Feature

The Undertaker x Limp Bizkit : การฟีทเจอริ่งสองโลกที่ส่งให้ทั้งคู่ดังเป็นพลุแตก | Main Stand

ปี 2000 เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของ ดิ อันเดอร์เทเกอร์ (The Undertaker) นักมวยปล้ำผู้ยิ่งใหญ่แห่ง WWE หลังตัดสินใจเปลี่ยนบุคลิกตัวเองจากสัปเหร่อจอมขมังเวทย์มาเป็น นักเลงอเมริกัน American Badass สวมแว่นดำ โพกหัว และขี่รถช็อปเปอร์ออกมาเล่นงานคู่ต่อสู้แบบสะใจคนดู จนกลายเป็นอีกหนึ่งกิมมิคระดับตำนาน

 


ขณะเดียวกัน Limp Bizkit วงดนตรีนูเมทัลที่กำลังโด่งดังในช่วงเวลาเดียวกันก็มีส่วนผลักดันให้กิมมิคนักเลงของ ดิ อันเดอร์เทเกอร์ พุ่งไปอีกขั้นเมื่อเพลง Rollin' ของพวกเขาถูกใช้เป็นเพลงเปิดตัวใหม่ของ ดิ อันเดอร์เทเกอร์ ซึ่งด้วยบุคลิกแบบจิ๊กโก๋ของอันเดอร์เทเกอร์ คลุกเคล้ากับเพลงร็อกสุดโจ๊ะของ Limp Bizkit มันก็ช่วยส่งเสริมให้ทั้งคู่ดังเป็นพลุแตกไปด้วยกัน

สัปเหร่อแห่งโลกมวยปล้ำ และยอดวงนูเมทัลแห่งยุคมิลเลนเนียม โคจรมาเจอกันได้อย่างไร ? Main Stand จะพาไปหาคำตอบในบทความนี้

 

เมื่อกิมมิค "สัปเหร่อ" ชักหลงยุค

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำให้อันเดอร์เทเกอร์เป็นที่จดจำอย่างมากในสมาคมมวยปล้ำ WWE คือคาแร็กเตอร์ "สัปเหร่อ" จอมขมังเวทย์ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน นอกจากสไตล์การปล้ำที่หนักหน่วงแล้ว บุคลิกอันน่าเกรงขาม เพลงเปิดตัวชวนขนหัวลุก สลับกับโชว์อภินิหารร่ายคาถา เรียกไฟ เสกฟ้าฝ่าในสนามได้ (ด้วยเทคนิคพิเศษจากทีมงานหลังฉาก) และวาร์ปหายตัวได้อีก เอกลักษณ์เช่นนี้ทำให้เขาเป็นขวัญใจของแฟน ๆ มวยปล้ำในยุค 1980s-1990s อย่างมาก มันเป็นยุคที่ WWE ปั้นนักมวยปล้ำแต่ละคนให้มีบุคลิกแนวแฟนตาซี มีความเป็นการ์ตูน และทำเรื่องเหนือธรรมชาติเพื่อความบันเทิงของแฟน ๆ

ทว่าเมื่อเข็มนาฬิกาหมุนเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม ยุคที่โลกเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์คืบคลานเข้าสู่ชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น เรื่องเหนือธรรมชาติทุกสิ่งล้วนพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ประกอบกับนักมวยปล้ำของ WWE หลายคนเวลานั้นเริ่มพัฒนาคาแร็กเตอร์ของตัวเองให้สมจริงขึ้น มีความเป็นมนุษย์ มีเลือดมีเนื้อที่เชื่อมโยงกับดูได้เป็นวงกว้าง แถมต้องมีสกิลพรีเซนต์ตัวเองผ่านไมโครโฟนแบบโดนใจผู้ชมเช่น ทริปเปิล เอช, เดอะ ร็อก ที่เก่งกาจเรื่องการพูดโปรโมต หรือ สโตนโคลด์ สตีฟ ออสติน กับคาแร็กเตอร์แอนตี้-ฮีโร่ ที่โดนใจวัยรุ่นหัวขบถยุค 1990s อย่างแรง

