"เกมรุกจะทำให้ชนะ แต่เกมรับจะทำให้เป็นแชมป์"
แม้โควตสุดคลาสสิกนี้อาจจะยังกล่าวได้ไม่เต็มปากเต็มคำสำหรับ บาร์เซโลน่า แต่ "11" คือจำนวนประตูที่เสียในลา ลีกา ฤดูกาล 2022-23 ซึ่งใกล้จะปิดฉากลงเต็มที ถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก เพราะอันดับรอง ๆ มีจำนวนการเสียประตูขึ้นเลข 2 นำหน้าไปแล้วทั้งสิ้น
แน่นอนว่าประการแรก เครดิตย่อมตกแก่กองหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ โดยเซ็นเตอร์แกนหลักที่โชว์ฟอร์มสุดยอดและแสดงคลาสระดับเทียบรัศมีตำนานแนวรับอย่าง การ์เลส ปูโยล, เคราร์ด ปีเก้ ชื่อนั้นคือ "โรนัลด์ อาเราโฆ (Ronald Araújo)"
ดาวเตะจากอุรุกวัยคนนี้ถือได้ว่าเล่นได้เกินอายุอย่างมาก แถมยืนได้แข็งแกร่งชนิดที่ช่วยให้เพื่อนร่วมทีมทำเกมบุกได้เพลิน ๆ แม้ฝั่งตรงข้ามจะหลุดมากี่รอบก็ชิลล์ เพราะมีอาเราโฆเก็บให้หมดทุกเม็ด
ร่วมติดตามวิถีสุดเฟี้ยว ใส่เดี่ยวแนวรุกคู่ต่อสู้ได้หมดของนักเตะฉายา "ควายถึก" คนนี้ ไปพร้อมกับ Main Stand
อุรุกวัย ใ จ เ ก เ ร
โรนัลด์ เฟเดริโก อาเราโฆ ดา ซิลวา (Ronald Federico Araújo da Silva) เกิดที่เมืองริเวรา (Rivera) เขตการปกครองริเวรา (Departamento de Rivera) เขตชายแดนอุรุกวัย-บราซิล ห่างจากมอนเตวิเดโอ (Montevideo) เมืองหลวงของประเทศประมาณ 450 กิโลเมตร (ประมาณขับรถจากกรุงเทพฯ ไปสุรินทร์) เขาเป็นลูกครึ่งที่มีพ่อเป็นอุรุกวัยและแม่เป็นบราซิล แถมเป็นลูกชายคนโตของตระกูลของพี่น้องทั้งหมด 3 ชีวิต
ชีวิตของเขาไม่ได้ลำบากลำบนอะไรเหมือนกับเรื่องราวชีวิตของนักฟุตบอลส่วนใหญ่ เพราะครอบครัวอยู่ในฐานะของชนชั้นกลาง (Middle Class) หน้าที่การงานของพ่อเขาคือเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ถือได้ว่าสามารถหาเลี้ยงทั้งครอบครัวได้แบบเหลือกินเหลือใช้โดยช่วยให้แม่ไม่ต้องทำงานและเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก ๆ ทั้งหมดได้เลย แต่ก็มีการอบเค้กไปขายเป็นรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นงานอดิเรกของครอบครัว
และด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโต ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวแบบตะวันออกหรือตะวันตกล้วนมีชุดความคิดที่ว่าจะต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวและเป็นที่พึ่งให้กับน้อง ๆ และพ่อแม่ยามแก่เฒ่า แน่นอนว่าการจะเป็นเช่นนั้นได้ ส่วนหนึ่งต้องอาศัยการศึกษาคว้าใบปริญญามาเพื่อหน้าที่การงานที่มั่นคงและสามารถอัพเงินเดือนสูง ๆ ได้ ตามตำราของชนชั้นกลางที่ไม่ได้มีทรัพย์สินเป็นมรดกมากเท่ากับบรรดาอีลีต
ซึ่งอาเราโฆเองก็ถือได้ว่ามีความสามารถทางด้านการเรียนที่ไม่น้อยหน้าใคร เขาถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่มีชื่อของเมืองเพื่อให้ซึมซับบรรยากาศทางการศึกษาอย่างเข้มข้นตั้งแต่วัย 6 ปี กระนั้นการออกมาใช้ชีวิตโดยห่างจากอ้อมอกพ่อแม่ก็ถือเป็นดาบสองคม เพราะอาเราโฆเมื่อได้มีชีวิตที่อิสระมากขึ้นกลับไปตกหลุมรักกีฬาชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "ฟุตบอล"
เรียกได้ว่าจากเด็กที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทางการศึกษาก็ออกลาย คลาสเรียนก็ไม่เข้า โดดเรียนประจำ เพราะจะได้ออกไปเตะฟุตบอลกับสหาย เท่านั้นยังไม่พอเขายังติดเกมอย่างหนัก โดยเฉพาะบรรดาเกมฟุตบอลไม่ว่าจะเป็น FIFA หรือ PES เขาก็เล่นแบบไม่รู้เดือนรู้ตะวัน
เรื่องนี้ถือได้ว่าสร้างความทุกข์ใจให้กับพ่อแม่อย่างมาก โดยเฉพาะคนเป็นพ่อที่ตั้งความหวังไว้อย่างมากกับลูกชายคนโต แต่คนเป็นแม่กลับมีความเข้าใจในตัวลูกชายมากกว่า อาจเพราะเป็นแม่บ้านที่อยู่ใกล้ชิดกับลูก กว่าพ่อที่ต้องออกไปทำงานกลับมืดค่ำทุกวัน
โดยแม่ของเขาเข้าใจถึงแพสชั่นในด้านฟุตบอลของอาเราโฆอย่างมาก เพราะตอนที่ไปออกร้านขายเค้กที่โรงเรียนลูกชายได้เห็นทักษะการเล่นฟุตบอลของเขาอยู่บ่อยครั้ง จึงต้องการให้มาเปิดใจกับพ่อตรง ๆ ว่าหากอยากเป็นนักฟุตบอลแล้วก็ขอให้ไปให้สุด แน่นอนว่าคนเป็นแม่ถือว่าให้ท้ายลูกอย่างมากและคอยโน้มน้าวสามีให้เชื่อมั่นในลูกชายคนนี้ ก่อนที่จะยินยอมให้อาเราโฆย้ายไปเดินทางสายฟุตบอลสมใจกับอคาเดมีของสโมสรอูราคาน (Huracán de Rivera) ทีมละแวกบ้านเกิดที่สนามซ้อมห่างจากบ้านไม่มาก
และนี่คือจุดเริ่มต้นของความเป็นสตาร์แห่งอุรุกวัย
จากกองหน้าสู่กองหลัง
"เราพูดภาษาโปรตุญอล (ภาษาทองแดงระหว่างโปรตุเกสและสเปน) ครอบครัวผมมีญาติเป็นชาวบราซิลทั้งนั้น ผมต้องจ่ายเงินให้ทางการอุรุกวัยเพื่อที่จะได้ดูรายการทีวีของบราซิล แน่นอนว่าผมฟังเพลงบราซิลและกินอาหารบราซิลด้วย แต่พูดก็พูดเถอะ เรื่องฟุตบอลผมเลือกอุรุกวัยนะ (หัวเราะ)"
คำกล่าวติดตลกของอาเราโฆนี้สะท้อนให้เห็นเลือดอุรุกวัยเต็มขั้นของเขา เรียกได้ว่าความฝันในการติดทัพ "จอมโหด" ของเขามีมาตั้งแต่วัยเด็กเลยทีเดียว
แต่ชีวิตไม่ได้มีอะไรง่าย ในตอนที่เริ่มต้นในอคาเดมี เขาต้องประสบกับปัญหาเล่นไม่คลิกกับทีมหรือกับแผนการเล่นใด ๆ ต่อให้ทีมจะคว้าโทรฟี่มาสารพัดแต่ตัวเขากลับเป็นเหมือนการลงไปยืน ๆ ให้ครบ 11 คนมากกว่าที่จะฉายแววความฉกาจฉกรรจ์อย่างที่วาดหวังไว้
เรื่องนี้ถือว่าเป็นปัญหาสำหรับทั้งเขาและสตาฟของทีมอย่างมากว่าแท้จริงนั้นเกิดอะไรขึ้นกับนักเตะที่คาดว่าจะกลายเป็นเพชรเม็ดงาม ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาว่า นั่นเพราะการลงสนามในตำแหน่งหน้าต่ำของเขาทำให้เขาไม่สามารถใช้ทักษะที่เขามีได้อย่างเต็มที่ เขาต้องคิดเยอะในการที่จะสร้างสรรค์เกม ครองบอลได้ไม่นานก็เสียบอลไปบ่อยครั้ง แถมยังดูเก้งก้างทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันไปเสียหมด
ทำให้ในที่สุดโค้ชจึงตัดสินใจเปลี่ยนตำแหน่งให้เขาไปยืนเซ็นเตอร์แบ็กแทน เนื่องจากความเร็วที่เขาเคยเล่นในแดนหน้าถือว่ามีมากกว่ากองหลังโดยทั่วไปที่มักจะเชื่องช้า แถมการเข้าสกัดบอลของเขาก็ยังทำได้ดีเยี่ยม ดีกว่าต้องไปสร้างสรรค์เกมและครองบอลนาน ๆ คิดเยอะ ๆ ให้เสียเวลา เมื่อบอลหลุดมา ไม่เข้าสกัดก็จ่ายออกปีกหรือแดนหน้าให้ไปทำเกมเลย เขาเพียงแค่รอเก็บตกจังหวะสองเป็นพอ
ซึ่งการเปลี่ยนตำแหน่งนี้เองที่ทำให้เขาได้ขยับระดับของตนเองให้ก้าวไกลมากขึ้น โดยเขาผ่านการคัดเลือกเข้าสู่อคาเดมีของ เรนติสตาส์ (Club Atlético Rentistas) ในเมืองหลวงของประเทศ แม้จะมีเรื่องช้ำใจจากการไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่ เปนญารอล (Club Atlético Peñarol) สโมสรระดับยักษ์ใหญ่ของประเทศมา
"ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องลงมายืนเป็นกองหลังเหมือนกันครับ … มันทำเอาผมต้องเปลี่ยนไอดอลจากโรนัลดินโญ่ มาเป็น การ์เลส ปูโยล, ริโอ เฟอร์ดินานด์, หรือ คิเอลินี และ โบนุชชี เลยครับ" อาเราโฆ กล่าวแบบติดตลกกับ The Guardian
นานวันเข้าเขาก็กลายเป็นกองหลังที่ถือได้ว่าครบเครื่อง แถมมาด้วยความแข็งแกร่งตามวัยที่เติบโต และได้เรื่องของความเก๋าในการอ่านเกมเพิ่มเข้ามา ในที่สุด 24 กันยายน 2016 ด้วยวัย 17 ปี เขาได้ลงสนามในฟุตบอลอาชีพในเกมที่พบกับ ทากัวเร็มโบ (Tacuarembó F.C.) ในเซกุนด้า เบ ลีกรองของประเทศอุรุกวัย
ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมา บอสตัน ริเวอร์ (Club Atlético Boston River) สโมสรระดับชั้นนำบนลีกสูงสุดของประเทศ ได้คว้าตัวเขาไปร่วมทัพ พร้อมกับแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่า "ไอ้หนุ่ม! เดี๋ยวพี่ให้ลงเป็น 11 ตัวจริงเลย" และก็เป็นเช่นนั้น 27 แมตช์ที่ลงสนาม ไอ้หนุ่มจากริเวราก็โชว์ฟอร์มเกินวัย 18 ปีไปมาก
โดยเฉพาะวิธีการเล่นแบบ "บุกเลยพี่ ตรงนี้ผมเคลียร์ให้" เพราะไม่ว่าบอสตัน ริเวอร์ จะบุกแบบหลังลอย บุกวันเวย์ หรือบุกโดยไม่สนเกมรับขนาดไหน แต่ในทุก ๆ พื้นที่ที่คู่ต่อสู้โจมตีเข้ามาก็จะมีอาเราโฆโผล่ไปสกัด แท็กเคิล หรือตัดฟาล์วได้ทัน ชนิดที่เรียกว่าคนเดียวเอาอยู่แบบไม่เคอะเขิน โดยทีมของเขาจบอันดับที่ 5 ของตารางคะแนนตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายเข้ามาเลยทีเดียว
ตรงนี้นับว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจของแมวมอง "บาร์เซโลน่า" อย่างมาก ขนาดที่ว่าต้องเบนเข็มจากการเฝ้าดูฟอร์มกองหลังดาวรุ่งอีกคนหนึ่งของสโมสร โบคา จูเนียร์ส มาดูฟอร์มอาเราโฆ และแน่นอนว่า 1.7 ล้านยูโรคือราคาที่ระบุไว้ในสัญญา พร้อมออปชัน 3.5 ล้านยูโรสำหรับอนาคต เพื่อกระชากตัวอาเราโฆไปอยู่ที่ ลา มาเซีย เมื่ออายุครบ 20 ปี (ปล่อยให้ต้นสังกัดเดิมใช้งานต่อไปอีกฤดูกาล)
เจ้าบุญกั๊ก ชะงักหมด
