Feature

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ : เราไม่จำเป็นต้องกังวลในสิ่งที่คนอื่นคิด | Main Stand

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ชายผู้เป็นไอคอนแห่งโลกฟุตบอล ด้วยรูปแบบการเล่นที่สมบูรณ์แบบ มีจุดเด่นในเรื่องของการจบประตูได้อย่างเฉียบคม และยังคงโลดแล่นบนฟลอร์หญ้าอยู่ในยุคปัจจุบัน จากผลงานที่ฝากไว้เป็นประวัติศาสตร์ฟุตบอลอย่างมากมาย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา

 

ด้วยบุคลิกที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง รวมถึงทัศนคติที่ไม่เคยยอมแพ้ใคร ทำให้เขากลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในวงการฟุตบอลอย่างสูง เขาถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกวงการฟุตบอลเสมอมา ซึ่งแน่นอนว่า ทุกคำพูดที่พูดถึงเขานั้นย่อมมีทั้งด้านดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่โรนัลโด้ทำได้ดีไม่แพ้การเล่นฟุตบอลคือ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะออกมาพูดถึงเขาอย่างไร เขามักตอบกลับคนเหล่านั้นด้วยผลงานในสนามเสมอ

และนี่คือเรื่องราวของยอดนักเตะในวัยโรยราที่ต้องอยู่ท่ามกลางการจ้องมองจากผู้คนหลายล้านทั่วโลก เขามีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง ติดตามได้ใน Main Stand

 

ยิ่งเก่งยิ่งถูกวิจารณ์

หากนึกภาพของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ถูกดรอปเป็นตัวสำรอง คงเป็นสิ่งที่คนดูบอลทุกคนคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน เพราะตลอดชีวิตการค้าแข้งของเขานั้นรุ่งโรจน์เพียงใดเราต่างทราบกันดีอยู่แล้ว

นักเตะเจ้าของรางวัลบัลลังดอร์ 5 สมัย รางวัลรองเท้าทองคำยุโรป 4 สมัย นักฟุตบอลชายที่ทำประตูในนามทีมชาติมากที่สุด (118 ประตู) ชนะเลิศถ้วยรางวัลกว่า 32 รายการ ซึ่งในวัย 37 ปีเขาลงแข่งขันมากว่า 1,100 นัด และสามารถทำประตูในการแข่งขันได้มากกว่า 800 ประตู รวมถึงยังมีสถิติสุดโหดอีกมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง 
    
ปี 2021 โรนัลโด้ตัดสินใจแยกทางกับยูเวนตุส และเลือกปฏิเสธทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อย้ายซบรังเก่าในถิ่นโรงละครแห่งความฝัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงเวลาที่ทีมย่ำแย่ถึงขีดสุด เขาเปรียบเสมือนวีรบุรุษของชาวปีศาจแดงทุกคนที่เป็นความหวังในการกลับมากอบกู้ความยิ่งใหญ่ของสโมสรอีกครั้ง

ซึ่งในช่วงแรก เขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลปีศาจแดงผิดหวัง หลังกดสกอร์ในฤดูกาลแรกของการย้ายกลับมาถึง 24 ประตูจาก 38 นัดที่ลงเล่น (ฤดูกาล 2021-22) ขึ้นแท่นดาวซัลโวของทีมในฤดูกาลนั้นทันที

แต่ฤดูกาล 2022-23 กลับไม่เป็นอย่างหวัง เมื่อการเข้ามาถึงของ เอริก เทน ฮาก เฮดโค้ชชาวดัตช์ ทำให้สถานะของ CR7 เปลี่ยนไป เขาลงสนามเป็นตัวสำรองให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมเปิดซีซั่นพรีเมียร์ลีก ที่เปิดบ้านแพ้ ไบรท์ตัน 1-2 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2022 ท่ามกลางความฉงนมึนงงของแฟนบอลทั่วโลก จนพากันตั้งข้อสังเกตกันออกไปในหลายแง่มุม

นับแต่นั้นมา สิ่งที่สังเกตได้ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ คือนอกจากโรนัลโด้จะนั่งเป็นตัวสำรองบ่อยครั้งแล้ว ยังมีช่วงที่เขาไม่มาซ้อมกับทีมบ่อยขึ้น ต่างกับในอดีตที่ขาดซ้อมแบบนับครั้งได้ อย่างตอนพรีซีซั่นของฤดูกาล 2022-23 ที่ตัดสินใจไม่เดินทางมาทัวร์เอเชียกับต้นสังกัด รวมถึงยังปฏิเสธการเล่นในบางเกมโดยอ้างเหตุผลทางครอบครัวเป็นหลัก

ก่อนที่จุดแตกหักจะมาถึงหลังจากนั้น เพราะในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2022 โรนัลโด้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ เพียร์ส มอร์แกน นักข่าวชื่อดังชาวอังกฤษ ถึงสาเหตุที่ตนอยากย้ายออกจากทีมแมนฯ ยูไนเต็ดว่า

"ผมไม่เคยเคารพ เทน ฮาก เพราะ เทน ฮาก ไม่เคยเคารพผม"

เขารู้สึกว่าตนเองถูกทรยศจากผู้จัดการทีมรายนี้ โดยเจ้าตัวเอ่ยถึงสิ่งชี้วัดบางประการว่า ในบางเกม เทน ฮาก ไม่ส่งเขาลงสนามเพราะ "เคารพ" นักเตะผู้นี้ แต่กับบางเกม เขากลับจะได้ลงเล่นเพียงแค่ไม่กี่นาที รวมถึงมีนักเตะบางคนที่อยากให้เขาออกจากสโมสร ซึ่งเขายังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า

“ผมไม่กลัวที่ให้สัมภาษณ์แบบนั้นออกไป แต่กลับรู้สึกเจ็บใจต่อสิ่งที่เทน ฮาก ทำกับผมมากกว่า”

นอกจากนี้โรนัลโด้ยังกล่าวว่า สโมสรไม่มีการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้นนับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เกษียณตนเองออกจากทีม ทั้งในแง่ของโครงสร้างสโมสร เทคโนโลยี และบุคลากร ที่ยังคงเป็นเหมือนเดิมแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของโรนัลโด้ในด้านลบอย่างมากมายว่า นี่ไม่ใช่โรนัลโด้ผู้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหรือสปิริตความเป็นมืออาชีพที่ผู้คนรู้จักอีกแล้ว

 

No สน No แคร์ ดีจริงหรือ ?

การให้สัมภาษณ์ของโรนัลโด้ ลุกลามไปจนถึงผลกระทบต่อทีมชาติโดยตรง เพราะ บรูโน่ แฟร์นันด์ส เพื่อนร่วมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด (ณ ตอนให้สัมภาษณ์) และทีมชาติโปรตุเกส ถูกจับภาพตอนทั้งสองเจอหน้ากันได้ว่า แสดงอาการผิดหวังต่อการกระทำของโรนัลโด้อย่างชัดเจน

รวมถึงยังมีภาพของ โรนัลโด้ กับ ชูเอา คันเซโล่ ที่ดูจะมีปัญหากันในระหว่างฝึกซ้อม ซึ่งหลังจากที่ภาพดังกล่าวถูกแพร่ออกไป ผู้คนก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อการกระทำของทั้งคู่ ว่าจะมีผลทำให้การสู้ศึกฟุตบอลโลก 2022 หรือไม่ ?

แต่โรนัลโด้ก็ออกมาโต้แย้งเหตุการณ์ดังกล่าวว่า

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น เราแค่เล่นขำ ๆ กัน เพราะเครื่องบินของเขามาช้า ผมเลยหยอกเขาไปว่า คราวหลังลองมาทางเรือสิ“

และอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โรนัลโด้ มีผลงานกับทีมชาติโปรตุเกสในการสู้ศึกฟุตบอลโลกสมัยที่ 5 ของตนไม่ดีตามความคาดหวัง หลังพาทีมชาติโปรตุเกสจอดป้ายเพียงรอบก่อนรองชนะเลิศ ด้วยการพ่ายให้ทีมชาติโมร็อกโก 0–1 ยุติเส้นทางในฟุตบอลโลกด้วยคราบน้ำตาแห่งความผิดหวังอย่างถึงที่สุด แถม ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะที่ถูกยกให้เป็นคู่แข่งแย่งความเป็นหนึ่งแห่งยุคสมัย สามารถชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกได้อีกด้วย

แม้เขาจะสามารถทำได้ 1 ประตูจากการยิงจุดโทษช่วยให้โปรตุเกส ชนะ ทีมชาติกานา 3-2 ในเกมแรกของการแข่งขัน ส่งผลให้เขาเป็นคนเตะคนแรกที่สามารถทำประตูในฟุตบอลโลกได้ถึง 5 สมัยติดต่อกัน แต่มันก็ไม่ช่วยกลบข่าวด้านไม่ดีของเขาได้เลยสักเล็กน้อย

โรนัลโด้มีข่าวฉาวออกสื่อทุกวัน เริ่มตั้งแต่ถูกวิจารณ์หลังแสดงความไม่พอใจที่ถูกเปลี่ยนตัวออกในเกมที่พบกับเกาหลีใต้ รวมถึงยังมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองในรอบ 16 ทีมสุดท้ายในแมตช์ที่ทีมเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ 6–1 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับจากปี 2008 ที่เขาถูกดรอปเป็นตัวสำรองในทีมชาติ

หลายคนมองเขาว่ากลายเป็นนักเตะวัยเก๋าที่หลงในอีโก้ คิดว่าตัวเองคือนักเตะที่เก่งที่สุด และไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนเขาจะต้องเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมเสมอ

แฟนบอลบางคนถึงกับด่าทอว่าโรนัลโด้ไม่เคยทำเพื่อทีม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่โรนัลโด้ไม่สนใจ เขาออกมาตอบกลับว่า

"ผมไม่จำเป็นต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดกับผมอย่างไร ... เมื่อผมต้องการพูด ผมก็จะพูด ซึ่งทุกคนในทีมรู้ดีอยู่แล้วว่าผมเป็นใคร และทำเพื่ออะไร”

ด้วยเหตุนี้ หลังจากยุติสัญญากับแมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มเพียงไม่กี่วัน ทีมในลีกใหญ่ของยุโรป ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก ถึงการรับตัวโรนัลโด้เข้ามาร่วมทีม มันไม่ใช่เพียงแค่ค่าเหนื่อยที่มหาศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความกังวลต่อพฤติกรรมของเขา ที่ระยะหลังมักมีข่าวในแง่ที่ไม่ค่อยดีกับทั้งผู้จัดการทีม หรือเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ 

 

ทุกค่ำคืนมีรุ่งอรุณเสมอ

แม้โรนัลโด้จะมีความมุ่งมั่นที่สูงเพียงใด สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงว่าตัวเองอายุมากขึ้นแล้ว ทักษะและความสามารถในการเล่นฟุตบอลก็เสื่อมไปตามอายุ เขาจึงจำต้องปล่อยวางความสำเร็จที่มีในอดีต เพื่อให้ตัวเองยังคงสามารถเล่นฟุตบอลต่อไปได้

เขาเลือกไปเล่นในลีกของประเทศซาอุดีอาระเบีย ให้กับทีมอย่าง อัล นาสเซอร์ โดยเซ็นสัญญาสองปีไปจนถึงปี 2025

และอีกเช่นเคย เขายังถูกคำครหามากมายจากแฟนบอลทั่วโลกที่ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเขาเข้าไปเล่นในลีกสูงสุดของซาอุดีอาระเบียเพราะเงินเป็นหลัก แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของการย้ายทีม

ปัจจุบันโรนัลโด้กลายเป็นนักฟุตบอลที่ได้รับค่าเหนื่อยแพงที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าสูงถึง 200 ล้านยูโรต่อปี (7,400 ล้านบาท) รวมถึงได้รับเงินโบนัสจากการเซ็นสัญญากว่า 100 ล้านยูโร (3,700 ล้านบาท) ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งวงการฟุตบอลที่ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

ไม่เพียงเท่านั้น การตัดสินใจเล่นฟุตบอลนอกทวีปยุโรปครั้งแรกของ CR7 ยังเกิดแรงกระเพื่อมต่อประเทศซาอุดีอาระเบียอย่างมหาศาล เมื่อยอดผู้ติดตามของสโมสร อัล นาสเซอร์ เพิ่มขึ้นหลายเท่าแทบจะทันทีที่เปิดตัว แถมหลายประเทศ ยังตามซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด เพื่อให้แฟนบอลได้ชมลีลาการเล่นของเขา จนอาจพูดได้ว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แบกประเทศซาอุดีอาระเบียให้อยู่ในสปอตไลท์ของชาวโลก

ตลอดชีวิตการค้าแข้งของโรนัลโด้ เขาต้องพบเจอกับมรสุมชีวิตมานับไม่ถ้วน สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่งคือคำวิจารณ์ของผู้คนอันเปรียบได้กับเตาหลอมชั้นดีที่ช่วยขัดเกลาให้เขาเป็นสุดยอดนักเตะแห่งยุค

ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าโรนัลโด้มีระเบียบวินัยในการฝึกซ้อมมากเพียงใด เขาซ้อมหนักทุกวันและทำสิ่งนั้นมาตลอดหลายสิบปี ยืนยันได้จาก อันเดรีย ปีร์โล อดีตนายเก่าที่ยูเวนตุส ที่ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "โรนัลโด้คือนักเตะคนแรกที่มาฝึกซ้อม และจะกลับบ้านคนสุดท้ายเสมอ"

เขาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเป็นอันดับแรก เขาเข้ายิมทุกวันและกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อเป้าหมายสูงสุด นั่นคือการเล่นฟุตบอลระดับสูงให้ได้จนถึงอายุ 40 ปี

นอกจากสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งแล้ว สภาพจิตใจของเขาก็จัดได้ว่าเข้มแข็งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โรนัลโด้เคยพูดไว้ว่า

"ความอดทนและความหนักแน่น เป็นสองสิ่งที่ทำให้มืออาชีพแตกต่างจากมือสมัครเล่น" 

สิ่งที่โรนัลโด้หมายถึงคือ ต่อให้คุณจะเป็นผู้เล่นมากพรสวรรค์สักเพียงใด หากแต่ขาดความอดทนและความหนักแน่นของจิตใจแล้ว มันก็ยากที่คุณจะเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จได้

โรนัลโด้เข้าใจสิ่งนี้มาตลอด เขารู้ว่าตัวเองหลงใหลในฟุตบอลและมีชีวิตเพื่อฟุตบอล ทุกครั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เขาจึงไม่เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจมากนัก เพราะเขาจะไม่ยอมให้คำพูดเพียงไม่กี่คำมาเป็นต้นเหตุให้ความมุ่งมั่นในการเล่นฟุตบอลของเขาต้องหยุดลง นี่คือหลักคิดที่ทำให้เขารักษาฟอร์มได้ดีอย่างต่อเนื่องมาตลอดช่วงชีวิตการค้าแข้งที่ผ่านมา

กระนั้น ตัวเขาก็กลับมายอมรับความจริงอีกเช่นกันว่า ในการเล่นฟุตบอล ต่อให้คุณจะเป็นคนเก่งมากเพียงใด แต่หากขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเพื่อนร่วมทีมแล้ว ก็ยากที่จะพาทีมไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้

สุดท้ายแล้วโรนัลโด้จะพายอดทีมกระเป๋าหนาอย่าง อัล นาสเซอร์ สู้ศึกซาอุดิ โปรเฟสชั่นแนล ลีก ไปได้ไกลแค่ไหน คงต้องติดตามกัน เพราะครั้งนี้เปรียบได้กับการเริ่มต้นใหม่หลังจากที่ผ่านค่ำคืนแห่งมรสุมมาอย่างยาวนาน

นี่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าชายคนนี้ยังคงสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้ดีแค่ไหน ในวันที่ใครหลายคนไม่ได้ยืนเคียงข้างเขาอีกแล้ว

เหมือนอย่างที่เขาเคยโพสต์ผ่านอินสตาแกรมของตัวเองว่า

“พึงระลึกรู้ไว้เสมอ ทุกค่ำคืน ย่อมมีรุ่งอรุ่น”

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.the42.ie/ronaldo-portugal-united-5925562-Nov2022/
https://ng.opera.news/ng/en/sports/aec4e1bc04d6ec82cdee35e8e84e995c
https://en.wikipedia.org/wiki/Cristiano_Ronaldo
https://www.goal.com/en/news/ronaldo-benched-joao-cancelo-left-out-portugal-world-cup-last-16-switzerland/blt3605385571323199 https://www.fotmob.com/news/58f3t3a4ad1h1xlp1zn2w7uvt-ronaldo-posts-philosophical-message-on-instagram-after-skipping-fifa-awards

Author

ณัฐพงศ์ อินต๊ะริด

Main Stand's author

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