ตัดภาพไปที่ อันเดอร์เทเกอร์ แม้ตัวเขาจะยังเป็นขวัญใจของแฟน ๆ ด้วยบทบาทสัปเหร่อที่สร้างชื่อมานาน แต่ด้วยวันเวลาที่ผันผ่าน กิมมิค "สัปเหร่อ" สุดแสนแฟนตาซีของเขาดูจะขัดแย้งกับโลกสมัยปัจจุบันในขณะนั้นอย่างยิ่ง วันหนึ่งเขาคิดว่าการที่จะมาแสดงอภินิหารเหนือธรรมชาติ ใช้พลังวิเศษ จุดไฟ เรียกฟ้าผ่าบนเวที หรือดำรงตนเป็นหัวหน้าแห่งกระทรวงโลกมืดทั้งที่โลกกำลังเข้าสู่สหัสวรรษใหม่คงดูแปลกเกินไป นั่นจึงทำให้อันเดอร์เทเกอร์อาศัยช่วงจังหวะที่เขาได้รับบาดเจ็บในช่วงปลายปี 1999 หายหน้าไปจากจอเพื่อรักษาตัว และไปทบทวนคาแร็กเตอร์ของตัวเองใหม่ว่าจะกลับมาแบบไหน

อันเดอร์เทเกอร์ พูดถึงช่วงเวลาที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจเปลี่ยนกิมมิคตัวเองใหม่ว่า "ในยุค Attitude (ยุคทองของ WWE ปี 1997-2002) คุณมีทั้ง สโตนโคลด์ ที่พูดโปรโมตได้อย่างโดดเด่น มีบุคลิกชัดเจน เช่นเดียวกับ เดอะ ร็อก ที่มีวิธีโปรโมตตัวเองอันน่าทึ่งในแบบของเขา บอกเลยว่ามันดีมาก"

และเมื่อปฏิทินพลิกหน้าเข้าสู่ปี 2000 อันเดอร์เทเกอร์ก็คิดออกแล้วว่าเขาจะกลับมาพบกับคนดูในรูปแบบไหน

 

ได้เวลา "นักเลงอเมริกัน" อาละวาด

วันที่ 21 พฤษภาคม 2000 ในศึกใหญ่ WWE Judgement Day ขณะที่ เดอะ ร็อก กำลังสู้กับ ทริปเปิลเอช แล้วโดนพรรคพวกของศัตรูอย่าง โรดด็อกก์, X-Pac แถมด้วยพ่อลูก วินซ์-เชน แม็คแมน รุมกระทืบอยู่ ดิ อันเดอร์เทเกอร์ ที่สภาพร่างกายกลับมาฟิตสมบูรณ์ก็เปิดตัวบิดมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ปรากฏตัวออกมา พร้อมบุคลิกใหม่ใส่เสื้อโค้ทสีดำยาว โพกหัว ใส่แว่นดำออกมากระทืบเหล่าตัวร้ายจนหนีกระเจิง เรียกเสียงเฮจากคนดูในสนามได้อย่างล้นหลาม

กิมมิคใหม่ของ ดิ อันเดอร์เทเกอร์ ถูกเรียกว่า American Badass หรือในชื่อภาษาไทยที่แฟนมวยปล้ำรู้จักกันดีว่า "นักเลงอเมริกัน" กิมมิคนี้ช่วยพัฒนาให้ตัวของอันเดอร์เทเกอร์มีความเป็นมนุษย์ มีเลือดมีเนื้อ เข้าถึงคนดูได้ง่ายขึ้น และดูไม่แปลกแยกไปกับสังคมยุคมิลเลนเนียม เอกลักษณ์ที่ทำให้เขาไม่เหมือนใครนอกเหนือจากคอสตูมสุดเท่คือรถมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ที่เสียงบิดดังกระหึ่มตั้งแต่ฉากเปิดตัว ก่อนบิดไปรอบเวทีแล้วขึ้นไปกระทืบคู่ต่อสู้ให้คนดูสะใจและมีความสุข

อันเดอร์เทเกอร์ ยอมรับว่าการเปลี่ยนบุคลิกครั้งนี้ทำให้เขาขึ้นเวทีร่วมกับเพื่อนร่วมอาชีพได้แบบไม่เคอะเขินไม่หลงยุค แถมแฟน ๆ ยังอ้าแขนตอบรับเป็นอย่างดี "ผมอาจจะรอดจากตรงนั้นมาได้ แต่ก็คงไม่มีโอกาสรุ่งเรืองขึ้นไปอีกหากไม่หยุดใช้กิมมิคนั้น (สัปเหร่อ) มันคอยจำกัดตัวคุณว่าอะไรที่สามารถทำได้หรือทำไม่ได้กับบุคลิกนั้น ขณะที่ American Badass มีคาแร็กเตอร์ที่ดีกว่า นั่นคือการตอบโต้ในแบบฉบับที่อันเดอร์เทเกอร์ทำได้ ผมเลยสูดหายใจเข้าลึก ๆ และลองออกไปทำอะไรที่แตกต่างสักหน่อย"