ถึงแม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงคับประเทศอุรุกวัย แต่การบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่คาตาโลเนียสำหรับเขาถือว่าโนเนมอย่างมาก และที่สำคัญ ณ ขณะนั้นในแผงเกมรับในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กของเจ้าบุญทุ่มถูกจับจองโดย ซามูเอล อุมติตี้ และ เคลมองต์ ล็องเลต์
นั่นทำให้อาเราโฆได้แต่ฝึกซ้อมไปเรื่อย ๆ อยู่กับบาร์เซโลน่า เบ ทีมสำรองของบาร์เซโลน่าแบบไม่เห็นอนาคตว่า ท้ายที่สุดเขาจะได้มีโอกาสไปสัมผัสกับคำว่าฟุตบอลอาชีพเต็มตัว
แต่วิถีสุดเด็ดเดี่ยวในสนามกับการฉายเดี่ยวสกัดยังคงมีความต่อเนื่องจากอุรุกวัย ถึงขนาดที่สโมสรต้องตั้งค่าฉีกสัญญาระดับ 100 ล้านยูโรกันท่าทีมอื่นที่อยากคว้าตัวก่อน แม้ในความเป็นจริงทีมจะเลือกหยิบกองหลังที่โชว์ฟอร์มได้ไม่โหดเท่าเขาอย่าง ฌ็อง-แกร์ก โทดิโบ (Jean-Clair Todibo) หรือ แยร์สัน มูริลโญ (Jeison Murillo) ไปแทน
"ผมไม่เคยลืมความรู้สึกแรกที่เซ็นสัญญาเลย บาร์ซ่ายากกว่าบ้านเกิดเราเป็นไหน ๆ ผมได้แต่เตือนตัวเองว่า เรามาที่นี่เพื่อลงสนาม ผมอยากจะเป็น 25 นักเตะของทีมชุดใหญ่ อยากติดทีมพรีซีซั่นไปปล่อยของ ก็ไม่รู้ทำไมนะครับ แต่ผมย้ำคิดย้ำทำแบบนี้ตลอด และก็ขอบคุณพระเจ้า ผมตั้งใจซ้อมกับทีมบาร์ซ่า เบ มาก ๆ จนฝันเป็นจริง"
นั่นเป็นคำกล่าวของเขาเมื่อย้อนกลับไปถึงวันที่ต้องนั่งทำอะไรวนลูปมาตลอด และก็ได้รับโอกาสลงสนามครั้งแรกในเกมที่พบกับ เซบีญ่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2018 โดยมีหน้าที่ตามประกบ ฮาเวียร์ "ชิชาริโต้" เอร์นานเดซ อดีตกองหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใน 10 กว่านาทีที่เหลือของเกม
แต่โอกาสแรกที่เขาได้เปิดหัวกับบาร์ซ่ากลับไม่สวยงามเท่าไร เพราะไม่กี่นาทีเขากลับโดนใบแดงไล่ออกจากสนามไปเสียอย่างนั้น และหลังจากนั้นเขาก็ถือได้ว่าหมดอนาคตกับทีมไปเลยเกือบ 2 ฤดูกาล
จนกระทั่งการมาถึงของชายที่ชื่อว่า โรนัลด์ คูมัน (Ronald Koeman)
โรนัลด์ หนุนหลัง โรนัลด์
"ไอ้หนุ่มคนนี้ (อาเราโฆ) มีอนาคตที่สดใสรออยู่ ยอมรับว่าเขาแข็งแกร่งจริง สปีดดีจริง ผมก็อยากจะปั้นมาก ๆ เขามีอะไรที่พัฒนาต่อไปได้ และเขาก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาและเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ตลอด ซึ่งเป็นเรื่องปกติของนักเตะดาวรุ่งน่ะครับ"
ข้างต้นเป็นคำกล่าวของคูมันเมื่อครั้งเข้ามารับจ๊อบคุมทัพเจ้าบุญทุ่ม เมื่อฤดูกาล 2020-21 เพื่อยืนยันว่าเขาจะปั้นอาเราโฆแบบเต็มสูบ เห็นได้จากการมอบหมายเลข 4 ให้ไปสวมใส่ อันเป็นเครื่องการันตีว่าเขาจะอยู่ใน 25 ขุนพลชุดใหญ่ของทีม
ซึ่งเหมือนปาฏิหาริย์หรือเพราะที่เขาอัดอั้นจากการโดนดองมาไม่ต่ำกว่า 2 ปีก็ไม่อาจทราบได้ แต่การลงสนามของเขายกระดับแผงกองหลังที่เริ่มจะปวกเปียกลง ทั้งจากวัยที่เพิ่มมากขึ้นหรือระดับมาตรฐานที่ลดลงของเกรดนักเตะที่บาร์โตเมวถลุงเงินไปซื้อมาแต่ไม่เข้าระบบกับทีมได้อย่างเหลือเชื่อ ชนิดที่แฟนบอลต้องอุทานดัง ๆ ว่า "ไปอยู่ที่ไหนมา ?"
กระนั้นฟอร์มทีมโดยรวมก็ยังไม่ค่อยสู้ดีนักจนร่วงลงไปอยู่ในโซนกลางตารางอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะในช่วงเปิดหัวทีมยังมีการลองของสลับแผงหลังมั่วไปหมดโดยไม่มีตำแหน่งตายตัว แต่เมื่อค้นพบว่าอาเราโฆสามารถยืนเป็นหลักได้จึงปล่อยให้ได้ยืนไปยาว ๆ และทีมก็ค่อย ๆ ฟอร์มดีขึ้นอย่างมาก
สไตล์การเล่นแบบนี้ทำให้แฟนบอลหลายคนคิดถึง เคราร์ด ปีเก้ ตำนานของทีมในสมัยหนุ่ม ๆ หากแต่อาเราโฆมีความดุดันและมีภาระหน้าที่ที่หลักกว่ามาก เพราะตอนแรกเริ่มปีเก้มีปูโยลคอยขนาบข้าง แต่อาเราโฆต้องมาคอยขนาบคนที่มีอาวุโสมากกว่าทั้งที่ยังไม่พ้นวัยเยาวชน และที่ตลกร้ายก็คือต้องมาขนาบให้ปีเก้ในวัยชรา ที่ใจมีแต่ร่างกายจะไปแหล่ไม่ไปแหล่
ซ้ำยังตลกร้ายไปกว่านั้น เพราะอาเราโฆมีปีเก้เป็นไอดอลเหมือนที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า
"ผมโดนโยงสไตล์การเล่นไปกับหลายคนมาก ๆ แต่ผมรู้สึกว่า เวลาผมเล่นฟุตบอล สิ่งที่ผมอยากเติมเต็มมากที่สุดคือการเล่นแบบปีเก้ แม้เขาจะไม่ได้รวดเร็ว แต่นี่คือกองหลังระดับตำนาน แถมเขายังยืนตำแหน่งได้ดีมาก ๆ ผมอยากทำได้แบบนี้บ้างครับ"
กระนั้นปีเก้เองก็ได้ออกมาชื่นชมอาเราโฆกลับ ชนิดที่ได้ฟังแล้วอาจมีตัวลอยได้เลยทีเดียว ความว่า
"เขายังเด็กแต่มีมันสมองในการเล่นที่ยอดเยี่ยม เขาโหม่งเก่งกว่าผมอีกครับ การเปลี่ยนจากเกมรับเป็นรุกก็ถือว่ายอดเยี่ยม ไม่มีฟลุกครับแบบนี้ นี่แหละปราการหลังที่เราคู่ควร เขาจะสามาถยืนระยะให้เราได้ยาว ๆ ไม่ต่ำกว่า 10-15 ปีแน่นอนครับ"
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บาร์ซ่าในยุคหลังเหมือนอยู่ในช่วงขาลง เพราะไม่ว่าอาเราโฆจะพยายามโชว์ฟอร์มและพยายามทำทุกอย่างที่กองหลังที่ดีควรจะทำขนาดไหน บาร์ซ่ากลับทำผลงานได้ยํ่าแย่ลง ตกรอบแม้กระทั่งรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และยังตกรอบยูโรปา ลีก แถมในลีกยังโดน เรอัล มาดริด ทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่น
จนกระทั่งความเข้าฝักมาเกิดขึ้นในฤดูกาล 2022-23
เกมรุกจะทำให้ชนะ แต่เกมรับจะทำให้เป็นแชมป์
ก่อนเริ่มฤดูกาล หากมีใครหน้าไหนทำนายว่าบาร์เซโลน่าจะเสียประตูน้อยที่สุดในลีกและแจ้งเกิดแนวรับที่แข็งแกร่งย่อมต้องมีคนหัวเราะฟันร่วงกราวแน่นอน เพราะจากการพิจารณาย้อนหลังมาในช่วง 3-4 ปี บาร์ซ่าไม่เคยสร้างกองหลังขึ้นมาทดแทนที่มีอยู่ได้ และใช้แต่ผู้เล่นเก่า ๆ มาเรื่อย ๆ
แต่อาเราโฆพิสูจน์ให้เห็นแบบชัด ๆ แล้วว่า ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ "ฝันร้าย" ณ ตอนนี้ บาร์ซ่าแนวใหม่ได้จุติขึ้นแล้ว
