ครั้งหนึ่งอุบัติเหตุไฟไหม้ที่โรงเรียนทำให้เขาเคยเกือบเสียขา หมอบอกว่าเขาจะต้องพิการหรือไม่ก็อาจจะเสียชีวิต
แต่เด็กชายกล้าหาญเกินกว่าจะยอมแพ้ เขาไม่อยากตายและไม่อยากเป็นคนพิการจึงเริ่มฝึกหัดเดินด้วยความมุ่งมั่น จนกระทั้งวันหนึ่งปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้น เด็กชายกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่สิ่งที่เหลือเชื่อมากกว่านั้นคือในเวลาต่อมาเขาได้กลายเป็นนักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก
นี่คือเรื่องราวของ เกล็น คันนิงแฮม ชายผู้ไม่เคยหมดศรัทธาในตัวเอง ติดตามไปพร้อมกันได้ที่ Main Stand
อุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน
เช้าอันหนาวเหน็บในเมืองเอลก์ฮาร์ต รัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ผู้คนกำลังชุลมุนวุ่นวายกับสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) เมืองเกษตรกรรมในชนบทแห่งนี้ก็คับคั่งไปด้วยกรรมาชีพที่ทำงานหนัก นี่คือวิถีชีวิตอันชินตาของ คลินต์ คันนิงแฮม (Clint Cunninghams) ช่างเจาะน้ำบาดาลผู้หาเช้ากินค่ำด้วยความยากลำบาก เพื่อจะได้มีเงินจุนเจือครอบครัวในวันถัดไป
วันที่ 4 สิงหาคม 1909 ขณะอาศัยอยู่ในรัฐแคนาดา ภรรยาของคลินต์ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อว่า “เกล็น คันนิงแฮม” (Glenn Cunningham) เมื่อหนูน้อยอายุได้เพียง 6 ขวบก็เริ่มเรียนรู้ที่จะทำงานหนักแล้ว
เขาและ ฟลอยด์ คันนิงแฮม (Floyd Cunningham) พี่ชายวัย 9 ขวบ ได้รับหน้าที่อันหนักหน่วง นั่นคือการเดินเกือบสองไมล์ทุกวันเพื่อไปโรงเรียน
เช้าวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1916 ขณะที่อากาศหนาวปกคลุมไปทั่วเมือง สองพี่น้องจำเป็นต้องเดินไปโรงเรียนตามปกติ แต่ด้วยความหนาวยะเยือก พวกเขาจึงนำน้ำมันก๊าดติดกระเป๋าไปด้วย เพื่อจะได้ก่อไฟในเตาเผาของโรงเรียนที่พวกเขามักทำอยู่เป็นประจำ
เมื่อมาถึงโรงเรียนฟลอยด์ก็เริ่มก่อไฟ เขาหยิบน้ำมันก๊าดออกจากกระเป๋า แล้วเทลงไปบนท่อนฟืนมากพอให้ติดไฟได้ จากนั้นจึงตีไม้ขีดไฟและทิ้งมันลงไปในเตาเผา และทันทีหลังจากนั้นได้เกิดแรงระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง มีเสียงดังกระหึ่มไปทั่วไฟเผาร่างของฟลอยด์อย่างน่าสยดสยอง มันคือวินาทีเดียวกันกับที่คันนิงแฮมผู้น้องถูกไฟคลอกที่ขา จนสลบไปในที่สุด
พวกเขาเผลอหยิบน้ำมันเบนซินออกจากบ้านแล้วคิดว่ามันคือน้ำมันก๊าด นี่คือสาเหตุว่าทำไมจึงเกิดการระเบิดขึ้น
ทั้งคู่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา แต่ทันทีที่เกล็นลืมตาขึ้น เขาต้องพบกับข่าวร้ายว่าฟลอยด์เสียชีวิตแล้ว ส่วนตัวเขาก็ถูกพันไปด้วยแผลทั่วร่างกายและเจ็บปวดไปทั้งตัว แต่สิ่งที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือเขาไม่สามารถขยับขาทั้งสองข้างได้อีก
ไม่สามารถกลับมาเดินได้
เกล็นต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ขาของเขายังคงมีผ้าพันแผลและมันขยับไม่ได้ ขณะที่สติสัมปชัญญะล่องลอย เขาก็ได้ยินเสียงสนทนาระหว่างแม่กับหมอ ความว่า
