"เบอร์สามเวียดนาม ต่อยกับกูป่าว"
"เบอร์สามเวียดนาม น่าโดนมาก"
"หากมีผมกับลีซออยู่ในสนาม เวียดนามต้องโดน จะจัดให้อย่างเนียน"
คำกล่าวสุด Aggressive ของ ไมเคิล เบิร์น, ธีรเทพ วิโนทัย และ ดัสกร ทองเหลา ไม่รวมกับความเดือดดาลบนโลกออนไลน์ของแฟนบอลชาวไทย ถูกส่งมอบให้แก่ เกว๋ ง็อก ไห่ (Quế Ngọc Hải) กองหลังของทีมชาติเวียดนาม กับวีรกรรมสุดเอือมในสนามต่อ ธีราทร บุญมาทัน ในเกมพบกับทีมชาติไทย รอบชิงชนะเลิศ AFF Mitsubishi Electric Cup 2022 เลกแรก ประกอบกับวีรกรรมที่ผ่าน ๆ มา เช่นนี้จึงไม่แปลกใจเลยที่ชาวเน็ตหลายคนตั้งฉายาให้เขาว่า "ไอ้ถ่อย"
แต่บางครั้งชีวิตคนไม่ใช่เรื่องแบ่งขาวแบ่งดำ และบางครั้งทางเลือกในการดำเนินชีวิตมีไม่มาก เพราะ ง็อก ไห่ ต้องใช้สไตล์การเล่นแบบติดดาบตุกติกเพื่อสร้างตัวตนและเพื่อให้ความฝันในการเล่นฟุตบอลระดับสูงของ "พี่ชาย" เป็นจริงได้ โดยมีตัวเขาเป็นคนพยายามในส่วนที่พี่ชายจำเป็นต้องยอมจำนนต่อโชคชะตา
ร่วมติดตามการสานฝันให้พี่ชายด้วยสไตล์ที่แฟนบอลก่นด่าไปพร้อมกับ Main Stand
สู้เพื่อพี่
เกว๋ ง็อก ไห่ ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1993 ที่อำเภอเดียน เชา (Diễn Châu) จังหวัดเหง่ อาน (Nghệ An) ภูมิภาคบัค จุง โบ (Bắc Trung Bộ) ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 300 กิโลเมตร (ขับรถยนต์ประมาณ 6 ชั่วโมง)
โดยเขาเกิดในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นจับกังที่เป็นกรรมกรเต็มขั้น ส่วนคุณแม่เป็นแม่ค้า พร้อมด้วยพี่ชายอีกหนึ่งคนที่ขายผลไม้อยู่ที่ตลาดกลางประจำอำเภอ หรือก็คือเขาเติบโตมากับสูตรสำเร็จของสตอรี่นักฟุตบอลที่จะต้องสู้ชีวิตเพื่อพิชิตความยากจนข้นแค้น
ไม่นานหลังจากงานในชนบทเริ่มมีรายได้ที่ไม่พอกับรายจ่าย ครอบครัวเกว๋จึงตัดสินใจย้ายที่อยู่ไปที่เมืองหวิ่ง (Vinh) เมืองหลวงของเหง่ อาน ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมากตอนที่ ง็อก ไห่ อายุได้ 5 ขวบ ด้วยความหวังว่าจะหารายได้เพิ่มเติมให้ครอบครัวได้ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น เพราะการค้าขายผลไม้ในเมืองแห่งนี้ถือว่ากำไรดี คนเป็นพ่อจึงเลิกทำงานแบกหามหันมาช่วยภรรยาขายของ
ซึ่งแน่นอนว่าพ่อของเขาเป็นแฟนฟุตบอลเต็มขั้นและอยากให้ลูก ๆ ประกอบอาชีพนักฟุตบอล อย่างแรกคือการทำตามความฝันของตน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคืออาชีพนี้มีความสามารถในการเปลี่ยนสถานะทางสังคม (Social Mobility) ได้ง่ายดายกว่าอาชีพอื่น ๆ ที่ต้องใช้ใบปริญญา
กระนั้นการประกอบอาชีพที่อยู่นอกภาคส่วนเศรษฐกิจ (Gig Worker) ของผู้ปกครองอย่างการเป็นกรรมกรและแม่ค้าทำให้ไม่มีเวลาที่จะเลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงมมากมาย ดังนั้นตั้งแต่ยังเด็ก เกว๋ ง็อก มาน (Quế Ngọc Mạnh) พี่ชายที่แก่กว่า 3 ปีจึงดูแลเขามาอย่างใกล้ชิดตลอด เรียกได้ว่า สองพี่น้องมีความสนิทกันอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมองพี่ชายเป็นเหมือนต้นแบบในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการใช้ชีวิต การอุปนิสัย หรือแม้กระทั่งการชอบเตะฟุตบอลที่เขาได้เห็นพี่ชายฝึกซ้อมมาตลอดด้วยเช่นกัน ยามใดพี่ชายว่างเว้นจากการฝึกซ้อมร่วมกับเพื่อนในรุ่นก็จะมาฝึกซ้อมให้เขาเป็นประจำ รวมถึงบางเวลาเขาก็ขอไปเล่นร่วมกับเพื่อน ๆ ของพี่ชายอีกด้วย
ถึงแม้ว่าจะมีใจรักมากขนาดไหน แต่ในความเป็นจริงคือ ฝีเท้าของ ง็อก ไห่ นั้นด้อยกว่า ง็อก มาน อย่างเห็นได้ชัด ดังที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับ VNExpress สื่อชื่อดังในท้องถิ่น ความว่า
"พี่ชายผมนี่สุดยอด ผมเทียบเขาไม่ได้แบบไม่เห็นฝุ่นเลย"
แต่ด้วยใจที่รักฟุตบอลอย่างมากทำให้เขาไม่เคยคิดยอมแพ้ เมื่อไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์แบบพี่ชายหรือคนอื่น ๆ สิ่งที่เขาสามารถเติมเต็มให้กับตนเองได้คือพรแสวงที่หาตัวจับยาก เมื่อดักทางบอลไม่ได้เขาจึงใช้กำลังวิ่งเข้าใส่ วิ่งเข้าสกัด เมื่อเสียบอลแล้ววิ่งตามไม่ทันก็จะเลือกตัดฟาล์วทันทีแบบไม่ลังเล และเมื่อทักษะสู้ใครไม่ได้ เขาจึงใช้ความฟิตที่วิ่งไม่มีหมดเข้ามาเป็นส่วนเสริมเพื่อให้โค้ชชายตามอง
แม้จะขยันแค่ไหนก็พ่ายพวกเก่งแต่เกิด สิ่งที่เขาพยายามยังห่างชั้นกับพี่ชายเขาอย่างมาก ขนาดที่ว่าเขาเริ่มท้อแท้กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ จนแวบหนึ่งเคยคิดอยากจะออกจากวงการไปเป็นเพียงน้องของพี่ชายที่คอยเชียร์อยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
แต่เทวดาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป เพราะผลมาสัมฤทธิ์ในช่วงที่เขาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สโมสรซอง ลัม เหง่ อัน (Sông Lam Nghệ An) บิ๊กโฟร์แห่งวีลีก ได้ส่งหนังสือเชิญให้สองพี่น้องเข้าร่วมคัดตัวเข้าอคาเดมี ตอนแรก ๆ เขาไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าตนอาจไม่ได้ไปไกลกว่าพี่ชาย หากแต่ด้วยพรแสวงที่มีในตัวทำให้สโมสรตอบรับเข้าสังกัดในทันที
เมื่อเขาได้เข้าไปที่สโมสรเหง่ อัน เขาก็ยังถูกโค้ชหมางเมินเหมือนเดิม ผิดกับพี่ชายของเขาที่ได้รับฉายาว่า สุดยอดพรสวรรค์ และกลายเป็นศูนย์กลางของทีม ปล่อยให้น้องชายมองจากข้างหลังอยู่ไหว ๆ และเริ่มโดนทิ้งห่างออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ
กระนั้น เกว๋ ง็อก มาน กลับได้รับบาดเจ็บอย่างหนักตอนอายุ 17 ปีระหว่างการฝึกซ้อม โดยเขาบาดเจ็บที่หัวเข่าและกระดูกขา นั่นทำให้หัวอกคนเป็นพ่อถึงกับแหลกสลายจากการเฝ้ารอลูกชายคนโตประเดิมลงแข่งขันในวีลีก แต่กลับต้องมาทุบกระปุกโกยเงินเก็บทั้งหมดเพื่อไปจ่ายค่ารักษาให้กับลูกชาย ในขณะที่ตัวของ ง็อก ไห่ เองก็ยังลูกผีลูกคน และนานวันเข้าทางสโมสรได้ยื่นคำขาดว่าจะตัด ง็อก มาน ออกจากสาระบบอคาเดมีหากยังไม่สามารถกลับมาลงสนามได้ ทำให้คนเป็นพ่อถึงกับเครียด และมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด
"ตอนนั้นยากลำบากมากครับ ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ผมรู้เพียงแค่ว่าต้องทำอะไรบางอย่าง" ง็อก ไห่ กล่าว
ซึ่งการทำอะไรบางอย่างของเขานั้น ท้ายที่สุดจะคลี่ปมออกมาได้ว่าเป็นการหาจุดเด่นเพื่อให้โดดเด่นในสายตาโค้ชไปอีกขั้น นอกเหนือจากความขยันและความฟิต
หาจุดเด่นจนมาเจอความโหด
ง็อก ไห่ เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลด้วยตำแหน่งกองกลาง เพราะพี่ชายของเขาเล่นกองกลาง หากแต่ทักษะที่มีไม่สูงนัก จุดเด่นที่ดีมีเพียงการยืนระยะได้เกิน 90 นาที นอกจากนั้นก็ธรรมดา ๆ
ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่ตัวเลือกลำดับแรก ๆ ที่โค้ชจะเลือกลงเป็นตัวจริง หากแต่เมื่อชีวิตพลิกผันพี่ชายดันมาบาดเจ็บ ทำให้เขาเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ โดยเดินไปบอกโค้ชแบบตรงๆ ว่า "ตำแหน่งไหนว่างให้ผมลงเล่นเถิดครับ"
ตอนแรกโค้ชก็หวั่นใจ แต่เมื่อตำแหน่งตัวจริงในทีมเริ่มบาดเจ็บมากขึ้น และไม่สามารถหาใครมาแทนได้ ง็อก ไห่ จึงได้รับโอกาส โดยเริ่มต้นที่ตำแหน่งแบ็กขวา ซึ่งเขาไม่ได้มีทักษะด้านการครอสบอลหรือเติมเกมรุก หากแต่เป็นการวิ่งไม่มีหมด ไล่เตะไล่อัดคู่ต่อสู้ได้อย่างหมดจด รวมถึงการวิ่งเข้ากลางมาช่วยเกมรับก็ทำได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
ตรงนี้ถือว่าเข้ากันกับการเล่นแบ็กสมัยใหม่ที่เรียกว่า Inverted Full-back พอดิบพอดี ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกองกลางตัวรับของทีมประสบปัญหาบาดเจ็บ ก็เป็น ง็อก ไห่ ที่เข้ามาแทนที่ได้อย่างหมดจดเช่นกัน เรียกได้ว่าความฟิตและความดุดันของเขาเข้ากันได้ดีกับตำแหน่งกองกลางตัวรับ
และที่มากไปกว่านั้นคือการที่เขาอาสารับบทบาทเซนเตอร์แบ็กแม้ร่างกายไม่ได้สูงใหญ่ หากแต่ความฟิตที่วิ่งไล่ตามกองหน้าคู่ต่อสู้ยันเงาได้ หรือแม้กระทั่งการเล่นแบบเข้าสกัดทุกโอกาส เรียกได้ว่าเหมาะเจาะอย่างน่าอัศจรรย์
นั่นทำให้เขาสามารถสร้างจุดขายใหม่ได้ นั่นคือการเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ (Multi-tasking player) ที่โค้ชสั่งให้เล่นตำแหน่งใดก็ลงเล่นได้หมดโดยไม่มีอิดออด
และแล้วข่าวดีก็มาถึง เมื่อพี่ชายสุดที่รักของเขาหายจากอาการบาดเจ็บกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง มันยิ่งทำให้เขามีกำลังใจในการเล่นฟุตบอลต่อไป ซึ่งครั้งนี้กลับตรงกันข้ามกับสมัยเด็ก ๆ เมื่อพี่ชายของเขาไม่เหมือนเดิม สิ่งที่เคยทำได้กลับทำไม่ได้ และลดระดับตนเองลง (แม้ยังโลดแล่นเป็นนักฟุตบอลอาชีพจนถึงปัจจุบัน) สวนทางกับ ง็อก ไห่ ที่ค้นพบเส้นทางของตนเองในตำแหน่งเกมรับ
แม้จะน่าเสียดาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวอยู่เหนือกว่าพี่ชาย และขึ้นมาเป็นเสาหลักของครอบครัวได้อย่างเต็มภาคภูมิ เขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเล่นเกมรับไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
โดยภายหลัง เขาได้เปิดเผยว่าต้นแบบในการเล่นเกมรับของเขามาจาก เหงียน ฮุย หวาง (Nguyễn Huy Hoàng) เจ้าพ่อตำนานเกมรับแห่งเหง่ อัน ซึ่งเขากล่าวเอาไว้ว่า
"ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งมีโอกาสได้ชมการฝึกซ้อมของเขา (ฮุย หวาง) ในทีมชุดใหญ่ และเขาเป็นกัปตันทีม โห เขาโคตรทรงพลัง เข้าหนักทุกเม็ดแต่เอาอยู่ทุกดอก ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ เหมือนเขาเป็นนักรบเลย นั่นแหละ ผมจึงนำกลับมาใช้ และผมก็ตัดสินใจได้ว่า เกมรับนี่แหละจะทำให้ผมเฉิดฉาย"
กระนั้น ฮุย หวาง คนนี้ก็มีวีรกรรมที่ใช่ย่อย เพราะที่ว่าเข้าสกัดสวยงามเอาอยู่นั้น แท้จริงหากมองผ่านแว่นตาของสากลโลกก็แทบไม่ต่างอะไรกับการ "เล่นโหด" ใด ๆ เลย เพียงแต่ว่า ฮุย หวาง เป็นนักฟุตบอลเกมรับพรสวรรค์ที่เกิดมาแล้วฝึกซ้อมแต่ตำแหน่งนี้ แตกต่างจาก ง็อก ไห่ ที่ลงเล่นสารพัดตำแหน่ง
เมื่อการเล่นแบบดุดันไม่เกรงใจใคร เข้าสกัดแบบถึงลูกถึงคน และใส่ไม่ยั้งในทุกจังหวะ เกิดขึ้นกับนักฟุตบอลที่ไม่ได้มีความสามารถส่วนบุคคลสูง ไม่ได้มีส่วนสูงหรือร่างกายเป็นจุดเด่น รวมถึงไม่ได้เป็นนักฟุตบอลระดับปรากฏการณ์อย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ในบางครั้งย่อมเกิดสิ่งที่เรียกว่า "เข้าพรวดพราด" และเลยเถิดกลายเป็นความโหดที่เกินจำเป็นไปเสียอย่างนั้น
ประกอบกับการมีไอดอลเป็นนักเตะประเภทนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมันทำให้เขา "เห็นความโหดเป็นความดุดัน" ไปเสียเฉย ๆ
แต่ใครเลยจะรู้ว่าการเล่นแบบโหด ๆ นี้เองที่ส่งให้ตัวเขาก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของเหง่ อัน ลงเล่นวีลีกในฤดูกาล 2012 โดยเบียดตำแหน่งของ ฮุย หวาง ไอดอลของเขาไปอย่างเหลือเชื่อในวัย 20 ปี แถมยังทำผลงานได้สุดสะเด่า จน โทชิยะ มิอุระ เรียกเจ้าตัวเป็น 1 ใน 23 ขุนพล ลุยศึกฟุตบอลชาย เอเชียน เกมส์ 2014 ที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ไปแบบสุดช็อกกับทั้งตัวเขาเองและแฟนบอล
และที่ช็อกไปมากกว่านั้นคือการที่เขาเก็บแนวรุก อิหร่าน เสียอยู่หมัด และทำให้พลพรรคดาวทองชนะไป 4-1 ในนัดแรกของกลุ่ม H แถมในเกมต่อมายังชนะ คีร์กีซถาน ไป 1-0 ผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม พร้อมเขี่ยอิหร่านตกรอบแบ่งกลุ่มเสียด้วย แต่น่าเสียดายที่ไปพลาดท่าแพ้ ยูเออี 1-3 ตกรอบ 16 ทีมไปแบบน่าเจ็บใจ
หลังจากนั้นเขาก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ติดทีมชาติชุดใหญ่ ลุยศึก AFF Suzuki Cup 2014 ทั้งยังประเดิมประตูแรกในนามทีมชาติในเกมพบกับ อินโดนีเซีย เรียกได้ว่าเป็น Dream Start เลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ผลงานของพลพรรคดาวทองไม่มาตามนัด เพราะไปพ่ายแพ้แก่ มาเลเซีย ในรอบรองชนะเลิศไปแบบสุดช้ำด้วยสกอร์รวม 4-5
หลังจากนั้น การสร้างตำนานความโหดของเขาจึงได้เริ่มปรากฏสู่สายตาชาวอาเซียนมากยิ่งขึ้น
โหดจนได้ดี
หลังจากจบทัวร์นาเมนต์ เจ้าตัวได้กลายเป็นขาประจำทีมชาติแทบจะในทันที และได้ลงสนามเป็นเซ็นเตอร์แบ็กตรงกลางในแผนหลังสาม (3-5-2) อยู่บ่อยครั้ง แต่ใช่ว่าเขาจะสามารถเป็นคนที่คุม Tempo ของเกมหรืออ่านเกมได้ดี หากแต่เวียดนามขาดนักเตะประเภทนี้ที่สามารถ "ขู่เข็ญ" คู่แข่งในสนามให้หวาดหวั่นได้
อีกทั้งการเล่นโหดนั้น ในภูมิภาคอาเซียนถือว่ายังหยวน ๆ ให้ได้ สังเกตได้จากการที่เขาไม่เคยโดนใบแดงในนามทีมชาติเลย ทั้ง ๆ ที่เล่นสไตล์นี้มายาวนานเกือบ 10 ปีเข้าไปแล้ว รวมไปถึงในวีลีกที่ไม่ได้เคร่งครัดกับการเล่นแบบโหด ๆ มากเท่าที่ควร สังเกตได้จากการที่ตลอดอาชีพเขาโดนใบแดงไปใบเดียวในวีลีก ทั้งที่เคยเข้าสกัดเพื่อนร่วมอาชีพจนกระดูกเข่าผิดรูปและต้องเลิกเล่นก่อนวัยอันควรมาแล้ว
กระนั้นคนเราย่อมมีการพัฒนา ใช่ว่าความดิบโหดอย่างเดียวจะทำให้เขาติดทีมชาติสม่ำเสมอ แต่เรื่องของความฟิต การวิ่งสู้ฟัด ดันเข้ากันได้กับฟุตบอลยุคปัจจุบันที่เน้นการเพรซซิ่ง และแน่นอนว่า พัค ฮัง-ซอ ดูจะถูกอกถูกใจกองหลังพันธุ์โหดรายนี้มากเป็นพิเศษ ตามสไตล์ของ โคเรียน เวย์ ที่เน้นพละกำลังและต้องวิ่งไม่มีหมดตลอด 90 นาที
ยิ่งไปกว่านั้น โค้ชพัคยังได้ดึงศักยภาพด้านพลังกายของเขาออกมา นั่นคือการปล่อยให้เติมเกมขึ้นมายิงด้วยเห็นว่าความฟิตได้ร่างกายได้ สามารถวิ่งขึ้นลงได้ไม่มีหมดแรง จึงทำให้เขาได้ความโดดเด่นเพิ่มเติมเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นนักเตะคู่บุญของโค้ชพัคเลยก็ว่าได้
ตรงนี้เองที่ความโหดของเขาดูเหมือนจะลดลง เหลือเพียงการเป็นกองหลังพันธุ์แกร่ง เล่นถึงลูกถึงคน และใช้การเล่นขู่คู่แข่งโดยไม่ได้มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
และหลังจากปี 2019 เป็นต้นมา เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "กัปตันทีมชาติ" อย่างเป็นทางการ ประเดิมในศึก Asian Cup 2019 และที่สำคัญ เจ้าตัวยิงตอกฝาโลงเยเมน 2-0 ส่งให้เวียดนาม ผ่านเข้ารอบเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุด ไปชนะจุดโทษ จอร์แดน ในรอบ 16 ทีม และตกรอบ 8 ทีมด้วยน้ำมือของ ญี่ปุ่น
มิหนำซ้ำเขายังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากการเป็นกำลังสำคัญพาเวียดนามผ่านเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย 2022 และทำให้เวียดนามเก็บ 3 คะแนนในรอบนี้ได้สำเร็จจากการชนะ จีน 3-1
แต่แล้วความโหดก็ได้กลับมาอีกครั้งใน AFF Suzuki Cup 2020 ที่เขาได้สร้างวีรกรรมต่อ ศุภโชค สารชาติ หรือไปทำกร่างใส่ มาโน่ โพลกิ้ง ในรอบรองชนะเลิศแมตช์แรก ทำให้ พัค ฮัง-ซอ ได้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ต้นปี 2022 ภายหลังจากจบทัวร์นาเมนต์ AFF Suzuki Cup 2020 (ที่เลื่อนมาแข่งช่วงส่งท้ายปี 2021 ถึงปีใหม่ 2022 เพราะ COVID-19) โค้ชพัคได้ทำการริบปลอกแขนกัปตันทีมไปให้กับ โด่ หุ่ง ซุง (Đỗ Hùng Dũng) กองกลางเพื่อนร่วมรุ่นแทน สร้างความงุนงงต่อแฟนบอลดาวทองอย่างมาก โดยโค้ชพัคได้ออกมาให้เหตุผลในภายหลังว่า
"ผมต้องเปลี่ยน เขา (ง็อก ไห่) ไม่อาจเป็นกัปตันทีมชาติได้อีกต่อไป อยากให้เขาไปโฟกัสแค่เรื่องฟุตบอลอย่างเดียวก่อน"
ผลที่ตามมา นอกจากปลอกแขนจะหายไปจากแขนซ้าย เขายังได้หลุดวงโคจรจากทีมชาติเวียดนามไปพักหนึ่ง เนื่องจากปัญหาทางด้านการควบคุมอารมณ์ล้วน ๆ แต่กระนั้นสายสัมพันธ์กลับตัดกันไม่ขาด เพราะท้ายที่สุด พัค ฮัง-ซอ ได้เรียกเขากลับมายืนเซ็นเตอร์ตัวจริงในทัวร์นาเมนต์อำลาของเขาอยู่ดี
และความโหดก็ได้กลับมาโชว์ให้เห็นต่อหน้าต่อตาโค้ชพัคอีกครั้ง ซึ่งไม่แน่ชัดว่า ท้ายที่สุดแล้ว ภายหลังจากการอำลาเวียดนามของโค้ชพัค ง็อก ไห่ จะยังรักษามาตรฐานการเล่นตามที่กุนซือขรัวเฒ่าชาวเกาหลีใต้สอนมา หรือจะกลับไปดุดันไม่เกรงใจใครอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าขบคิดต่อไปในอนาคต
แหล่งอ้างอิง
https://bongdaplus.vn/bong-da-cuoc-song/hau-ve-que-ngoc-hai-co-da-bong-de-cuu-giac-mo-cua-anh-trai-1084091411.html
https://vnexpress.net/que-ngoc-hai-toi-da-truong-thanh-hon-4276342.html
https://bongdaplus.vn/v-league/que-ngoc-hai-nguoc-ra-bac-nguoi-anh-trai-xuoi-vo-nam-2405221901.html
https://bongdaplus.vn/bong-da-viet-nam/bai-phuc-kha-nang-chuyen-dai-cua-que-ngoc-hai-2642821910.html
https://vnexpress.net/que-ngoc-hai-mua-quat-mua-vui-cho-con-gai-4326200.html?fbclid=IwAR2SskYmLljXPRE_V9ky7Q1f4n_jJkY29qtbF0FNI3vZvgS5DpaG7ISREZI