Feature

มิชู : ดาวยิงฤดูกาลเดียวแห่ง สวอนซี ซิตี้ ผู้เป็นไอดอลของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ สมัยวัยเยาว์ | Main Stand

หากถามใครหลายคนที่รับชม ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก มาเกินกว่า 10 ปี ว่านักเตะคนใดที่สามารถแจ้งเกิดและดับโดยสมบูรณ์ภายในฤดูกาลเดียว แน่นอนคำตอบที่ได้จากพวกเขาต้องมีชายที่ชื่อว่า มิเกล เปเรซ กูเอสตา หรือที่เรารู้จักกันในนาม "มิชู" ผู้ทำ 18 ประตูภายในหนึ่งฤดูกาลให้กับ สวอนซี ซิตี้ อยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน

 

เนื่องจากในฤดูกาล 2012-13 มิชูได้ทำการสถาปนาตนเองให้เป็นตัวจบสกอร์เบอร์ต้น ๆ ของลีกตั้งแต่เกมแรกที่เขาลงสนามและโชว์ฟอร์มดีต่อเนื่องเรื่อยมาจนจบซีซั่น ส่งผลให้บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปอยากได้ตัวเขาไปรับหน้าที่เพชฌฆาตล่าตาข่ายให้

ทว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่เป็นดั่งที่มิชูฝันไว้ เพราะหลังจากฤดูกาลดังกล่าวรูดม่านปิดฉาก มิชูที่ตัดสินใจปักหลักอยู่กับสวอนซีต่อกลับกลายเป็นเพียงตัวรุกฝีเท้าดาด ๆ ที่ไม่มีความเฉียบคมเช่นเดิมอีกต่อไป

สาเหตุอะไรที่ทำให้ชายผู้เป็นไอดอลของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ สมัยวัยเยาว์ ต้องหลุดออกจากวงโคจรลูกหนังไป สามารถคลายข้อสงสัยพร้อมกันได้ที่ Main Stand

 

กว่าจะมาเป็นราชาแห่ง สวอนซี ซิตี้

มิเกล เปเรซ กูเอสตา หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อ "มิชู" เป็นชาวสเปนโดยกำเนิด ก่อนหน้าที่เขาจะมาโดดเด่นกับสวอนซี มิชูก้าวขึ้นสู่เวทีฟุตบอลระดับอาชีพครั้งแรกกับ เรอัล โอเบียโด้ (Real Oviedo) ที่ ณ ตอนนั้นเป็นเพียงสโมสรที่เล่นอยู่ในลีกระดับล่างของประเทศสเปน ถึงมิชูจะเป็นเพียงดาวรุ่ง แต่ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2003-2007 เขาก็ลงสนามให้กับต้นสังกัดมากถึง 95 นัด ซัดไป 13 ประตูรวมทุกรายการ

ต่อมาในฤดูกาล 2007-08 เป็น เซลต้า บีโก้ ที่เล็งเห็นศักยภาพในตัวของเขาจึงดึงตัวเขาเข้ามาเป็นเยาวชนของสโมสร และหวังที่จะบ่มเพาะมิชูให้ก้าวสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรในภายภาคหน้า 

ซึ่งมิชูเองก็ไม่ทำให้ต้นสังกัดผิดหวัง เพราะหลังจากที่ได้รับการเจียระไนฝีเท้าโดยโค้ชระดับมืออาชีพ มิชูก็วาดลวดลายโชว์ฟอร์มหรูกับ เซลต้า บีโก้ เบ ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เขาย้ายมา และสามารถเล่นในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรุกที่มักจะได้กลิ่นประตูอยู่เสมอ ส่งผลให้มิชูถูกดันขึ้นไปเล่นกับทีมชุดใหญ่ของ เซลต้า บีโก้ ในฤดูกาลดังกล่าวทันที พร้อมกับเบิกสกอร์แรกในศึกเซกุนดา ในเกมที่เสมอกับ กรานาด้า 1-1 ซึ่งเป็นการเล่นครบ 90 นาทีอีกด้วย

