Feature

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : มหากาพย์การเทคโอเวอร์ในมุมมองเศรษฐกิจการเมือง | Main Stand

ความยืดเยื้อเรื่องการขายสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของตระกูลเกลเซอร์ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 ยังคงดำเนินต่อไป

 

เกิดอะไรขึ้นกับตัวเต็งในการยื่นเทคโอเวอร์อย่างกลุ่มทุนกาตาร์ ที่นอกเหนือจากเรื่องเงินลงทุนแล้ว ปัจจัยทางเศรษฐกิจการเมืองก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การเจรจานี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้

หากการเทคโอเวอร์ในครั้งนี้สำเร็จขึ้นมาจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างไรบ้าง ไปหาคำตอบกันได้ที่ Main Stand

 

จุดเริ่มต้นของตระกูลเกลเซอร์

ธุรกิจที่ตระกูลเกลเซอร์ให้ความสนใจเป็นอย่างมากคือ “ธุรกิจทีมกีฬา” ทำให้เกิดการขยายธุรกิจด้วยการลงทุนกับทีมกีฬาในต่างประเทศ และพุ่งเป้าไปยังกีฬายอดนิยมของโลกอย่างฟุตบอล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นทีมที่ตอบโจทย์มากที่สุดในขณะนั้น จนการเทคโอเวอร์สำเร็จในปี 2005 

แต่เงินส่วนหนึ่งของการเทคโอเวอร์มาจากการกู้ยืมเงิน และบริหารทีมอย่างนั้นเรื่อยมาด้วยวิธีซื้อกิจการด้วยเงินกู้ (Leveraged Buyout) ซึ่งภายหลังได้มีการโอนหนี้สินกว่า 23,000 ล้านบาทให้เป็นหนี้ของสโมสรแทน ส่งผลให้แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องรับภาระหนี้สินและดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลในแต่ละปี 

ถึงแม้ว่าการบริหารเช่นนี้จะประสบความสำเร็จในช่วงเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของแฟนบอลปีศาจแดงอยู่ดี

 

มุมมองของแฟนบอลในช่วงเกือบสองทศวรรษ

แฟนบอลปีศาจแดงส่วนใหญ่ที่ไม่พอใจก็เป็นเพราะการที่ตระกูลเกลเซอร์ไปกู้ยืมเงินมาเทคโอเวอร์แสดงให้เห็นว่าตระกูลเกลเซอร์เห็นถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก และไม่ได้หลงใหลในฟุตบอลตามแบบที่แฟนบอลต้องการ หลังจากการเทคโอเวอร์ตระกูลเกลเซอร์ก็ไม่เคยใช้เงินของตัวเองลงทุนเพื่อทีมอีกเลยถ้าไม่ใช่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง 

อีกทั้งเงินอุดหนุนที่แฟนบอลจ่ายเข้ามาเพื่อสนับสนุนสโมสรให้ทีมเกิดการพัฒนาที่ดีขึ้นกลับถูกตระกูลเกลเซอร์นำเงินเหล่านี้ไปให้คนในตระกูลมากกว่าการพัฒนาทีม ทั้งที่บางคนก็ไม่ได้สนใจในฟุตบอลเลยด้วยซ้ำ จึงทำให้แฟนบอลปีศาจแดงรับไม่ได้กับการกระทำเหล่านี้จนเกิดการต่อต้านตระกูลเกลเซอร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เพราะฟุตบอลควรเป็นสิ่งที่ผูกพันกับคนในท้องถิ่นมากกว่าการเป็นเพียงแค่ธุรกิจอย่างเดียว ในมุมมองของแฟนบอล

 

การประกาศขายทีม

เหตุผลส่วนหนึ่งที่ตระกูลเกลเซอร์ต้องการขายทีมก็เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับแฟนบอล แต่เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นมาจากการที่สโมสรเต็มไปด้วยหนี้สินที่เป็นผลมาจากการกู้เงินมาลงทุนโดยที่ไม่แตะเงินของตัวเองเลย ตั้งแต่ปี 2005 ที่เทคโอเวอร์สำเร็จเป็นต้นมา 