ขณะที่เพลงเปิดตัวของอันเดอร์เทเกอร์ยุคใหม่ WWE เลือกใช้เพลง American Badass ของ คิด ร็อก ร็อกเกอร์ตัวเก๋าที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในยุคนั้น WWE ติดต่อไปที่ตัวแทนของ คิด ร็อก เพื่อจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ในการใช้เพลง American Badass เพื่อเอามาให้อันเดอร์เทเกอร์ใช้เปิดตัว ซึ่งท่วงทำนองเพลงสุดโจ๊ะ การแรปแบบไฟแล่บของ คิด ร็อก ที่ฮิตติดหูและเข้ากับตัวของอันเดอร์เทเกอร์ลุคใหม่เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเขาก็เปลี่ยนเพลงเปิดตัวใหม่ และมันได้ช่วยส่งเสริมให้เขาดังระเบิดระเบ้อขึ้นไปอีกในหมู่คนรุ่นใหม่

 

ฟีทเจอริ่งวงนูเมทัลสุดซ่า

ตัดภาพไปที่วงการเพลงร็อกในอเมริกายุค 2000s ไม่มีวงไหนแล้วที่จะโด่งดังไปมากกว่า Limp Bizkit วงนูเมทัลแห่งแจ็คสันวิลล์ ฟลอริดา พวกเขาโด่งดังจากเพลงสุดฮิตอย่าง Nookie, Break Stuff, Re-Arranged จากอัลบั้ม Significant Other เมื่อปี 1999 ที่ประสบความสำเร็จทั้งชื่อเสียงและยอดขาย ต่อมาพวกเขาก็ดังเป็นพลุแตกเมื่อปล่อยอัลบั้ม Chocolate Starfish and the Hot Dog Flavored Water ออกมาถล่มวงการเพลงร็อกในปี 2000

Chocolate Starfish and the Hot Dog Flavored Water ช่วยส่งเสริมให้ Limp Bizkit กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการเพลงร็อก ด้วยเพลงฮิตคับอัลบั้มเช่น Hot Dog, Take A Look Around เพลงหลักของภาพยนตร์ Mission: Impossible 2 ซึ่งเข้าฉายในปีเดียวกัน, My Generation, My Way และ Rollin' (Air Raid Vehicle) อัลบั้มนี้ขายดีขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว และกวาดยอดขายไปเกือบ 10 ล้านชุดทั่วโลก ทำให้ชื่อของ Limp Bizkit ดังไปทั่วโลก และไม่มีชาวร็อกคนไหนไม่รู้จักพวกเขา

และด้วยความดังแบบฉุดไม่อยู่ WWE จึงไม่รอช้าเปิดโต๊ะคุยกับ เฟร็ด เดิร์ตส นักร้องนำและผองเพื่อนถึงความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะร่วมงานกัน หลังจากได้ฟังเพลง Rollin' (Air Raid Vehicle) อีกหนึ่งซิงเกิลฮิตของวงแล้วชอบมากจึงอยากได้ไปใช้เป็นเพลงเปิดตัวอันใหม่ของอันเดอร์เทเกอร์ในภาพลักษณ์จิ๊กโก๋อเมริกัน เพราะตอนนั้นทีมงานกำลังไตร่ตรองเรื่องเปลี่ยนเพลงเปิดตัวใหม่ให้เขา และคิดว่า Rollin' (Air Raid Vehicle) เข้ากับบุคลิกของอันเดอร์เทเกอร์มากกว่า

แน่นอนว่ายอดวงนูเมทัลแห่งยุคนั้นมองเห็นโอกาสที่จะทำให้วงมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไปอีกหากมอบลิขสิทธิ์เพลง Rollin' (Air Raid Vehicle) ให้กับสุดยอดนักมวยปล้ำอย่างอันเดอร์เทเกอร์ไปใช้เป็นเพลงเปิดตัว แถมตัว เฟร็ด เดิร์ตส ก็เป็นแฟนมวยปล้ำอยู่แล้ว ดังนั้นคำตอบของวงก็คือ ตกลง