ฤดูกาล 2008-09 มิชูถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เต็มตัว และเป็นกำลังหลักให้กับ เซลต้า บีโก้ เรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงช่วงตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคมของฤดูกาล 2009-10 มิชูมีข่าวการย้ายทีมไปยัง สปอร์ติง กิฆอน แต่อย่างไรก็ตามดีลดังกล่าวไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ และแปรเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขามุ่งมั่นกับ เชลต้า บีโก้ ต่อไป

ฤดูกาลถัดมามิชูพา เชต้า บีโก้ ทะยานจบอันดับที่หกของลีกเซกุนดา พร้อมคว้าโควตาเข้าไปเล่นรอบเพลย์ออฟเพื่อเลื่อนชั้นสู่ ลา ลีกา สเปน ได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็พลาดท่าปราชัยให้ กรานาด้า ในการยิงตัดสินลูกโทษที่จุดโทษ ซึ่งเป็นมิชูเองนี่แหละที่ยิงไม่เข้า ทำให้ทีมแพ้ไปด้วยสกอร์ 4-5 หลังจากความผิดหวังในเกมดังกล่าว รู้ตัวอีกทีสัญญาของมิชูกับ เซลต้า บีโก้ ก็กำลังจะสิ้นสุดลงท่ามกลางการเจรจาการต่อสัญญาที่ไม่สามารถหาจุดลงตัวสำหรับทั้งสองฝ่ายได้

และเป็น ราโย บาเยกาโน แห่งศึกลา ลีกา สเปน ที่ได้ลายเซ็นมิชูไปแบบไร้ค่าตัวในฤดูกาล 2011-12 ด้วยสัญญา 2 ปี มิชูภายใต้สีเสื้อของ ราโย บาเยกาโน ราวกับได้บัฟเพิ่มขึ้นเท่าตัว เพราะเพียงฤดูกาลเดียว เขาลงเล่นให้กับต้นสังกัดมากถึง 39 นัด ยิงได้ 17 ประตู กับอีก 4 แอสซิตส์รวมทุกรายการ โดยหนึ่งโมเมนต์ที่น่าจดจำคือการบุกไปยิงสองประตูใส่ทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง เรอัล มาดริด ถึงถิ่นซานติอาโก เบอร์นาเบว ช่วงต้นฤดูกาล แม้ว่าสุดท้ายจะพ่ายไปด้วยสกอร์ 6-2 ก็ตาม

ณ ช่วงเวลานั้นชื่อของมิชูดังกระฉ่อนข้ามประเทศไปไกลถึงเกาะอังกฤษ สวอนซี ซิตี้ จึงไม่รอช้าเพราะเห็นว่าค่าตัวและฟอร์มการเล่นของมิชูนั้นคุ้มค่ากับการลงทุน โดยสนนราคาอยู่ที่เพียง 2.5 ล้านยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 96 ล้านบาทเท่านั้น และดีลนี้ก็เสร็จเรียบร้อยในวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 2012 ด้วยสัญญา 3 ปี 

 

ระเบิดเถิดเทิงตั้งแต่เกมแรก

ในความเป็นจริงแล้วมิชูถูก สวอนซี ซิตี้ หมายมั่นปั้นมือให้เล่นในบทบาทหลังกองหน้าหรือมิดฟิลด์ตัวรุกไม่ใช่ตัวจบสกอร์ มิชูภายใต้ยูนิฟอร์ม “หงส์ขาว” ได้ฤกษ์เดบิวต์ลงสนามเป็นตัวจริงตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาล โดยเป็นการบุกไปเยือน ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ซึ่งมิชูยังซื้อใจแฟนบอลสวอนซีด้วยการยิงสองประตู บวกกับถวายพานให้เพื่อนอีก 1 ลูก เกมในวันนั้นจบลงด้วยชัยชนะของ สวอนซี ซิตี้ ที่สกอร์ 5-0

หลังจากนั้นมิชูก็สามารถรักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างคงเส้นคงวา พร้อมกับลงสนามรับใช้ต้นสังกัดอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงเกมที่ต้องบุกไปเยือน อาร์เซนอล ถึงถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดียม เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ปี 2012 เกมในวันนั้นมิชูเบิ้ลรัวท้ายเกมสองประตูจนได้รับคำชมจากบรรดานักเตะและผู้จัดการทีมในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กันยกใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่นายใหญ่ของทัพปีศาจแดง

“ผมไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของมิชูมาก่อนเลย แต่ผมว่าจะเข้าไปคุยกับทีมแมวมองของเราสักหน่อยเกี่ยวกับดีลประมาณนี้”

“ไมเคิล เลาดรูป ผู้จัดการทีมสวอนซี ซิตี้ เจาะตลาดนักเตะสเปนเหมือนอย่างที่ อลัน พาร์ดิว ทำกับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไม่ว่ายังไงมิชูก็เป็นนักฟุตบอลที่ดีมาก ๆ เขาเป็นตัวจบสกอร์ที่มีคุณภาพสูง สองประตูที่เขายิงใส่อาร์เซนอลคงแสดงให้ทุกคนรับรู้แล้ว" เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวหลังจบเกมที่มิชูยิงสองประตูใส่อาร์เซนอล 

จากผลงานระดับเทพของมิชูที่สร้างอิมแพ็กต์ให้กับเกมของสวอนซีได้ตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม ทำให้ทางบอร์ดบริหารของสโมสรจับมิชูต่อสัญญาเพิ่มอีก 4 ปี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2013 และดูเหมือนว่ามิชูจะตอบแทน สวอนซี ซิตี้ แบบคุ้มค่าทุกเม็ดเงินที่จ่ายให้เขา เพราะสิริรวมแล้วตลอดทั้งฤดูกาล 2012-13 มิชูยิงให้กับ สวอนซี ซิตี้ ในลีกไปทั้งสิ้น 18 ประตู นับเป็นอันดับที่ห้าของตารางดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกฤดูกาลดังกล่าว

นอกจากผลงานส่วนตัวในสนามที่หาตัวจับยากแล้ว มิชูยังพาพลพรรคหงส์ขาวผงาดคว้าถ้วยลีก คัพ (เปลี่ยนชื่อตามผู้สนับสนุนปัจจุบันคือคาราบาว คัพ) ครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสรในฤดูกาลเดียวกันได้อีกด้วย โดยในเกมรอบชิงชนะเลิศ สวอนซี ซิตี้ ถล่ม แบรดฟอร์ด ซิตี้ 5–0 แถมเขายังมีชื่ออยู่สกอร์บอร์ด เท่านี้ยังไม่พอเพราะตามกฎของฟุตบอลอังกฤษในตอนนั้นทีมที่ชนะเลิศรายการลีก คัพ จะได้ตั๋วไปลุยฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือกในฤดูกาลถัดไป ส่วนอันดับในลีก สวอนซี ซิตี้ รั้งอยู่อันดับที่ 9 ตอนสิ้นสุดฤดูกาล

 

ขาลงมาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว 

หลังจากซีซั่นอันแสนฉูดฉาดของมิชูปิดฉากลง ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ก่อนเปิดฤดูกาล 2013-14 มิชูตกเป็นข่าวได้รับความสนใจจากบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ทั่วเกาะอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล รวมไปถึง อาร์เซนอล แต่ถึงอย่างนั้นมิชูก็ตัดสินใจว่าจะอยู่ช่วย สวอน ซิตี้ ลุยศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ดูก่อนสักตั้ง พร้อมกับตั้งใจที่จะช่วยต้นสังกัดให้จบอันดับเทียบเท่าหรือไม่แย่ไปกว่าเดิม

ทันทีที่ฤดูกาล 2013-14 เริ่มต้นขึ้น มิชูยังทำหน้าที่จอมทัพของสวอนซีตามเดิม และสามารถพาต้นสังกัดเอาชนะ มัลโม่ ทีมดังจากลีกสวีเดน 4-0 ในการแข่งขันยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือก พร้อมกับผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ และช่วยให้ สวอนซี ซิตี้ ไปได้ไกลถึงรอบ 32 ทีมสุดท้ายเผชิญหน้ากับ นาโปลี แห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา 