แต่คำถามที่ทุกคนคงคิดเหมือนกันคือ ทำไมตระกูลเกลเซอร์ถึงเพิ่งมาตัดสินใจขายทีมในตอนนี้ล่ะ ? ทั้งที่สโมสรก็มีหนี้สินเรื่อยมาทุกปี แถมยังโดนแฟนบอลต่อต้านมานับทศวรรษ 

เหตุผลสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของพรีเมียร์ลีกในช่วงกลางปี 2022 นั่นเอง อาจจะเดาได้ไม่ยาก เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้คือการที่ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมชาวรัสเซีย ได้ตัดสินใจขายทีม เชลซี ด้วยเหตุผลทางการเมือง อันมีสาเหตุมาจากการที่รัสเซียรุกรานยูเครน 

และผู้ที่มารับช่วงต่อในการเทคโอเวอร์ที่อาจไม่ถูกใจแฟนบอลสิงห์บลูส์มากนักก็คือกลุ่มทุนสัญชาติอเมริกัน นำโดย ท็อดด์ โบห์ลี่ ในมูลค่าที่สูงถึง 4,250 ล้านปอนด์ ส่งผลให้ตลาดเกิดแรงผลักดันและสร้างมาตรฐานใหม่ไปในตัว 

จากเหตุการณ์นี้ทำให้ตระกูลเกลเซอร์เชื่อว่าในเวลานี้พวกเขาสามารถขายทีมได้กำไรอย่างมหาศาล จึงได้มองหากลุ่มทุนรายใหม่ที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์ในราคาที่สูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษที่ 5,000 ล้านปอนด์ขึ้นไป

มีผู้ยื่นข้อเสนอเทคโอเวอร์มากมาย แต่ตัวเต็งที่โดดเด่นและมีโอกาสมากที่สุดมีอยู่ 2 คน ได้แก่ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ (Sir Jim Ratcliffe) บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในสหราชอาณาจักร เจ้าของ INEOS บริษัทเคมีภัณฑ์ชื่อดัง และกลุ่มทุนจากประเทศกาตาร์ ชีค ยาสซิม บิน ฮาหมัด อัล ธานี (Sheikh Jassim bin Hamad Al Thani) ที่ปัจจุบันเป็นประธานธนาคาร QIB (Qatar Islamic Bank) หรือธนาคารอิสลามแห่งกาตาร์ 

ทำให้เต็งหนึ่งที่ทุกสำนักเห็นตรงกันคือกลุ่มทุนกาตาร์ ที่ท่านชีคประกาศอย่างชัดเจนว่าจะนำเงินเข้ามาซื้อสโมสร 100% แบบไม่ต้องกู้ยืม อีกทั้งเขายังเป็นแฟนบอลปีศาจแดงตัวยงตั้งแต่อายุ 10 ขวบอีกด้วย จึงทำให้แฟนบอลปีศาจแดงรู้สึกตื่นเต้นและฝันที่จะได้ท่านชีคมาเป็นเจ้าของทีมคนใหม่

แต่ฝันของแฟนบอลเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นจริงง่ายอย่างที่คิด เพราะดูเหมือนการเจรจายังคงมีความยืดเยื้อจากปัจจัยในหลาย ๆ ด้าน รวมไปถึงประเด็นด้านเศรษฐกิจการเมือง 

 

มุมมองทางเศรษฐกิจการเมือง

การเจรจาขายทีมที่ยืดเยื้อมาหลายเดือน นอกจากกลุ่มทุนกาตาร์ไม่ต้องการที่จะจ่ายแพงเกินควรแล้ว ยังมีสาเหตุอีกส่วนมาจากรัฐบาลของอังกฤษ ที่แม้จะออกมายืนยันว่าจะไม่ขัดขวางการซื้อทีมของกลุ่มทุนกาตาร์ แต่ก็มีความพยายามในการสร้างแรงกดดันไปยังพรีเมียร์ลีก โดยหยิบเอกสาร White Paper หรือเอกสารปกขาว ที่เป็นเอกสารรายงานปัญหาจากทางรัฐบาลอังกฤษ เพื่อเสนอแนะว่าสมควรหรือไม่ที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มาจากรัฐที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนน่าสงสัย เทคโอเวอร์สโมสร

