เป็นเวลากว่า 92 ปีแล้วที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยแพ้คู่แข่งด้วยสกอร์ขาดลอยที่มี “ผลต่าง” ถึง 7 ประตู ยิ่งผลงานภาพรวมของทีม โดยเฉพาะหลังจบฟุตบอลโลก 2022 เรื่อยมา เหตุการณ์ดังกล่าวย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ
แต่เพราะ “ตัวเลขและสถิติย่อมมีวันถูกทำลาย” คำกล่าวนี้มาเกิดขึ้นกับทีมของ เอริก เทน ฮาก จนได้ และที่สำคัญ นี่เป็นความพ่ายแพ้แบบหมดรูปด้วยน้ำมือของคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล แถมยังเป็นชัยชนะของพลพรรคหงส์แดงเหนือปีศาจแดงแบบขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์การเจอกันด้วย
เกิดอะไรขึ้นในศึกแดงเดือดยกสองของฤดูกาล 2022-23 ติดตามได้ที่ Main Stand
โคจรมาเจอกันในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ขึ้นชื่อว่า “ศึกแดงเดือด” ระหว่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าในทุก ๆ การดวลกันของทั้งสองทีม ไม่ว่าจะเรื่องของผลการแข่งขันที่ออกมา สถิติทั้งก่อนและระหว่างแข่ง ไปจนถึงควันหลงหลังเกมย่อมล้วนแต่มีเรื่องราวที่น่าสนใจ
นั่นเพราะนี่คือการดวลกันของสองสโมสรที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ เป็นทีมมหาชนที่มีแฟนฟุตบอลซัพพอร์ตทั่วโลก และต่างก็ประสบความสำเร็จแบบไม่มีน้อยหน้ากัน
สถานการณ์ก่อนแข่งของทั้งสองทีมในเกมแดงเดือดหนที่สองของฤดูกาล 2022-23 ทั้งสองทีมอยู่ในโมเมนต์ “ทิศทางบวก” ด้วยกันทั้งคู่
สำหรับเจ้าบ้านอย่างลิเวอร์พูล จริงอยู่ที่พวกเขายังมีภาพจำติดตาแฟนบอลในฤดูกาลนี้ กับผลการแข่งขันทีมที่มีโอกาสออกได้ทุกสามหน้า ความคงเส้นคงวาดันผิดแปลกไปกับหลาย ๆ ขวบปีก่อนหน้า และเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะพ่ายต่อ เรอัล มาดริด 2-5 ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายยกแรก
อย่างไรก็ตาม หากมองสถานการณ์ในพรีเมียร์ลีก 4 เกมหลังสุด พลพรรคเครื่องจักรสีแดงทำสถิติชนะ 3 เสมอ 1 โดยแบ่งเป็นชัยชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และ วูล์ฟแฮมป์ตัน ด้วยสกอร์เดียวกัน 2-0 ส่วนอีกเกมเสมอกับ คริสตัล พาเลซ 0-0
10 แต้มจาก 4 เกมดังกล่าว พร้อมสถิติคลีนชีตทั้งหมด มีส่วนทำให้สโมสรกลับมาอยู่ในเส้นทางลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์ของตารางกับโควตาไปลุยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกครั้ง
ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ในช่วงขาขึ้นสุด ๆ ภายใต้การทีมฤดูกาลแรกของ เอริก เทน ฮาก ซึ่งก่อนศึกกับหงส์แดง แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งทำสถิติไม่แพ้รวมทุกรายการถึง 11 เกมติดต่อกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ทัพเรดเดวิลส์ยังอยู่ในสถานการณ์มีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกจากคะแนนที่ไม่ได้ดูห่างจากสองทีมลุ้นแชมป์อย่าง อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กอปรกับพวกเขาเพิ่งจะสร้างขวัญและกำลังใจจากการเป็นแชมป์ลีกคัพเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมาด้วย
นอกจากนี้ เพราะจากการดวลกันยกแรกที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ผลคือทีมปีศาจแดงกำชัยไปก่อนที่ 2-1 แน่นอนว่าทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ไม่อยากมีฤดูกาลที่ทำให้แฟน ๆ จดจำว่าพวกเขาไม่สามารถชนะทีมคู่ปรับทีมนี้ได้แบบทั้งไปและกลับ ซึ่งครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในฤดูกาล 2015-16
อรรถรสของเกมคู่ดังกล่าวยังคงเรียกน้ำย่อยให้แฟนฟุตบอลอย่างต่อเนื่องจากบทสัมภาษณ์ในช่วงก่อนเกมการแข่งขัน เมื่อกุนซือทั้งสองทีมต่างก็มุ่งมั่นที่จะพาทีมคว้าผลการแข่งขันที่ดีที่สุด
"แมนฯ ยูไนเต็ด ฟอร์มสดมากตอนนี้ พวกเขาเปลี่ยนแปลงตัวในเกมกับเวสต์แฮม นั่นหมายความว่า แมนฯ ยูไนเต็ด สดกว่าเรา แต่ที่นี่แอนฟิลด์ แอนฟิลด์ทำให้เรามีแต้มในเกมสำคัญเสมอ แน่นอนว่ามันคงเป็นเกมที่ยากลำบากสุด ๆ เป็นอีกครั้งเวลาที่คุณต้องเผชิญหน้ากับปีศาจแดง ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นยังไงก่อนหน้านี้ คุณจะอยากใส่เต็มที่" ส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของคล็อปป์
"ผมกำลังตั้งตารอดูบรรยากาศและสภาพแวดล้อม มันคงยอดเยี่ยมมาก มันจะเป็นบรรยากาศที่มุ่งร้ายกับเรา แต่บอกเลยว่าเราชอบแบบนั้น ผมรู้ดีว่านักเตะและทีมงานของผมเตรียมพร้อมที่จะไปที่นั่นและต่อสู้ด้วยความมั่นใจ เรารู้ว่ามันยากแน่ ๆ และรู้ว่าต้องเจอกับความทรมาน แต่เราก็จะทุ่มเททุกสิ่งเพื่อให้ได้ผลการแข่งขันที่ดีกลับมา" เทน ฮาก กุนซือชาวดัตช์ เผยก่อนนำลูกทีมไปเยือนแอนฟิลด์
45 นาทีที่ช็อกแฟนบอล
มองมายังลิสต์ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม ฝั่งเจ้าบ้าน เยอร์เกน คล็อปป์ ยังคงระบบ 4-3-3 เกมนี้ถอด สเตฟาน ไบจ์เซติช เพชรเม็ดงามฟอร์มดีเป็นสำรองไปก่อน การขับเคลื่อนแผงกลางในเกมนี้เป็นโอกาสของ ฟาบินโญ่, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และกัปตัน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
ส่วนสามประสานแดนหน้ามี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นหัวใจสำคัญทางพื้นที่ขวา, โคดี้ กัคโป ยืนตรงกลาง ซ้ายเป็น ดาร์วิน นูนเญซ
ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ปรับระบบการเล่นจากเกมก่อนหน้าที่อัด เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-1 จากระบบ 4-3-3 มาเป็น 4-2-3-1 เรียกได้ว่าแกนหลักหน้าเดิมที่ล้วนทำผลงานดีจากเกมที่ผ่าน ๆ มาลงสนามพร้อมหน้า เกมรับยังคงใช้ความเหนียวแน่นของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ และ ราฟาเอล วาราน แถมได้ ลุค ชอว์ ผ่านความฟิตลงบู๊
ส่วนคู่กลางผึ้งงานยังคงมี คาเซมิโร่ กับ เฟร็ด ไปจนถึงเกมรุกที่มีทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด, แอนโทนี่ และ เวาท์ เว็กฮอร์สท์
รูปเกมโดยรวมใน 45 นาทีแรก แม้เจ้าถิ่นจะครองบอลเหนือกว่า แต่ก็มีช่วงที่ยุบไปเหมือนกัน ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสสร้างโอกาสสวย ๆ ได้เช่นกัน ทว่าพวกเขาก็ยังไม่คม จนแล้วจนรอดประตูขึ้นนำในเกมกลับเป็นฝ่ายลิเวอร์พูลที่ช่วงชิงได้ในช่วงก่อนจบครึ่งแรก
เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ผิดพลาดเรื่อง “การยืนตำแหน่ง” ไปหมด เริ่มจากปล่อยให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แทงบอลให้ โคดี้ กัคโป จนได้จบสกอร์ด้วยลูกยิงอันเป็นเครื่องหมายการค้า ด้วยการลากตัดจากพื้นที่ด้านซ้ายเข้ากรอบประตู แล้วปั่นโค้งเข้าไป
จบครึ่งแรกด้วยสกอร์นำ 1-0 ของเจ้าถิ่น แต่ถึงกระนั้นสาวกเดอะ ค็อป ก็ยังไม่มั่นใจเสียทีเดียวว่าผลการแข่งขันจะเป็นใจแล้ว เพราะคู่แข่งของทีมคือหนึ่งในทีมที่มีผลงานดีที่สุดทีมหนึ่ง ณ เวลานี้
จุดเปลี่ยนจริง ๆ มาเกิดขึ้นในช่วงต้นครึ่งหลัง สกอร์เริ่มไหลโดยทีมของ เทน ฮาก มาเสียประตูที่สองในช่วงหลังจากเสียงนกหวีดเริ่มต้นครึ่งหลังของเกมไปราว ๆ 88 วินาที เหล่าแข้งผู้มาเยือนโดนเจ้าถิ่นกดดันแย่งบอลตั้งแต่แดนบน และดูเหมือนว่าแนวทาง "เกเกนเพรสซิ่ง" กลับมาหวือหวาอีกครั้ง นำมาซึ่งประตู 2-0 จาก ดาร์วิน นูนเญซ
แมนฯ ยูไนเต็ด หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำเกมบุกเต็มอัตราศึกเพื่อหวังประตูในเกมนี้ แต่แล้วพวกเขาก็มาโดนลงโทษไปอีก เมื่อจังหวะสวนกลับเร็วนำมาซึ่งสองประตูติด ๆ กัน ลูก 3-0 มาจากกัคโปที่ทำประตูที่สองในเกม ส่วนลูก 4-0 เป็นของซาลาห์
ลิเวอร์พูลทำให้เห็นว่าพวกเขาใช้โอกาสไม่เปลือง โมเมนต์ในเวลานั้นหากจะเอ่ยเป็นภาษาพูดว่า “ยิงยังไงก็เข้า” ก็คงไม่ผิดนัก
อนึ่ง ประตูที่สามและสี่แสดงให้เห็นถึงความเข้าขาและช่วยกันเล่น เหล่าแฟน ๆ เรด แมชชีน ได้เห็นถึงความมั่นใจของ 3 ประสานแผงรุกยุคใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งทั้งสองลูกนี้มาจากการประสานงานกันของ ซาลาห์-กัคโป-นูนเญซ
ต่อจากนั้นลิเวอร์พูลก็มาบวกประตูเพิ่มอีก 2 ลูก เหมือนจังหวะจบสกอร์มันดู “เข้าที่เข้าทาง” ไปหมด นูนเญซมาบวกลูกที่สองของตัวเองจากลูกโหม่งให้ทีมหนี 5-0 ตามมาด้วยประตู 6-0 จากช็อตยิงสวนตูมเดียวของซาลาห์
ก่อนที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ กองหน้าตัวสำรองที่มีข่าวว่าจะอำลาทีมหลังจบฤดูกาล ได้สร้างโมเมนต์ทำประตูตอกฝาโลงในเกม และที่สำคัญ นี่เป็นการยิงต่อหน้าเหล่าเดอะ ค็อป ให้ได้เฮลั่นทั้งที่แอนฟิลด์และที่ดูจากสื่อหลากแพลตฟอร์ม
7-0 กลายเป็นผลพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยามที่ดวลกับ ลิเวอร์พูล ทำลายสถิติเดิมที่ทัพหงส์แดงเคยชนะด้วยสกอร์ 7-1 เมื่อปี 1895 หรือว่า 128 ปีมาแล้ว สมัยที่ยังเล่นอยู่ในดิวิชั่นสอง
มากกว่านั้น สกอร์ 7-0 ยังเป็นสถิติพ่ายคู่แข่งมากที่สุดของเรดเดวิลส์ นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งสโมสรมา แม้ก่อนหน้านี้ทีมเคยพ่ายต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ปี 1926, แอสตัน วิลล่า ปี 1930 และวูล์ฟส์ ปี 1931 ทว่าความเจ็บใจครั้งนี้ อาจจะมีมากกว่าสามหนก่อนหน้าด้วยซ้ำไป
มองมายังบรรดาขุมกำลังลิเวอร์พูลที่ได้โอกาสลงเล่นในเกมนี้ มันแสดงให้เห็นว่าทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม เล่นตามแทคติกที่คล็อปป์วางมาสู้ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง
เว็บไซต์ WhoScored ที่สื่อหลากสำนักมักนำเรตติ้งนักเตะในแต่ละเกมมาอ้างอิงผลงาน ให้คะแนนโดยเฉพาะ 11 ตัวจริงในระดับ 7 คะแนนขึ้นไปทั้งหมด โดดเด่นสุด ๆ คงหนีไม่พ้น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เจ้าของผลงาน 2 ประตู 2 แอสซิสต์ ขึ้นแท่นแข้งหงส์แดงที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกมากสุด 129 ลูก แซงหน้าสถิติเดิมของ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ได้ 10 คะแนนเต็ม
ส่วนคนอื่น ๆ ก็ดูลงตัวไปหมด โคดี้ กัคโป เหมือนได้ร่างทองสมัยเล่นให้พีเอสวีปั่นป่วนเกมรับแมนฯ ยูไนเต็ด นำมาซึ่งผลงาน 2 ประตูในเกม รับคะแนนไป 9.12 ขณะที่ ดาร์วิน นูนเญซ แนวรุกที่แม้จะไม่ได้ผลิตสกอร์ให้ทีมเป็นกอบเป็นกำแต่มีประโยชน์อื่นเข้ามาทดแทน เช่น ดึงตัวประกบ หาพื้นที่เก่ง และความขยันเรื่องการไล่บอล มันแปรเปลี่ยนมาเป็น 2 ประตูในเกม และได้คะแนนจาก WhoScored ไปที่ 8.56
หรือแม้แต่นักเตะอย่าง ฟาบินโญ่ จากที่เคยโดนวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นที่ดูตกลงไปแบบน่าใจหายในช่วงก่อนหน้านี้ มาเกมนี้เขาจัดการหยุดการเคลื่อนเกมรุกของคู่แข่ง แถมยังทำให้ คาเซมิโร่ แทบไม่มีบทบาทเล่นถนัด ได้รับคะแนนไป 7.06 คะแนน เป็นต้น
ความสำคัญของสมาธิและสภาพจิตใจ
ในอีกทางหนึ่ง ฝั่งผู้แพ้อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาโดนคู่ปรับตลอดกาลยิงถึง 7 ประตู
เอริก เทน ฮาก ยอมรับว่าเพราะข้อผิดพลาดของทีม รวมถึง “ใจ” ที่มันลดหายไปจากสถานการณ์ในเกม ที่ต้องมาเสียประตูติด ๆ กันในรอยต่อปลายครึ่งแรกสู่ต้นครึ่งหลัง แสดงให้เห็นถึง “สมาธิ” ที่ขาดหายไปอย่างชัดเจน และนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ขาด
“ผมบอกกับนักเตะว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย พวกคุณต้องทำงานเป็นทีม แต่เรากลับไม่ได้ทำแบบนั้น คุณท้อถอยได้นะแต่คุณต้องร่วมมือกันและทำหน้าที่ของตัวเอง สำหรับผมมันไม่มีความเป็นมืออาชีพ ผมเลยผิดหวังและโกรธมาก เราทำให้แฟนบอลผิดหวัง” ส่วนหนึ่งจากมุมมองหลังเกมโดย เทน ฮาก
“ในฐานะทีมนักเตะเราไม่ควรปล่อยให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ เราต้องช่วยกันและต่อสู้เพื่อกันและกัน แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้นเลยสักนิด”
ดังนั้น สิ่งแรกที่ทีมต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องการรวบรวมสมาธิและสภาพจิตใจของทีมให้กลับมาโดยเร็วที่สุด แม้ความพ่ายแพ้หนนี้จะส่งให้ทีมมีแต้มตามหลังทีมลุ้นแชมป์ลีกอย่าง อาร์เซนอล และ แมนฯ ซิตี้ ออกไปถึง 14 และ 9 คะแนน ตามลำดับ
ในทางทฤษฎีอาจดูห่างไกล ทว่าในทางปฏิบัติก็ยังมีลุ้นอยู่ไม่มากก็น้อย แถมพวกเขายังลงแข่งน้อยกว่าอยู่ 1 เกม
มีรายงานจาก Manchester Evening News ระบุว่า ช่วงเช้าวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่นในอังกฤษ ไม่ถึงวันหลังเกมแพ้แบบพังพาบ เอริก เทน ฮาก เรียกนักเตะมารายงานตัวที่สนามซ้อมแคร์ริงตันเพื่อแก้ไขปัญหาที่มันเกิดขึ้น ฟื้นฟูร่างกาย แล้วเดินหน้าซ้อมกันต่อทันที
ทางฝั่งของลิเวอร์พูลเอง เรื่องของสมาธิและสภาพจิตใจก็มีส่วนเกี่ยวโยงด้วยเช่นกัน นี่ถือเป็นการเรียกความมั่นใจให้ทีมเดินหน้าสู่ทิศทางที่ดีให้ได้อย่างต่อเนื่อง
เพราะดังที่กล่าวไปในช่วงต้น ถึงตอนนี้ลูกทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ไม่แพ้ใครในลีกมา 4 เกมรวด เมื่อบวกสามคะแนนในเกมนี้ไปอีก เท่ากับลิเวอร์พูลไร้พ่ายในลีก 5 เกมติดต่อกัน ทำแต้มจี้พื้นที่ท็อปโฟร์ชนิดสถานการณ์เข้มข้นไปทุกขณะ
จากที่เคยประสบปัญหาหลากหลายจนฟอร์มดูไม่คงเส้นคงวาเหมือนดั่งที่เคยเป็น มาวันนี้ลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในเรื่องราวที่เป็นรอยต่อให้ทีมกลับมาเรียกสมาธิและความมั่นใจได้ไม่มากก็น้อย ก็คือชัยชนะเหนือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0
“มีช่วงเวลามากมายในใจผมที่คิดว่าเรากำลังรอเวลาที่เหมาะสม เรารู้ว่าผลการแข่งขันมันน่าประหลาดใจ แต่ฟอร์มของเราก็โดดเด่น และนั่นคือสิ่งที่ผมเลือกใช้” กุนซือชาวเยอรมัน เผย
“ไม่กี่เดือนก่อนทุกคนคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมากในการเจอกับลิเวอร์พูล คุณพูดแบบนั้นออกสื่อไม่ได้แต่ทุกคนก็คิดแบบนั้นแหละ เพราะพวกเขาคิดว่าทีมของเรามีปัญหาเยอะมาก แต่ตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้นเพราะทีมของเรากำลังดีขึ้น”
แหล่งอ้างอิง
https://www.bbc.com/sport/articles/cx9qz1pdvxvo
https://www.bbc.com/sport/football/64857544
https://www.liverpoolfc.com/news/liverpool-beat-manchester-united-7-0-anfield
https://www.whoscored.com/Matches/1640885/LiveStatistics/England-Premier-League-2022-2023-Liverpool-Manchester-United
https://theathletic.com/4277610/2023/03/05/liverpool-manchester-united-gakpo-salah-nunez-premier-league/
https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/man-united-news-liverpool-training-26396387