แม้ในเกมระดับทวีปจะยังคงเป็นคำถาม จากการตกรอบเดิม 2 ปีติดในแชมเปี้ยนส์ลีก และโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สอนบอลอย่างเหลือเชื่อในรอบเพลย์ออฟของยูโรปา ลีก แต่ผลงานในลา ลีกา นั้นถือได้ว่าสวนทางอย่างมาก
เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กองหลังเพียงแค่คนเดียวจะสามารถไล่เก็บแดนหน้าของคู่ต่อสู้ในลีกเกิน 20 แมตช์ (สาเหตุที่ตัวเลขการลงสนามน้อย เพราะเขาเจ็บโคนขาหนีบ ต้องพักราว 2 เดือน) แถมทำสถิติไม่เสียประตูยาวนานถึง 7 แมตช์ติดต่อกัน (เกือบ ๆ 700 นาที) แถมยังต้องคอยประคับประคองกองหลังที่ทีมซื้อเข้ามาใหม่ที่อายุมากกว่าตัวเขาเองอีกต่างหาก
และที่สำคัญ ในเกมแห่งฤดูกาลที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ที่ใครหลายคนบ่นนักบ่นหนาว่าโดนเจ้าบ้านสอนบอล แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดกลับเป็นอาเราโฆที่โดดเด่นอยู่คนเดียว แนวรุกของเจ้าบ้านแทบจะไม่มีใครเลี้ยงผ่านเขาได้เลย แต่กับ อันเดรียส คริสเตนเซ่น กลับผ่านฉลุยได้หมด
หรือในเกมที่ชนะ เรอัล มาดริด ไป 2-1 ต่อลมหายใจในการกลับมาคว้าแชมป์ นอกจากเรื่องที่เขาทำเข้าประตูตัวเองแล้ว ในรายละเอียดการเล่นถือได้ว่าจัดการบีบพื้นที่แนวรุกของคู่ต่อสู้ที่กำลังฟอร์มแรง เช่น วินิซิอุส จูเนียร์ส หรือ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ได้อย่างอยู่หมัด
มาถึงตรงนี้ ในวัย 24 ปีของอาเราโฆยังถือได้ว่าหนทางยังอีกยาวไกล เพราะคำถามสำคัญที่ตามมาคือฟอร์มการเล่นของเขายังไม่สามารถยกระดับ "ทีมชาติอุรุกวัย" ที่อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านที่บรรดานักเตะที่สร้างตำนานให้กับทีมอย่าง หลุยส์ ซัวเรส, เอดินสัน คาวานี่, หรือ ดิเอโก้ โกดิน รอวันหมดยุค และเกิดช่องว่างทางการเปลี่ยนผ่านขนาดใหญ่ ชนิดที่ว่าหนักถึงขั้นตกรอบแรกฟุตบอลโลก 2022 เลยทีเดียว นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าอาเราโฆและนักเตะในวัยเดียวกันกับเขาจะพาอุรุกวัยไปในทิศทางใด
แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้บาร์เซโลน่าคือทีมที่ประมาทแนวรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
แหล่งอ้างอิง
https://lifebogger.com/ronald-araujo-childhood-biography-story-facts/
https://www.theguardian.com/football/2023/feb/23/barcelonas-ronald-araujo-i-came-from-a-different-football-but-i-told-myself-i-have-to-play-here
https://www.forbes.com/sites/tomsanderson/2023/02/12/ronald-araujo-among-worlds-best-defenders-following-fc-barcelona-villarreal-masterclass/amp/
https://www.barcablaugranes.com/2023/2/21/23607227/ronald-araujo-i-consider-myself-a-leader-at-barcelona
https://www.fcbarcelona.com/en/news/1451308/ronald-araujo-did-you-know