ในกรณีนี้ก็คือกรณีที่ QIB ซึ่ง ชีค ยาสซิม เป็นประธาน ถูกลงโทษปรับเงินในปี 2016 เนื่องจากไปละเมิดข้อกำหนดด้านเงินทุนและยังทำให้บริษัทมีความเสี่ยงสูง ทำให้รัฐบาลอังกฤษมีความกังวลเกี่ยวกับการเทคโอเวอร์ในครั้งนี้ เพราะเมืองแมนเชสเตอร์ถือเป็นเมืองใหญ่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ทำให้รัฐบาลต้องทำการตรวจสอบประวัติบุคคลที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์อย่างละเอียด

อีกทั้งรัฐบาลยังมีเกณฑ์ในการทดสอบเจ้าของทีมหรือผู้ที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์ว่าสามารถเปิดเผยข้อมูลทางการเมืองได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อช่วยเพิ่มความโปร่งใสให้กับวงการลูกหนังจึงต้องมีการแทรกแซงจากรัฐบาล เพื่อป้องกันเรื่องของสิทธิมนุษยชนในประเทศ ดังที่ สจวร์ต แอนดรูว์ รัฐมนตรีกระทรวงกีฬา กล่าวไว้ว่า 

“เราตระหนักดีว่ามีการลงทุนระหว่างประเทศที่สำคัญจากทั่วโลกเข้ามาสู่ฟุตบอลอังกฤษ แต่สิ่งที่เรากำลังพยายามทำคือ ลงไปดูว่าใครคือเจ้าของเดิม และเจ้าของใหม่ต้องผ่านการทดสอบที่เหมาะสม”

รวมไปถึงการที่รัฐบาลอังกฤษเพิ่งทำการเปิดตัวการปฏิรูปครั้งใหญ่เกี่ยวกับการดูแลสินทรัพย์กีฬา เพื่อมุ่งเน้นไปที่ความมั่นคงทางการเงินและเกณฑ์การเป็นเจ้าของทีมที่เข้มงวดมากขึ้น 

การกระทำเหล่านี้ของรัฐบาลอังกฤษแสดงให้เห็นว่าการเทคโอเวอร์ทีมหรือการเข้ามาเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ ถ้าเป็นคนที่มีประวัติน่าสงสัยก็ต้องทำการตรวจสอบให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงทำให้การเทคโอเวอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด จากกลุ่มทุนกาตาร์ครั้งนี้อาจเป็นไปได้ยากขึ้น 

ส่วนในอีกมุมมองหนึ่งทางการเมืองก็แสดงให้เห็นว่าฟุตบอลกับการเมืองเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ สองสิ่งนี้มีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งอยู่ตลอด ไม่ว่าในปัจจุบันจะเปลี่ยนสโมสรฟุตบอลให้อยู่บนพื้นฐานของเรื่องธุรกิจเป็นส่วนใหญ่แล้วก็ตาม แต่มันก็ยังคงมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของทีมที่มีมาอย่างยาวนานและเหตุผลด้านศาสนาหรือเชื้อชาติ ทำให้การแสดงออกทางการเมืองนั้นสามารถเห็นได้อยู่บ่อย ๆ ในโลกของฟุตบอล 

ซึ่งการกระทำเหล่านี้สามารถบ่งบอกถึงภาพลักษณ์ของสโมสร เมือง และประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านที่ดีหรือไม่ก็ตาม ซึ่งในกรณีการเทคโอเวอร์นี้ก็สำคัญ เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่มีชื่อเสียง การที่ได้เจ้าของเป็นคนเอเชียเป็นครั้งแรกอาจทำให้ผู้บริหารบางส่วนรวมไปถึงแฟนบอลที่เคร่งในเรื่องศาสนาและเชื้อชาติวิตกกังวลในเรื่องภาพลักษณ์ของสโมสร เพราะมันอาจทำให้ทิศทางของสโมสรเปลี่ยนไป

การเจรจาที่ยืดเยื้อนี้อาจมีมุมมองที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจได้เช่นกัน เพราะโมเดลของผู้ถือหุ้นของสโมสรฟุตบอลในอังกฤษเป็นแบบตลาดในระบบทุนนิยมที่สามารถให้นักธุรกิจชาวต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อหุ้นทีมได้อิสระ และมีเสรีภาพในการดำเนินงานภายในได้อย่างเต็มที่ โดยที่รัฐบาลจะไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงการดำเนินงาน 

