จตุรพัช สัทธรรม คงเป็นชื่อนักฟุตบอลในตำแหน่งแบ็กซ้ายที่แฟนฟุตบอลชาวไทยได้ยินชื่อผ่านหูกันมาบ้างในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งในนามสโมสรและทีมชาติไทย
โดยปีนี้แข้งวัย 24 ปี ได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้นและสามารถโชว์ฟอร์มอันร้อนแรงกับ "สวาทแคท" นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ด้วยสัญญายืมตัวจาก การท่าเรือ เอฟซี จนหลายคนจับตามองว่าเขานี่แหละคือนักเตะที่สามารถขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ในทัพช้างศึกได้
แต่หารู้ไม่ว่าตอนที่เขาเป็นเด็ก นักฟุตบอลชาวไทยคนนี้เคยต้องไปอาศัยอยู่ที่วัด หรือเรียกว่า “เด็กวัด” ซึ่งน่าสนใจมากว่ากว่าที่ตัวเขาจะก้าวมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ จตุรพัชต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้าง
เรื่องราวชีวิตของเขาอาจสามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตให้ใครหลายคนได้ ด้วยเหตุนี้จึงขอเชิญทุกท่านมาร่วมฟังเสียงจากเด็กวัดของ จตุรพัช สัทธรรม ผ่านบทความชิ้นนี้ไปพร้อมกันกับ Main Stand
จุดกำเนิด “สตาร์ภูธร”
ความทรงจำเดิมจากบ้านเกิดที่ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น จตุรพัช สัทธรรม หรือ แม็ก เติบโตขึ้นมากับท้องไร่ท้องนาไกลสุดลูกหูลูกตา เขาเป็นเด็กที่นิสัยซุกซนค่อนไปทางดื้อตามธรรมดาของเด็กผู้ชาย เขาดำเนินชีวิตประจำวันตามประสาเด็กต่างจังหวัดทั่วไป ตอนเช้าตื่นไปเรียนหนังสือ พอตกช่วงเย็นก็ไปเตะบอลกับเพื่อน แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้รู้จักฟุตบอลสักเท่าไร อาศัยว่าเตะได้แรงกว่าคนอื่นและสามารถใช้เท้าซ้ายได้จึงได้รับคำยกยอจากเพื่อน ๆ อยู่บ่อยครั้ง
บุคคลที่เลี้ยงดูเขาในวัยเด็กไม่ใช่คุณพ่อกับคุณแม่ เพราะทั้งสองต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดอยู่เป็นประจำ ทำให้จตุรพัชถูกเลี้ยงดูโดยคุณปู่และคุณย่าซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เวลาผ่านไปจนกระทั่งวันหนึ่งจตุรพัชเติบโตขึ้นได้รู้จักกับเกมและเริ่มติดเพื่อน ปู่กับย่าก็เกรงว่าจะไม่สามารถดูแลไหวจึงได้ปรึกษากันภายในครอบครัวจนได้ข้อสรุปว่า จตุรพัชต้องย้ายไปที่ จ.ระยอง ไปอยู่ใต้การดูแลของพ่อและแม่
แต่ด้วยฐานะของครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนักและต้องทำงานด้วยกันทั้งคู่ จตุรพัชในวัย 11 ขวบที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ป.5 จึงหันไปพึ่งใบบุญของ “หลวงพ่อเวทย์” ณ วัดน้ำคอก จ.ระยอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญในชีวิตที่เคี่ยวเข็ญให้จตุรพัชเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา และที่โรงเรียนวัดน้ำคอกแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่ทำให้เขาได้เล่นฟุตบอลที่เขารักอย่างจริงจัง แต่มีข้อแม้ว่าต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่หลวงพ่อตั้งไว้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะได้เล่นฟุตบอลและได้รับการส่งเสริมอย่างเต็มที่
ช่วงแรก ๆ เขารับกับสิ่งที่เจออยู่ตรงหน้าไม่ได้ บวกกับความกดดันที่ทุกอย่างต้องอยู่ในกฎระเบียบ ตื่นนอนเป็นเวลา เดินบิณฑบาตตอนเช้า และต้องปฏิบัติตามกิจวัตรที่ทางวัดทำกัน เรียกได้ว่าเป็น “เด็กวัด” อย่างเต็มตัว เมื่อมาอยู่แปลกที่แถมไม่ได้เจอหน้าพ่อกับแม่แล้วด้วยจิตใจก็ต้องห่อเหี่ยวเป็นธรรมดา แต่เมื่อเวลาผ่านไปจตุรพัชเริ่มปรับตัวและปฏิบัติตามได้อย่างไม่เคอะเขิน เขาจึงไม่ถูกสั่งทำโทษโดยการนั่งสมาธิหน้าเมรุหรือให้ไปกวาดใบไม้ที่ลาดวัดอีกต่อไป
เขาได้เข้าไปเล่นฟุตบอลในระดับเยาวชนที่สูงขึ้นในตัวจังหวัดและได้โชว์ฝีไม้ลายมือมากขึ้น จนได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้น ป.6 ที่โรงเรียนอนุบาลระยอง ซึ่งตอนแรกเขาลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายที่ใครได้เห็นก็ต้องเอ่ยปากชมว่า “ทักษะเบสิกการเลี้ยงบอลของแม็กในแวลานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ” จนทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าตนเองก็มีฝีมือพอสมควร
จตุรพัชไม่รอช้า หาวันเวลาและสถานที่ที่ทำการเปิดคัดตัวนักเรียนความสามารถพิเศษด้านกีฬาฟุตบอลเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับ ม.1 เขาตระเวนคัดตัวตามโรงเรียนดังแถบภาคตะวันออกทั้ง ชลราษฎรอำรุง, อัสสัมชัญศรีราชา และโรงเรียนชื่อดังอื่น ๆ แต่ท้ายที่สุดคำตอบจากทุกโรงเรียนคือ “ไม่” โดยพวกเขาให้เหตุผลว่าจตุรพัชตัวเล็กเกินไปและฝีเท้ายังไม่โดดเด่นกว่าคนอื่นสักเท่าไร ส่งผลให้เขาต้องกลับมาเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมตากสิน จ.ระยอง ดังเดิม
เพื่อเติบโตในเส้นทางสายฟุตบอล กรุงเทพฯ คือจุดหมายต่อไปของเขา โดยโรงเรียนแรกที่จตุรพัชไปคัดตัวคือ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว และเขาก็มีชื่อติดการคัดเลือก แต่ตอนนั้นทางโรงเรียนมีเกณฑ์ว่าจะต้องเกิดปี พ.ศ. 2541 ซึ่งเขาดันเกิดช้าไปหนึ่งปีจึงไม่เข้าเกณฑ์ของทางโรงเรียน ด้วยเหตุผลที่ว่าในช่วงเวลานั้นทางโรงเรียนอยากให้นักฟุตบอลทีมโรงเรียนได้ศึกษาและเติบโตไปพร้อมกัน
นั่นทำให้จตุรพัชร้องไห้เสียใจด้วยความผิดหวังที่สั่งสมมาจากการเดินทางไปคัดตัวหลาย ๆ โรงเรียนแล้วไม่สมหวังเสียที จนเกิดความรู้สึกท้อขึ้นมาในใจ โดยที่เขาไม่ทราบเลยว่าช่วงเวลาต่อจากนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเขาไปตลอดกาล
ประตูสู่เส้นทางลูกหนัง
ย้อนกลับไปเช้าวันหนึ่งซึ่งเป็นวันสุดแสนธรรมดา จตุรพัชกำเงินแน่นและเดินตรงไปยังร้านเกมประจำแถวบ้านตามปกติ แต่มีเพื่อนคนหนึ่งมาชวนเข้ากรุงเทพฯ ให้ไปเป็นเพื่อนเพื่อคัดตัวเป็นนักฟุตบอลของ โรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา ซึ่งตอนแรกเขาก็ตอบปฏิเสธไปเพราะอยากเล่นเกมตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนของเขาก็รบเร้าจนจตุรพัชยอมติดสอยห้อยตามไปด้วย
พอเดินทางมาถึงสนาม จตุรพัชก็เห็นทุกคนกำลังคัดตัวกันอย่างแข็งขันจึงทำให้เขาอยากลงสนามไปทำการคัดตัวบ้าง ซึ่งวันนั้นเขาไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย ไม่มีแม้รองเท้าสดั๊ดเป็นของตัวเองด้วยซ้ำจึงต้องยืมรองเท้าของพ่อเพื่อนใส่ลงสนามไป เพราะว่าไหน ๆ ก็นั่งรถมาตั้งไกล ลองดูสักหน่อยก็คงไม่เสียหาย
ด้วยการเล่นแบบไร้ความกดดัน ในวันนั้นเขาเล่นได้โดดเด่นกว่าใครในสนาม เขามีครบทั้ง ความเร็ว, การเลี้ยงบอลที่พริ้วไหว และจินตนาการในการสร้างสรรค์เกม ผลปรากฏว่าจตุรพัชกลับเป็นคนที่ถูกเลือกโดย “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย มีชื่อติดทีมโรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา เข้าศึกษาต่อในระดับชั้น ม.2 ขณะที่เพื่อนของเขาที่เป็นคนชวนมาไม่ผ่านการคัดตัว
เมื่อมาเข้าเรียนที่โรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ผู้เปรียบดั่งพ่อคนที่ 2 เป็นผู้สอนศาสตร์ลูกหนังให้จตุรพัชเข้าใจการเล่นฟุตบอลมากยิ่งขึ้น เขาและเพื่อน ๆ ช่วยกันพาโรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยาสร้างชื่อคว้าแชมป์ในรายการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนมากมายทั้ง ฟุตบอลกรมพลศึกษา, ไทยแลนด์ ยูธ ลีก ในนามสโมสรโอสถสภา และรายการอื่นอีกมากมายนับไม่ถ้วน
ฟอร์มการเล่นของแม็กนั้นดันไปเข้าตา “ชงโคม่วงทอง” โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สถาบันด้านลูกหนังลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย ทำให้เขาได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้น ม.4 ที่โรงเรียนแห่งนี้ กรุงเทพคริสเตียนในช่วงเวลานั้นมีสโมสรฟุตบอลอาชีพในระดับไทยลีก 4 อย่าง BCC FC ซึ่งที่แห่งนี้เป็นจุดเปลี่ยนให้จตุรพัชถูกโค้ชปรับจากการเล่นตำแหน่งปีกซ้ายมาเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายอย่างเต็มตัว และเขาก็ได้ลงเล่นในการแข่งขัน ฟุตบอลจตุรมิตร อีกด้วย
ด้วยสไตล์การเล่นที่มุ่งมั่น, สู้ฟัดกัดไม่ปล่อย และมีทั้งลูกล่อลูกชน ทำให้เขาได้มีชื่อติดทีมชาติไทยชุดรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ที่ไปแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนเมื่อปี 2017 และคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของทัพช้างศึกชุดรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียรอบคัดเลือก ที่ประเทศมองโกเลีย ได้ปะทะกับนักเตะระดับท๊อปมากมาย เช่น เบน เดวิส ที่ขณะนั้นเล่นให้กับทีมชาติสิงคโปร์ และมีชื่อในสารบบทีมชาติไทยทุกชุดเรื่อยมา
ชีวิตนักฟุตบอลอาชีพเต็มตัว
ก่อนจะจบการศึกษาในระดับชั้น ม.6 จตุรพัชเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลระดับเยาวชน โดยฟอร์มการเล่นของเขาไปเตะตาแมวมองของทั้งสโมสรราชบุรี เอฟซี และสโมสรชัยนาท ฮอร์นบิล ซึ่งเขาก็กลับไปปรึกษากับ “โค้ชโต่ย” ว่าจะไปที่ไหนดี ซึ่งสุดท้ายเขาเลือกเซ็นสัญญาเข้าอคาเดมีของสโมสรฟุตบอลชัยนาท ฮอร์นบิล ก่อนที่ช่วงเลกแรกเขาจะถูกส่งตัวไปชิมลางกับทีมชุดบีก่อน
และช่วงเลกที่สองด้วยวัยเพียง 19 ปี เขาถูกปล่อยยืมไปยัง อุบล ยูเอ็มที เอฟซี ภายใต้การคุมทีมของ ซูงาโอะ คัมเบะ ที่ให้โอกาสจตุรพัชได้ลงสนาม และเป็นสโมสรที่แม็กทำประตูในระดับฟุตบอลอาชีพได้เป็นครั้งแรก กลายเขากลายเป็นเด็กที่ต่อยอดมาจากเยาวชนทีมชาติสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ปีต่อมาถึงแม้ อุบล ยูเอ็มที จะตกชั้นไป โค้ชชาวญี่ปุ่นที่ติดใจฟอร์มของจตุรพัชก็อยากยืมตัวไปใช้งานอีก แต่ชัยนาทเห็นแล้วว่า “แม็กมีของ” จึงปฎิเสธคำขอนี้ไป ในปี 2019 ชัยนาท ฮอร์นบิล ของ เดนนิส อามาโต้ ประสบปัญหานักเตะแบ็กซ้ายเกิดอาการบาดเจ็บก่อนเปิดฤดูกาล ทำให้จตุรพัชได้โอกาสลงสนามอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสรมาครองในปีนั้น ด้วยผลงานลงสนาม 26 เกม ยิง 3 ประตู และหนึ่งในสามประตูที่เขายิงได้คือประตูที่ยิงใส่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จนสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักอีกด้วย
จากนั้นเขาก็มีชื่อติดทีมชาติไทยชุดรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ภายใต้การดูแลของ อากิระ นิชิโนะ ใน ซีเกมส์ 2019 แต่ฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี เมื่อปี 2020 เขามีอาการบาดเจ็บจึงไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมชุดนั้น
ต่อมาเขาได้ย้ายไปสู่สโมสรที่ใหญ่ขึ้นอย่าง สโมสรการท่าเรือไทย เอฟซี ในปี 2020 แต่ด้วยตอนนั้นทีมการท่าเรืออุดมไปด้วยแข้งดีกรีทีมชาติล้นทีม จตุรพัชจึงตัดสินใจปรึกษาเอเยนต์แล้วพาตัวเองไปยัง สโมสรสมุทรปราการ ซิตี้ ด้วยความหวังว่าจะมีเวลาลงเล่นเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ลงเล่นเลยซักแมตซ์เดียวให้กับ “ทัพเขี้ยวสมุทร” ในเลกแรก
“ท้อได้ถอยไม่ได้” จตุรพัชกลับมาที่ สโมสรการท่าเรือไทย อีกครั้ง และรอบนี้เป็น “โค้ชอู๊ด” สระราวุฒิ ตรีพันธ์ ที่ให้โอกาสจตุรพัชลงเล่นในช่วงเลกที่สอง ก่อนจะมีชื่อติดทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกแบบเซอร์ไพรส์ ในปี 2021 ชุดที่เดินทางไปแข่งขันนัดอุ่นเครื่องที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเขาก็ได้ลงเล่นในการแข่งขัน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งแรกในชีวิต ต่อเนื่องด้วยการลงสนามในฐานะรองกัปตันทีมในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2022 รอบคัดเลือก อีกด้วย
ปัจจุบันและอนาคตต่อจากนี้
ในฤดูกาลนี้ จตุรพัช สัทธรรม ย้ายมาสวมยูนิฟอร์มของ สโมสรนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ด้วยสัญญายืมตัวจาก การท่าเรือ เอฟซี และได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่องให้กับ “สวาทแคท” ซึ่งเขาก็ได้ออกสาร์ทเป็นตัวจริงเป็นส่วนใหญ่เสียด้วย โดยจตุรพัชได้ให้สัมภาษณ์ถึงสิ่งที่นำพาตัวเขามาสู่จุดนี้ไว้ว่า
“ผมพาตัวเองมาถึงจุดนี้ด้วยความมุ่งมั่น มุมานะ เอาจริงเอาจัง ซึ่งมันก็ตกผลึกมาเป็นสไตล์การเล่นที่วิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อยทุกจังหวะในสนามของผม”
“ทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากตอนเด็ก ๆ ที่เราไม่มีเป้าหมายอะไรเลยจนทุกวันนี้เราโตขึ้นและคิดได้ เพราะการเรียนของเราไม่ได้เก่งจึงตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองในเส้นทางฟุตบอลแทน”
“พอเราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง เราจะตระหนักได้ว่าคำสอนทุกอย่างของ หลวงพ่อเวทย์ ทั้งการมีระเบียบวินัย แบ่งเวลาให้เป็น และรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมยังนำมาเป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิตประจำวันทั้งสิ้น”
โดยอนาคตต่อจากนี้ของ จตุรพัช สัทธรรม เขาได้ตั้งเป้าหมายใหม่ของตนเองไว้ว่า “ตอนนี้ก็โฟกัสกับฟุตบอลเป็นหลัก อยากอยู่กับอาชีพนี้ไปอีกนาน ๆ และไปถึงจุดสูงสุดของการเป็นนักฟุตบอลไทย นั่นคือการมีธงไตรรงค์ติดอยู่ที่อกข้างซ้าย”
นอกจากนี้จตุรพัชยังฝากข้อคิดถึงน้อง ๆ นักฟุตบอลต่างจังหวัดที่คิดว่าตัวเองมีต้นทุนไม่เท่ากับคนอื่นว่าจะทำเช่นไรถึงจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนกับเขา
“ตั้งเป้าหมายไว้แล้วไปให้ถึง ไม่ต้องน้อยใจไปถ้าเรามีไม่เท่าคนอื่นเขา ความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นจะเป็นสิ่งที่พาเราไปสู่ความสำเร็จ”
เส้นทางฟุตบอลของ จตุรพัช สัทธรรม ยังไม่สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ หากเขาพัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชื่อของแบ็กซ้ายรายนี้จะอยู่ในสารบบทีมชาติไทยในอนาคตอย่างแน่นอน และทั้งหมดนี้คือเสียงจากเด็กวัดที่ดังก้องกังวาลไปทั่ววงการฟุตบอลไทยของ ”แม็ก” จตุรพัช สัทธรรม