, คาลวิน บาสซีย์ ย้ายไป ฟูแล่ม ค่าตัว 23 ล้านยูโร และยังเสียนักเตะจอมเก๋า ของทีมอย่าง ดาวี่ คลาสเซ่น และ ดูซาน ทาดิช ไปแบบฟรี ๆ
การที่เสียนักเตะตัวหลักไปเยอะและตัวที่เสริมเข้ามาใหม่ส่วนใหญ่เป็นดาวรุ่งอายุน้อยเกือบทั้งหมด จึงส่งผลให้ผลงานในฤดูกาลปัจจุบันของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ดำดิ่งลงเหวไป
มากกว่าเดิม
เมาริซ สไตน์ ได้สร้างสถิติที่ไม่น่าจดจำไว้สักเท่าไร เนื่องจากเขาไม่สามารถพาลูกทีมชนะ 8 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรตั้งแต่ก่อตั้งมา
และที่ย่ำแย่ไปมากกว่านั่นคือ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ตกไปอยู่อันดับสุดท้ายในตารางเอเรดิวิซี่ เก็บได้เพียง 5 คะแนนเท่านั้นจากการลงสนามไปทั้งหมด 8 นัด เป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุด ในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ปี 1954
จึงเป็นสาเหตุให้ เมาริซ สไตน์ ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมทันที และทำการแต่งตั้ง จอห์น ฟานต์ สคิป เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนต่อไป
โดย จอห์น ฟานต์ สคิป ได้เผยความในใจครั้งนี้ถึงการได้เข้ามารับหน้าที่คุมทีม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไว้ว่า "ผมรู้สึกมีความสุขมากกับการรับงานผู้จัดการทีมในครั้งนี้ ผมมีความ กระหายอย่างมาก และผมจะทำให้สโมสรกลับมาผงาดลุ้นแชมป์ให้ได้เหมือนเดิมอีกครั้ง"
ไม่มีใครรู้ว่า อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในปีต่อ ๆ ไป จะกลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามได้อีกครั้ง หรือไม่ แต่เชื่อได้ว่ากองเชียร์ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม หรือแม้แต่กระทั่งกองเชียร์ทีมอื่น ๆ ต่างเอาใจช่วยและอยากให้ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมนี้กลับมาเป็นทีมเดิมอีกครั้งที่ทุกคนรู้จัก
ขอให้กลับมาเป็นทีมเดิมที่พวกเราทุกคนต่างรู้จักนะ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
แหล่งอ้างอิง
https://english.ajax.nl/club/history/
https://www.worldfootball.net/teams/afc-ajax/9/
https://www.footballtransfers.com/en/teams/nl/ajax/transfers/2022-2023
https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/manchester-united-transfer-antony-ajax-25371768
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12139163/Edwin-van-der-Sar-confirms-step-role-Ajax-CEO.html
https://edition.cnn.com/2022/02/07/football/marc-overmars-quits-ajax-inappropriate-messages-spt-intl/index.html
https://english.ajax.nl/articles/ajax-appoints-john-van-t-schip/
https://en.wikipedia.org/wiki/AFC_Ajax