ดังนั้นเอกชนหรือผู้ถือหุ้นของสโมสรที่เข้ามาเทคโอเวอร์จึงต้องใช้ระบบราคาหรือระบบตลาดที่เป็นกลไกสำคัญในระบบทุนนิยมเข้ามาช่วยในการตัดสินใจ ทำให้ตลาดมีการแข่งขันทางราคาที่สูงและเป็นไปอย่างเสรี 

การเจรจาที่ยืดเยื้อครั้งนี้ก็มีผลมาจากข้อเสียของระบบทุนนิยมด้วยเช่นกัน เพราะระบบนี้ทำให้การกระจายรายได้ของประชาชนไม่เท่าเทียม บุคคลที่มีทรัพย์สินมากกว่าก็ย่อมมีความได้เปรียบมากกว่าบุคคลที่มีทรัพย์สินน้อยกว่า เพราะทรัพย์สินถือว่าเป็นตัวกำหนดรายได้ 

ดังเช่นมุมมองที่ตระกูลเกลเซอร์มองว่ารายได้จากการขายทีมให้กลุ่มทุนกาตาร์อาจได้ผลประโยชน์ที่น้อยกว่าการขายทีมให้ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ที่อาจให้เม็ดเงินที่สูงขึ้นในภายหลัง แถมยังเปิดช่องให้เจ้าของเดิมมีส่วนร่วมในสโมสรอีกช่วงเวลาหนึ่งจากการเลือกขายหุ้นบางส่วน แล้วนำมูลค่าประเมินที่เกิดขึ้นไปกู้เงินรอบใหม่ เพราะตระกูลเกลเซอร์ก็มองฟุตบอลว่าเป็นธุรกิจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 

ประกอบกับการอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมด้วยแล้ว การตัดสินใจขายทีมให้กลุ่มทุนกาตาร์ที่ยื่นข้อเสนอด้วยราคาที่ยังถึงที่ต้องการก็เป็นอีกเหตุผลให้การเจรจานี้เกิดความยืดเยื้อ 

 

ทุนนิยมนำพา

ส่วนอีกมุมมองหนึ่งทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม คือนักธุรกิจชาวต่างชาติที่เข้ามาเทคโอเวอร์สามารถจัดการทีมฟุตบอลให้เป็นไปในรูปแบบของบริษัทข้ามชาติได้ เหมือนกับบริษัทข้ามชาติชื่อดังของโลกอย่าง Apple ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา และทำการขยายสาขาไปยังทั่วโลก นั่นก็เพื่อขยายฐานของบริษัทและยกระดับความสามารถทางแข่งขันไปทั่วโลก

เช่นเดียวกับสโมสรฟุตบอลที่มีการขยายสาขาของทีมผ่านการซื้อสโมสรในประเทศต่าง ๆ เพื่อขยายตลาด ส่วนมากจะเป็นประเทศที่ไม่ได้มีชื่อเสียงด้านฟุตบอลมากนัก แล้วค่อยพัฒนาให้เป็นทีมในเครือเดียวกัน เพื่อผลประโยชน์ในเรื่องนักเตะเยาวชนที่จะนำรายได้มาสู่สโมสรได้ในอนาคต 

แต่ในทางกลับกัน การขยายการลงทุนไปในหลายประเทศก็อาจเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ เนื่องจากบริษัทข้ามชาติเหล่านี้อาจย้ายฐานการลงทุน ด้วยมูลค่าการลงทุนมหาศาลจึงอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของประเทศหรือมีอำนาจเหนือรัฐได้

การเจรจาที่ยืดเยื้อครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะถ้ากลุ่มทุนกาตาร์ที่แฟนบอลทราบดีว่าปัจจุบันเป็นเจ้าของ ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ทีมดังแห่งฝรั่งเศส เข้ามาเทคโอเวอร์สำเร็จ และทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นบริษัทฟุตบอลข้ามชาติได้จริงตามที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ด้านเศรษฐกิจการเมืองของประเทศเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน ทำทุกฝ่ายให้ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้โดยไม่มองเพียงแค่เม็ดเงินการลงทุนเพียงอย่างเดียว

 