วันที่ 10 ธันวาคม 2000 อันเดอร์เทเกอร์ บิดมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ออกมาเจอแฟนมวยปล้ำอีกครั้ง พร้อมกับเพลงเปิดตัวใหม่ Rollin' (Air Raid Vehicle) ของ Limp Bizkit ที่เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวกของ "เดอะ ฟีนอม" ได้อย่างล้นหลาม และกลายเป็นอีกหนึ่งเพลงเปิดตัวของอันเดอร์เทเกอร์ที่แฟน ๆ จดจำได้มากที่สุดตลอดการเป็นนักมวยปล้ำอาชีพของเขา

 

วงร็อกลูกรักของ WWE

การฟีทเจอริ่งกันระหว่างยอดนักมวยปล้ำอย่าง ดิ อันเดอร์เทเกอร์ กับวงนูเมทัลสุดร้อนแรงอย่าง Limp Bizkit กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเสียนี่กระไร เพราะจากการร่วมงานกันครั้งนี้เปรียบเสมือนการช่วยกันส่งเสริมให้ทั้งสองฝ่ายโด่งดังถล่มทลายไปด้วยกัน คนหนึ่งจากที่เคยมีชื่อแสียงแค่ในวงการมวยปล้ำ พอได้เพลง Rollin' เป็นเพลงเปิดตัวก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่คนฟังเพลงร็อก จนหันมาติดตามดูการปล้ำของจิ๊กโก๋อเมริกันคนนี้ทุกสัปดาห์

ตัวของอันเดอร์เทเกอร์ก็ยอมรับว่าเพลง Rollin' เข้ากับบุคลิกจิ๊กโก๋อเมริกันของเขาอย่างน่าสนใจ "เพลง Rollin' และการเปิดตัวด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาเชื่อมโยงถึงกันอย่างยอดเยี่ยม มันเป็นเพลงที่มีพลังงานสูงมาก และเป็นเพลงที่คนจำนวนมากจดจำได้แบบติดหูติดตา"

ขณะที่ฝั่ง Limp Bizkit เดิมทีก็เป็นวงร็อคที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าอยู่แล้ว แต่พออันเดอร์เทเกอร์เอาเพลง Rollin' ของพวกเขาไปใช้ กลายเป็นว่าวงก็ได้ฐานแฟนเพลงเพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่มคือกลุ่มคนดูมวยปล้ำ และที่สำคัญไปกว่านั้น วินซ์ แม็คแมน ประธานของ WWE และทีมงานก็ชื่นชอบ เฟร็ด เดิร์สต และวง Limp Bizkit มาก จึงตัดสินใจผูกปิ่นโตร่วมงานกันไปยาว ๆ แบบที่ไม่เคยทำกับศิลปินร็อกคนไหนมาก่อน

โดยเมื่อถึงคราวที่ WWE จัดศึกใหญ่ WrestleMania ครั้งที่ 17 ในวันที่ 1 เมษายน 2001 พวกเขาก็ยกหูถึง Limp Bizkit เพื่อขอเพลง My Way อีกหนึ่งซิงเกิลสุดฮิตในอัลบั้ม Chocolate Starfish and the Hot Dog Flavored Water มาเป็นเพลงธีมหลักของโชว์ แน่นอนว่า เฟร็ด เดิร์ตส ไม่ปฏิเสธ WWE จึงได้สิทธิ์เอาเพลงนี้ไปใช้เป็นเพลงธีมของ WrestleMania 17 และใช้ประกอบการโปรโมตแมตช์คู่เอกสุดยิ่งใหญ่ที่ เดอะ ร็อก ป้องกันแชมป์กับ สโตนโคลด์ สตีฟ ออสติน ด้วยเนื้อเรื่องสุดเข้มข้นและดราม่าของนักมวยปล้ำทั้งสองที่ปูกันมาจนถึงจุดสุดยอด ผสมกับเพลงร็อกสุดติดหูอย่าง My Way ทำให้แฟนมวยปล้ำและแฟนเพลงร็อกยกให้เป็นหนึ่งในเพลงธีม WrestleMania ที่ดีที่สุดตลอดกาล

ต่อมาเมื่อ WWE ออกวิดีโอเกมใหม่ SmackDown!: Just Bring It ในเดือนพฤศจิกายน 2001 ทีมงานผู้พัฒนาเกมนี้ Yuke's ก็ได้รับข้อความจาก WWE ให้เพิ่มตัวละครลับเข้าไปในเกมนี้ นั่นก็คือ เฟร็ด เดิร์สต นักร้องวง Limp Bizkit โดยเป็นตัวละครนักมวยปล้ำที่เกมเมอร์สามารถปลดล็อกเอามาเล่นในเกมได้ ที่ฮาก็คือ เฟร็ด เดิร์สต ในเกมนี้มีฉากเปิดตัวเหมือนกับอันเดอร์เทเกอร์มาดจิ๊กโก๋เป๊ะ ๆ นั่นคือสวมหมวกแคปสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ ขี่ช็อปเปอร์ออกมาพร้อมเพลง Rollin' ของตัวเองอีกต่างหาก

มีเรื่องร่ำลือว่านี่คือหนึ่งในเรื่องที่ Limp Bizkit กับ WWE ดีลกันไว้เป็นข้อแลกเปลี่ยนในการให้สมาคมเอาเพลง Rollin' มาใช้กับอันเดอร์เทเกอร์ นอกเหนือจากเงินค่าลิขสิทธิ์เพลงที่ WWE จ่ายให้ตามปกติ

เท่านั้นยังไม่พอ ศึก WrestleMania ครั้งที่ 19 วันที่ 30 มีนาคม 2003 สมาคมก็เอาเพลง Crack Addicted ของ Limp Bizkit มาใช้เป็นเพลงธีมประจำศึก แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ WWE ชวน เฟร็ด เดิร์สต และผองเพื่อนมาเล่นเพลง Rollin' เปิดตัวให้กับอันเดอร์เทเกอร์แบบสด ๆ ในสนามเซฟโก้ ฟิลด์ ซึ่งวันนั้น อันเดอร์เทเกอร์ มีคิวสู้กับ เอ-เทรน และ บิ๊กโชว์

ฉากเปิดตัวของอันเดอร์เทเกอร์ใน WrestleMania 19 กลายเป็นอีกหนึ่งซีนแห่งความทรงจำ เมื่ออันเดอร์เทเกอร์ที่ใช้กิมมิค American Badass มาจนถึงโค้งสุดท้ายบิดช็อปเปอร์ออกมาหาคนดูโดยมี Limp Bizkit เล่นเพลง Rollin' เปิดตัวให้แบบเร้าใจ ก่อนขึ้นไปสวมกอดกับ เฟร็ด เดิร์สต บนเวที แล้วโชว์ลีลาเอาชนะ เอ-เทรน และ บิ๊กโชว์ ในแมตช์ 2 รุม 1 ไปได้อย่างสุดมัน

และสิ่งที่เกิดขึ้นคือมีเสียงซุบซิบแซวกันว่า Limp Bizkit กลายเป็นวงดนตรีลูกรักของ WWE ไปแล้วเรียบร้อย

 

งานเลี้ยงมาถึงวันเลิกรา

ความสัมพันธ์สุดหวานชื่นระหว่าง WWE, อันเดอร์เทเกอร์ และวง Limp Bizkit เกิดขึ้นและยุติภายในเวลา 3 ปี เมื่อ WWE ตัดสินใจให้อันเดอร์เทเกอร์กลับไปสู่รากเหง้าของตัวเอง นั่นคือการรับบท "สัปเหร่อ" อีกครั้ง และนั่นทำให้เขาต้องบอกลาบทบาท American Badass ไป พร้อมกันนั้นยังต้องเซย์กู้ดบายกับ Limp Bizkit ไปด้วย เพราะเมื่ออันเดอร์เทเกอร์กลับไปใช้กิมมิคเดิมก็ไม่จำเป็นต้องใช้บริการเพลงของ Limp Bizkit อีกต่อไป