จนทำให้ในเดือนตุลาคม ปี 2013 ทีมชาติสเปนที่กำลังเตรียมความพร้อมก่อนศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2014 แต่ดันโชคร้ายเพราะ ดาบิด บียา ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของทีมได้รับอาการบาดเจ็บก่อนการแข่งขันจะเริ่มเพียง 5 วัน บิเซนเต้ เดล บอสเก้ นายใหญ่ทัพกระทิงดุ ณ ขณะนั้นจึงทำการเรียกตัวมิชูเข้ามาเติมเต็มที่ว่างและได้เดบิวต์กับทีมชุดใหญ่ของทีมชาติสเปนสมใจอยากในเกมที่พบกับ ทีมชาติเบรารุส ซึ่งเกมนี้เป็นเพียงเกมเดียวที่มิชูได้มีโอกาสลงรับใช้ทีมชาติสเปนชุดใหญ่ 

จากนั้นฝันร้ายที่ทำลายอาชีพนักฟุตบอลมาแล้วนักต่อนักก็ได้เดินทางมาเยี่ยมเยือนมิชู เนื่องจากเขาได้รับอาการบาดเจ็บที่บริเวณหัวเข่าและต่อด้วยข้อเท้า จึงทำให้ในฤดูกาล 2013-14 มิชูได้ลงสนามให้กับต้นสังกัดไปเพียง 24 นัด ทำได้เพียง 6 ประตูรวมทุกรายการ ซึ่งถ้าหากเทียบกับฤดูกาลก่อนหน้าที่ยิงได้ถึง 18 ประตูในลีก เรียกได้ว่าน่าผิดหวังสำหรับแฟน ๆ หงส์ขาวพอสมควร

ในฤดูกาล 2014-15 นาโปลี แห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา ตัดสินใจเซ้งมิชูที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมของ แกรี มังก์ กุนซือคนใหม่ของสวอนซี ด้วยสัญญายืมตัวพ่วงด้วยเงื่อนไขซื้อขาด โดยฤดูกาลเดียวของมิชูกับนาโปลีไม่มีอะไรให้จดจำมากนักนอกจากข่าวอาการบาดเจ็บเยื่อหุ้มกระดูกที่เข้ามาเล่นงานเขาตั้งแต่ช่วงต้นซีซั่น ส่งผลให้เขาลงเล่นให้กับต้นสังกัดไปเพียง 6 นัด ยิงไม่ได้เลยแม้แต่ประตูเดียว ยังดีที่มี 1 แอสซิสต์ในศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ที่พบกับ สปาร์ต้า ปราก ก่อนจะถูกส่งกลับ สวอนซี ซิตี้ ตอนสิ้นสุดฤดูกาล

 

ปิดฉากดาวยิงฤดูกาลเดียว

หลังจากจบการยืมตัวกับนาโปลี มิชูได้ยกเลิกสัญญากับ สวอน ซิตี้ ด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย นี่จึงทำให้อาชีพนักฟุตบอลบนเวทีระดับสูงของเขาต้องจบลง ต่อมามิชูที่ไม่รู้จะไปทางไหนต่อจึงตัดสินใจเก็บข้าวของกลับบ้านเกิดเมืองนอน และตบเท้าเข้าร่วมทีม ลังเกรโอ (UP Langreo) ทีมในลีกสมัครเล่นดิวิชั่น 4 ของประเทศสเปน เป็นเวลา 1 ฤดูกาล 

และฤดูกาลสุดท้ายในอาชีพนักฟุตบอลของมิชูคือการย้ายกลับไปยัง เรอัล โอเบียโด สโมสรที่ฟูมฟักเขามาตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชน จนในที่สุดมิชูก็ประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2017 ด้วยอายุ 31 ปีเท่านั้น 

“ตามรายงานจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเท้าขวาของผมมันกำลังเตือนว่าควรเลิกเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้แล้ว ผมขอขอบคุณจากส่วนลึกของหัวใจสำหรับช่วงเวลามหัศจรรย์ทั้งหมดที่ทุกคนมอบให้ตลอดมา”

"ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เติมเต็มความฝันที่หวังไว้ว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพร่วมกับทุกคน ผมไม่มีวันตอบแทนความรักจากทุกคนได้หมด อันที่จริงผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรได้รับความรักจากทุกคนมากถึงขนาดนี้” มิชู โพสต์บนทวิตเตอร์ส่วนตัวตอนเขาแขวนสตั๊ด