บทสรุปที่ไม่รู้ต้องรอนานแค่ไหน 

การเจรจาเทคโอเวอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ของวงการฟุตบอล เพราะมันเกิดขึ้นกับสโมสรที่มีคนติดตามทั่วโลก 

แทบทุกฝ่ายมองเห็นตรงกันว่าหากการเทคโอเวอร์ของกลุ่มทุนกาตาร์ในครั้งนี้สำเร็จ จะส่งผลให้สโมสรเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นในแง่ของการเสริมทัพและการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในสโมสร

เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายคือ แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีรูปแบบคล้ายกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน เพราะการได้เจ้าของทีมคนใหม่ที่เชียร์ปีศาจแดงมาตั้งแต่วัยเด็ก มีทรัพย์สินมากแบบไร้ขีดจำกัด และเข้าใจการบริหารทีมฟุตบอล ก็ย่อมดีกว่าตระกูลเกลเซอร์ในมุมมองของแฟนบอลปีศาจแดงแน่นอน

หนึ่งเรื่องที่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมได้แน่นอนคือการพัฒนาเยาวชนให้ขึ้นมาสู้กับนักเตะต่างชาติได้ เพราะด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษ การพัฒนาเยาวชนเป็นหน้าที่ของสโมสรไม่ใช่ของสมาคม ถ้าท่านชีคแห่งกาตาร์เข้ามาแล้วใช้เงินลงทุนของตัวเอง 100% ตามที่ได้กล่าวไว้จริง ๆ ก็จะสามารถนำเงินส่วนนี้มาพัฒนาในจุดนี้ได้

และอีกเรื่องที่ส่งผลอย่างแน่นอนคือเรื่องของการซื้อนักเตะชื่อดัง เพราะการที่ท่านชีคเป็นแฟนบอลมาตั้งแต่ 10 ขวบ ทำให้เขามีความผูกพันกับสโมสรในฐานะแฟนบอลคนหนึ่งอยู่แล้ว ดังนั้นการที่ได้เข้ามาเป็นเจ้าของทีมที่รักก็ย่อมอยากเห็นทีมประสบความสำเร็จในแง่ผลงานมากกว่ามองแค่ผลประโยชน์ทางธุรกิจ 

และอีกเรื่องหนึ่งที่มีโอกาสเป็นไปได้คือการทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นสโมสรฟุตบอลในรูปแบบของบริษัทฟุตบอลข้ามชาติด้วยการเชื่อมสัมพันธ์กับเปแอสเชหรือทีมอื่น ๆ ที่มีกลุ่มทุนกาตาร์เป็นเจ้าของ การเป็นเครือข่ายก็จะทำให้การบริหารทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถแบ่งชั้นเยาวชนให้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับทีมในเครือข่ายได้ รวมไปถึงการขยายฐานแฟนบอลในกาตาร์และเอเชีย 

แต่ฝันของแฟนบอลปีศาจแดงอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะส่วนหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลอังกฤษมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้พอสมควร อีกทั้งยังมีข่าวจากสื่ออังกฤษหลายสำนักว่า เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ได้ขึ้นมาเป็นเต็งหนึ่งด้วยข้อเสนอที่มากและเอื้อต่อตระกูลเกลเซอร์มากกว่า หรือบางสื่อก็นำเสนอว่า ตระกูลเกลเซอร์เกิดเปลี่ยนใจไม่ต้องการขายทีมแล้ว

สุดท้ายแล้วทิศทางของ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร บทสรุปของการเทคโอเวอร์ครั้งนี้เราคงต้องติดตามกันต่อไป

 
 
แหล่งอ้างอิง

https://www.longtunman.com/42941
https://themomentum.co/gameon-manchester-united-glazer/
https://www.thaipbs.or.th/news/content/324785
https://www.standard.co.uk/news/uk/glazer-family-owners-manchester-united-net-worth-b1059986.html
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/glazers-man-utd-selling-reasons-28560574
https://www.express.co.uk/sport/football/1754572/man-utd-takeover-uk-government-qatar-sheikh-jassim
https://www.theguardian.com/football/2023/feb/23/white-paper-would-not-block-qatari-buyout-of-manchester-united

Author

Main Stand

Stand ForAll สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