อันเดอร์เทเกอร์ กลับมาสู่บทบาท "เดอะ เดดแมน" สัปเหร่อในตำนานอีกครั้งในศึก WrestleMania ครั้งที่ 20 ในวันที่ 14 มีนาคม 2004 เขากลับมาสู้กับ เคน น้องชายของตัวเอง (ในบท) ก่อนเอาชนะไปได้ และสวมบทบาทนี้เรื่อยมา โดยลดเรื่องราวอภินิหารต่าง ๆ ที่เคยทำในอดีตออกไป กลายเป็นสัปเหร่อผู้น่าเกรงขามชนิดที่ว่าแค่เดินเปิดตัวออกมาพร้อมทำตาเหลือกใส่กล้อง คนดูกับคู่ต่อสู้ก็รู้สึกขนลุกขนพอง

ฟากฝั่ง Limp Bizkit แม้จะไม่ได้ร่วมงานกับ WWE แล้ว แต่ตัวของ เฟร็ด เดิร์สต ก็ยังแวะเวียนมาดูมวยปล้ำ WWE ข้างสนามบ้างตามวาระต่าง ๆ ทว่าตรงข้ามกับเรื่องผลงานเพลง หลังจากอัลบั้ม Chocolate Starfish and the Hot Dog Flavored Water ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลาย พวกเขายังคงออกซิงเกิลและอัลบั้มกันต่อแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าเดิม ก่อนหายไปจากวงการช่วงหนึ่งพร้อมกับการเสื่อมความนิยมของดนตรีแนวนูเมทัลที่ล้มหายตายไปจากวงการเพลงกระแสหลักเมื่อปี 2003

แม้จะไม่ได้ร่วมงานกันแล้ว แต่อันเดอร์เทเกอร์ยังเผยว่ารู้สึกประทับใจกับช่วงเวลาที่เขาสวมบท American Badass และเปิดตัวพร้อมกับเพลง Rollin' ของ Limp Bizkit โดยเฉพาะซีนเปิดตัวในศึก WrestleMania ครั้งที่ 19 ที่เขายกให้เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตนักมวยปล้ำอาชีพของเขา

"แมตช์มวยปล้ำในมุมมองของผมไม่ได้เริ่มตอนที่ระฆังดัง แต่มันเริ่มตั้งแต่ทีมงานเปิดเพลงเปิดตัว เมื่อไรที่เพลงเปิดตัวของคุณดังขึ้นแมตช์ของคุณก็เริ่มขึ้นแล้ว เพลงมันเป็นตัวกำหนดโทนของแมตช์การปล้ำด้วย Rollin' มันเป็นเพลงที่ทรงพลัง สนุก สุดยอด และทำให้คนดูตื่นเต้น แม้ว่าเนื้อเพลงแต่ละเพลงที่ผมใช้จะไม่เหมือนกัน แต่มันก็ทรงพลังในแบบที่เราต้องการ"

"ศึกใหญ่ที่ซีแอตเติล (WrestleMania 19) มันเจ๋งมาก ตอนที่ Limp Bizkit เล่นเพลงเปิดตัวให้ผม แล้วผมออกมาพร้อมกับธงชาติอเมริกาที่ปักอยู่ด้านหลังรถมอเตอร์ไซค์ บอกเลยว่านั่นคือหนึ่งในฉากเปิดตัวที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลย"

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การร่วมงานกันระหว่าง อันเดอร์เทเกอร์ และ Limp Bizkit กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่คลาสสิกและเป็นอีกหนึ่งตำนานของโลกมวยปล้ำตลอดกาล เพราะไม่ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหน แฟนมวยปล้ำก็ยังคงจดจำซีนสุดเท่ของอันเดอร์เทเกอร์ในมาดจิ๊กโก๋อเมริกัน ที่ฟีทเจอริ่งกับเพลง Rollin' ของ Limp Bizkit ได้อยู่เสมอ

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.essentiallysports.com/wwe-news-real-reason-the-undertaker-transformed-his-character-into-the-american-badass/?
https://www.voicesofwrestling.com/2015/07/01/going-limp-a-look-back-at-wwes-limp-bizkit-phase/
https://bleacherreport.com/articles/2886330-the-evolution-of-the-undertakers-american-badass-character-in-wwe?
https://www.fightful.com/wrestling/undertaker-reveals-wrestlemania-19-entrance-limp-bizkit-one-his-favorites
https://www.thesportster.com/wwe-limp-bizkit-most-important-rock-band-in-wrestling-history/

Author

วัลลภ สวัสดี

ฟังไปเรื่อย ดูไปเรื่อย เขียนไปเรื่อย

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น