“เกล็นโชคดีที่รอดชีวิต แต่เขาจะไม่สามารถกลับมาเดินได้อีก ดังนั้นเราจึงอาจต้องตัดขาทั้งสองข้างของเขาออก”
แต่แม่ของเขาไม่ทำเช่นนั้น เธอรู้ว่าเกล็นสูญเสียพี่ชายไปแล้วจึงไม่ยอมให้เขาต้องเสียขาทั้งสองข้างไปอีก
เมื่อเกล็นกลับมาที่บ้านและเอาผ้าพันแผลออก ทุกคนจึงได้เห็นว่าทำไมหมอจึงแนะนำเช่นนั้น เขาสูญเสียนิ้วเท้าข้างซ้ายทั้งหมด หน้าแข้งถูกเปลวไฟกัดกิน ขาขวาผิดรูปอย่างไม่รู้สาเหตุ และยังสั้นกว่าขาข้างซ้ายอีกด้วย
เกล็นเล่าช่วงเวลานั้นผ่านหนังสือ American Miler: The Life and Times of Glenn Cunningham ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติที่เขียนโดย พอล เจ. คีลล์ (Paul J. Kiell) ไว้ว่า
“มันเจ็บแทบบ้า โดยเฉพาะตอนที่พ่อพยายามเหยียดเท้าของผมออก เมื่อพ่อของผมเหนื่อย ผมจะขอให้แม่นวดและยืดเส้นสายให้ และเมื่อท่านทั้งสองไม่สามารถช่วยอะไรผมได้ ผมจึงเริ่มช่วยเหลือตัวเอง”
ศรัทธาต่อตัวเอง
วันหนึ่งในฤดูร้อน ปี 1919 หรือ 4 ปีหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ ขณะที่แม่ของเกล็นเข็นเขาไปที่สนามหญ้าเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ตามปกติ ระหว่างนั้นเธอกลับเข้าไปในบ้าน และเพียงไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น … เกล็นกำลังคลานอยู่บนพื้น
เธอรีบวิ่งเข้าไปหวังจะยกลูกชายขึ้น แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงกลางคัน เพราะเห็นเกล็นพยายามคลานไปที่รั้วไม้ และพยุงตัวเองขึ้นบนรั้วไม้ได้สำเร็จ จากนั้นก็ลากตัวเองไปตามรั้ว อาจมีสะดุดล้มบ้างในบางที แต่ก็ลุกขึ้นมาเริ่มใหม่เสมอ
เกล็นทำแบบนั้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์จนขาของเขาเริ่มกลับมาขยับได้อีกครั้ง ถึงแม้ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าขาจะขยับได้อย่างช้า ๆ แต่สิ่งนี้ก็สร้างความประหลาดใจให้แก่แพทย์รวมถึงคนในครอบครัวของเขาเป็นอย่างมาก
“ผมเริ่มจากความศรัทธาในตัวเองก่อน ผมเชื่อว่าผมต้องเดินได้ แม้เวลาที่ผมเดินมันจะเจ็บจี๊ดเหมือนถูกช็อต แต่เมื่อผมวิ่งมันกลับไม่เจ็บ ดังนั้นห้าถึงหกปีหลังจากนั้นผมใช้เวลาทั้งหมดไปกับการวิ่ง และมันรู้สึกดีจริง ๆ” เกล็น กล่าว
ระหว่างนั้น เกล็นทำกายภาพบําบัดไปด้วย ทั้งการกระโดดหรือการขยับตัวให้เร็วกว่าการวิ่ง แต่เวลานี้เกล็นเป็นที่รู้จักไปทั่วชุมชนจากการวิ่ง เพราะเขาวิ่งไปทั่วเหมือนคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“ตอนนั้นผมขยับตัวไม่ได้ถ้าไม่วิ่ง ผมจึงวิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง”
เกล็นในวัย 12 ปี วิ่งทั้งที่เท้ายังมีรอยแผลอยู่ เขาวิ่งไกลเป็นไมล์และวิ่งแซงหน้าเด็กทุกคนในรุ่นเดียวกัน จนสร้างสถิติวิ่ง 1 ไมล์ด้วยเวลาเพียง 4 นาที 24.7 วินาที เพื่อจะไปให้ถึงโรงเรียน
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็อาศัยความมุ่งมั่นจากการวิ่งมาหลายปีเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแคนซัส (University of Kansas) ในปี 1930 โดยวิ่งตาม บรูตัส แฮมิลตัน (Brutus Hamilton) โค้ชนักวิ่งผู้มีชื่อเสียงในยุคนั้น ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นนักวิ่งระดับตำนานของประเทศอเมริกาในเวลาต่อมา
ยอดนักวิ่งผู้ครองใจคนทั้งประเทศ
เกล็น คันนิงแฮม เป็นที่รู้จักในฉายา “แคนซัส ไอรอนแมน” เขาได้กลายเป็นหนึ่งในนักวิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา หลังเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังจากการแข่งขันวิ่ง 1,500 เมตร ในโอลิมปิกฤดูร้อน ปี 1932 และปี 1936 ซึ่งสามารถจบอันดับ 4 และ 2 ตามลำดับ นอกจากนั้นเขายังได้รับเลือกให้เป็น “นักกีฬายอดนิยม” จากโอลิมปิกปี 1936 อีกด้วย
ในปี 1934 เขาสร้างสถิติโลกด้วยการวิ่ง 1 ไมล์ด้วยเวลา 4 นาที 6.7 วินาที ก่อนถูกทำลายในอีก 3 ปีต่อมา
เขายังเป็นเจ้าของสถิติโลกอีกมากมาย เช่น สถิติโลกในระยะ 800 ม. ในปี 1936 สถิติการวิ่งในร่มปี 1938 รวมถึงชนะการแข่งขัน 21 ครั้งจาก 31 รายการที่เมดิสัน สแควร์ การ์เดน แม้จะต้องยืดเส้นยืดสายและวอร์มอัพยาวนานกว่านักวิ่งคนอื่น ๆ เนื่องจากปัญหาเลือดไหลเวียนที่ขาไม่ปกติจากผลกระทบไฟไหม้ในอาคารเรียนเมื่อตอนที่เขายังเด็กนั่นเอง
เกล็น คันนิงแฮม ยังเป็นคนที่รักการศึกษาอย่างมาก เขาได้รับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยไอโอวา (University of Iowa) และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New York University)
หลังเกษียณตัวเองจากการวิ่ง ในปี 1940 เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการพลศึกษาที่ Cornell College ที่รัฐไอโอวาเป็นเวลา 4 ปี อีกทั้งยังได้เปิดองค์กรการกุศลชื่อว่า Glenn Cunningham Youth Ranch เพื่อช่วยเหลือเด็กยากไร้ในรัฐแคนซัสที่ถูกทารุณกรรมกว่า 10,000 คน
เขาเป็นหนึ่งคนที่ได้รับการเลือกให้เข้าสู่ National Track and Field Hall of Fame ในปี 1974
เกียรติประวัติของ เกล็น คันนิงแฮม ยังมีอีกมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือหากว่าในช่วงวัยเด็กเขาเลือกที่จะยอมแพ้ให้กับโชคชะตาอยู่บนรถเข็น วันนี้เราอาจไม่ได้เห็นเรื่องราวความกล้าหาญของหนึ่งในนักวิ่งที่ครองใจคนทั้งอเมริกาได้ในยุคนั้น
บทสรุปของ เกล็น คันนิงแฮม ก็เหมือนกับถ้อยคำในพระคัมภีร์เล่มโปรดของเขา ซึ่งเป็นทั้งแรงบันดาลใจและคำปลอบประโลมในช่วงที่เขารอดชีวิตจากความตาย ความว่า
“แต่บรรดาผู้รอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยเสริมเรี่ยวแรงใหม่ พวกเขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี พวกเขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย พวกเขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ยอีกต่อไป” จาก อิสยาห์บทที่ 40 ข้อ 31
แหล่งอ้างอิง
https://www.britannica.com/biography/Glenn-Cunningham
https://bleacherreport.com/articles/198249-forgotten-stories-of-courage-and-inspiration-glenn-cunningham
https://www.kshs.org/kansapedia/glenn-cunningham/12027
https://en.wikipedia.org/wiki/Glenn_Cunningham_(athlete)