โดยสรุปแล้วเส้นทางชีวิตค้าแข้งที่ล้มเหลวของมิชู นอกจากอาการบาดเจ็บที่พรากเอาพรสวรรค์บนผืนหญ้าไปจนหมดสิ้น ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำลายชีวิตการค้าแข้งของเขา โดย จอนโจ เชลวี่ย์ ได้ออกมาเล่าถึงพฤติกรรมของเพื่อนร่วมทีมรายนี้สมัยอยู่ที่ สวอนซี ซิตี้ ด้วยกันว่า

“ในแคมป์ของสโมสรจะมีการติดตั้งสายรัดข้อมือเพื่อให้ทีมงานเก็บข้อมูลการนอนหลับของแต่ละคน และนำมาแสดงบนจอยักษ์ที่ติดตั้งในห้องอาหาร ปกติแล้วพวกนักเตะจะนอนประมาณเที่ยงคืน”

“และกราฟก็แสดงให้เห็นว่ามีคนนอนคืนละสามชั่วโมง ใช่! และนั่นคือมิชู เขาเข้ามาในที่ประชุม ตาของเขาบวมมาก เราจึงสอบถามและได้ทราบว่ามิชูเล่น PlayStation จนถึงเช้า”

“ผมไม่รู้ว่ามิชูเคยเป็นแบบนี้มาก่อนไหม เขาดูเหนื่อยตลอดเวลา จากนั้นเขาก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ มิชูหายไปจากสารบบของทีม”

ทั้งนี้แม้จะโดดเด่นแค่เพียงฤดูกาลเดียวและแทบถูกลืมในปัจจุบัน แต่รู้หรือไม่ว่า เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ผู้ทำ 52 ประตู จากการลงสนาม 53 เกมรวมทุกรายการ ในฤดูกาล 2022-23 สมัยวัยเยาว์เขามีมิชูเป็นไอดอล โดยเรื่องราวสุดประทับใจนี้ถูกเปิดเผยกับ Cadena SER สื่อสัญชาติสเปน เมื่อปี 2022 ว่า

“ผมกับฮาลันด์ได้พบกันเมื่อปี 2020 ตอนนั้นผมมีโอกาสมอบเสื้อสโมสรบูร์โกสให้กับเขา และฮาลันด์เองก็ให้เสื้อ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (ทีมเก่าของฮาลันด์) ให้ผมเช่นเดียวกัน เราทั้งคู่แลกกันเซ็นชื่อลงบนเสื้อ ผมดีใจที่เขาไปได้สวยในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในอนาคตเขาจะเป็นสตาร์ของทวีปยุโรปร่วมกับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ราวกับเป็นผู้นำเจเนอเรชั่นต่อไปในโลกฟุตบอลเหมือนกับที่ ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เคยทำไว้”

“สำหรับผม ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่นักฟุตบอลระดับนี้มีผมเป็นต้นแบบเมื่อตอนที่เขายังเด็กและผมยังอยู่ในจุดสูงสุด ถ้าเขาเจออาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนักเขาอาจจะเล่นในระดับสุดยอดได้อีก 13 หรือไม่แน่อาจถึง 15 ฤดูกาล และถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผมเชื่อว่าฮาลันด์จะยิงได้มากกว่า 300 ประตูตลอดอาชีพ”

ปัจจุบันมิชูผันตัวมารับหน้าที่ผู้อํานวยการกีฬาของ บูร์โกส ทีมในเชกุนด้า หรือลีกรองของสเปน ตั้งแต่ปี 2020 

 

แหล่งอ้างอิง :

https://www.walesonline.co.uk/sport/football/football-news/story-michu-iconic-striker-who-24496561
https://en.wikipedia.org/wiki/Michu
https://www.transfermarkt.com/michu/leistungsdaten/spieler/70789
https://www.bangkokpost.com/sports/332271/star-striker-michu-extends-swansea-dream
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-4728268/Ex-Swansea-star-Michu-releases-statement-retiring.html

Author

รณกฤต ตุลยะปรีชา

วัยรุ่นคู้บอน

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา