Feature

เหงียน เตียน ลินห์ : ชายที่ทำให้เวียดนามมั่นใจว่า "ไร้ เล กง วินห์ ก็ไม่มีปัญหา" | Main Stand

"ผมไม่อยากลาจากเวียดนามไปด้วยความล้มเหลว" เป็นคำที่ พัค ฮัง ซอ กล่าวไว้ภายหลัง เวียดนาม เสมอ อินโดนีเซีย ในแมตช์แรกของอาเซียนคัพ 2022 รอบรองชนะเลิศ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ลูกทีมของเขาไม่ทำให้ผิดหวังในแมตช์ที่สอง หลังจากเชือดพลพรรคอิเหนาไปแบบนิ่ม ๆ 2-0 โดยสองประตูดังกล่าว เหงียน เตียน ลินห์ (Nguyễn Tiến Linh) เหมาคนเดียวไม่แบ่งใคร

 

ซึ่ง เตียน ลินห์ คนนี้ ถือได้ว่าเป็นศูนย์หน้าอนาคตใหม่ของพลพรรคดาวทอง เรียกได้ว่าหากขาดเขาไปแม้แต่เกมเดียวเวียดนามจะออกอาการป้อแป้ ยิงใครไม่เป็น ฝ่อกันไปตามระเบียบ และไม่อาจจะ ก้าวต่อไปได้ ขนาดที่ในซีเกมส์ 2021 เขายังได้เป็นนักเตะโควตาอายุเกินลงมาช่วยน้อง ๆ แข่งขัน จนสามารถชนะ ทีมชาติไทย คว้าเหรียญทองได้ในบ้านตนเอง

ผลงานระดับนี้ทำให้แฟนบอลชาวเวียดนามแทบหมดกังวลไปเลยว่า การประกาศแขวนสตั๊ดก่อนวัยอันควรของ เล กง วินห์ (Lê Công Vinh) ศูนย์หน้าระดับพระกาฬของชาวเวียดนามทั้งผอง จะทำให้เกิดความระส่ำระสาย แม้ว่าจะมีช่องว่างการเปลี่ยนผ่านขนาดไหนก็สามารถหาตัวแทนได้อย่างหมดจด

ร่วมติดตามเส้นทางชีวิตศูนย์หน้าที่ทำให้แฟนบอลเวียดนามมั่นใจว่า "No Lê Công Vinh, No Problems" ไปพร้อมกับ Main Stand

 

เด็กเหนือโตใต้

หากพิจารณาตามแบบแผนบางอย่าง ชีวิตของนักฟุตบอลส่วนใหญ่มักเริ่มต้นด้วยความยากจนข้นแค้น มีต้นทุนชีวิตสุดระทม และต้องต่อสู้ฝ่าฟันมากกว่าคนอื่น ๆ แน่นอนว่า เตียน ลินห์ ย่อมมีลักษณะแบบนี้เช่นเดียวกัน

เขาเกิดในปี 1997 ที่อำเภอกั่ม ซาง (Cẩm Giàng) จังหวัดไฮ่ เซือง (Hải Dương) ในภูมิภาค เจ้า โต่ว ซง ฮง (Châu thổ sông Hồng) ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นภูมิภาคเดียวกันกับ ฮานอย (Hanoi) เมืองหลวงของประเทศ โดยมีระยะทางห่างกันไม่ถึง 50 กิโลเมตร (ขับรถยนต์ประมาณ 1 ชั่วโมง)

แม้จะอยู่ใกล้กับถิ่นที่เจริญแต่ชีวิตของเจ้าตัวกลับสวนทางอย่างมาก นั่นเพราะอำเภอกั่มซางเป็นอำเภอเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ ไม่มีทางหลวงตัดผ่าน มิหนำซ้ำยังไม่ได้มีพื้นที่ติดทะเลแบบไฮ่ฟง (Haiphong) ในละแวกใกล้เคียงกัน ทำให้พื้นที่นี้ไม่รู้จะขายอะไรให้โดดเด่น ประชากรจึงประกอบอาชีพเกษตรกรรมและปศุสัตว์เป็นหลัก 

หากนึกไม่ออกให้นึกถึงจังหวัดอ่างทอง ที่ถนนสายเอเชียไม่ได้ตัดผ่าน แม้จะมีระยะทางที่ใกล้กรุงเทพฯ แต่ความสำคัญน้อยกว่าพระนครศรีอยุธยาหรือสิงห์บุรีไปมาก

แน่นอนว่าครอบครัวของ เตียน ลินห์ ถือว่าลำบากพอสมควร โดยเฉพาะการมีโซ่ทองคล้องใจในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจทั่วเอเชีย (Financial Crisis) ยิ่งไปกันใหญ่ ทำให้เมื่อเขาอายุได้ 2 ปี แม่ของเขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นช้างเท้าหน้าให้ครอบครัว ย้ายข้ามประเทศไปทำงานเป็นแรงงานต่างด้าวยังประเทศเกาหลีใต้ เพื่อโกยเงินวอนกลับมาส่งเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวน โดยอาชีพของเธอนั้น คือการเก็บผักผลไม้ในสวน (ซึ่งเนื้องานไม่แตกต่างจาก "ผีน้อย" ของบ้านเรา) 

ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตอยู่กับพ่อเพียงสองคนตามลำพัง โดยรอรับเงินจากมารดาทุกเดือน ๆ และเมื่อผู้ชายอยู่ด้วยกันแบบผู้ชาย สิ่งที่พ่อสอนเขานั้นนอกจากจะเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปแล้ว แน่นอนว่าในทางกิจกรรมนันทนาการก็มีแต่เรื่องของฟุตบอลล้วน ๆ 

"ลูกชายอิฉันนี่ 2 ขวบก็ควบลูกฟุตบอลพลาสติกเล่นแล้วค่ะคุณ" ฮา ตี ไหม (Hà Thị Mai) แม่ของเขาได้กล่าวไว้ในรายการ ก๋อ เกื่อ ถั้ม ยา (Gõ Cửa Thăm Nhà) ออกอากาศทางช่อง MVC ช่องชื่อดังของเวียดนาม (คล้ายรายการ ตีท้ายครัว ออกอากาศทางช่อง 3)

"ผมบ้าฟุตบอล พอลูกชายชอบเล่นผมก็เลยสนับสนุนสุดตัวเลยครับ" เหงียน เตี๋ยน เกวียน (Nguyễn Tiến Quyền) ได้กล่าวไว้ในรายการเดียวกัน

แต่เมื่อ 4 ปีต่อมา การรับรายได้ทางเดียวจากแม่ไม่พอค่าใช้จ่ายในครอบครัว สองพ่อลูกจึงตัดสินใจเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋ามุ่งหน้าลงใต้ไปสู่ บิ่ง เซือง (Bình Dương) เมืองเขตเศรษฐกิจสำคัญทางตอนใต้ของเวียดนามที่เป็นรองเพียง โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City) โดยตอนแรกมาพึ่งใบบุญของญาติพี่น้องที่มีอันจะกินแล้วให้ความช่วยเหลือ 

ซึ่งก็ได้ตามเป้าหมาย พ่อของเขาได้เป็นลูกจ้างในธุรกิจของญาติและทำอาชีพเสริมเป็นแคดดี้สนามกอล์ฟ ด้วยรายได้สามทางนี้เองทำให้ เตียน ลินห์ มีทุนทรัพย์ในการศึกษาต่อได้เปลาะหนึ่ง แม้ในช่วงแรกจะยากลำบากมากเพราะเขาไม่สามารถพูดภาษาใต้อันมีสำเนียงแตกต่างได้จึงรู้สึกแปลกแยก ประกอบกับการคิดถึงแม่และคิดถึงบ้านก็ยิ่งแล้วใหญ่

ดังนั้นฟุตบอลจึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจสิ่งเดียวของเขา เวลาได้ควบลูกหนังจึงเหมือนหลุดไปอีกมิติ ที่มีแต่ความสนุนสนาน เพลิดเพลิน ลืมวันเวลา และความทุกข์โศกไปสิ้น สิ่งนี้เองที่ทำให้เด็ก ๆ ชาวใต้ไม่แคร์เรื่องภาษาและหันมาผูกมิตรกับเขาด้วยฟุตบอล 

เมื่อมาลงหลักปักฐานยัง บิ่ง เซือง นานวันเข้า เขาจึงได้กลายเป็นหนุ่มใต้อย่างเต็มตัว การกินอาหาร ยันภาษาที่ใช้ไม่เหลือคราบความเป็นคนเหนือใด ๆ ทั้งสิ้น

สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาได้สัมผัสกับฟุตบอลได้อย่างเต็มที่ เพื่อน ๆ ที่เขาคบหาแต่ละคนก็ล้วนเป็นแฟนฟุตบอลเต็มขั้น ยิ่งในช่วงที่เขาเติบโตขึ้นมา สโมสร บิคาเม็กซ์ บิ่ง เซือง (Becamex Bình Dương) กำลังครองความเป็นเจ้าในฟุตบอลลีกเวียดนามและระดับอาเซียน ก็ยิ่งเป็นเหมือนเชื้อเพลิงจุดไฟในการเป็นนักฟุตบอลให้โชติช่วงชัชวาล

จากนั้นเมื่อเขาอายุครบ 9 ปี แม่ที่ไปทำงานเกาหลีใต้มานานแสนนานก็ได้กลับมายังมาตุภูมิอีกครั้ง เนื่องจากมีรายได้พอประมาณและคิดถึงครอบครัวมาก ๆ เมื่อชีวิตของครอบครัวเริ่มเข้าที่เข้าทางมีกินมีใช้จากการเปิดร้านกาแฟ เตียน ลินห์ จึงหมดห่วงไปอีกขั้น และได้น้องชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งในครอบครัวเสียด้วย

ตอนแรกสองผัวเมียจะทะเลาะกันอย่างหนัก เนื่องจากคนเป็นแม่ไม่อยากให้ลูกชายประกอบอาชีพที่มีความมั่นคงต่ำอย่างนักฟุตบอล ส่วนคนเป็นพ่อใส่ไม่ยั้งอยากเห็นลูกชายลงไปควบลูกหนังดั่งใจปอง รวมถึง เตียน ลินห์ ก็หมกมุ่นแต่กับการเตะฟุตบอลและไม่สนใจการเรียน ทำให้แม่เป็นกังวลอย่างมาก ไม่อยากให้มาเป็นแรงงานราคาถูกทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบตน 

กระนั้น เตียน ลินห์ ได้ให้สัญญากับพ่อแม่อย่างหนักแน่นว่า "ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ หากผมไปไม่ถึงดวงดาวผมจะยอมศิโรราบ และรับผิดชอบด้วยตนเอง" จึงทำให้ครอบครัวยอมใจและหันมาสนับสนุนลูกชายในสายอาชีพนี้อย่างเต็มที่

และใครเลยจะรู้ว่าความเป็นศูนย์หน้าเพชฌฆาตกำลังเริ่มต้นขึ้น เพียงแต่เกิดขึ้นช้ากว่าคนอื่น ๆ ไปเล็กน้อย

 

แจ้งเกิดช้าแต่แจ้งเกิดได้

เริ่มแรก เตียน ลินห์ ลงสนามให้ทีมเยาวชนในชนบทของอำเภอตี้ อ่าน (Dĩ An) เนื่องจากทีมขาดศูนย์หน้า และโค้ชก็เคยไปเห็นเขาที่สนามกอล์ฟและเกิดถูกใจรูปร่างที่สูงโปร่ง ทำให้โค้ชทาบทามให้มาลงเล่น กระนั้นฟอร์มของเขาในวันนั้นเรียกว่า "ไปไม่เป็น" จับบอลห่างเป็นวา เบียดปะทะไม่ได้ จบสกอร์แบบนกตายไปเป็นฝูง เขาจึงต้องออกจากทีมไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งนี้หลอกหลอนเขามานาน ขนาดที่ทำให้ไม่กล้าเล่นฟุตบอล กระนั้นโค้ชคนดังกล่าวได้เข้ามาให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ และให้สัญญาว่า "ไอ้หนุ่ม กูจะเป็นคนสอนมึงเตะบอลเอง" นั่นทำให้เขากลับมาใจฟู และอยากที่จะเล่นฟุตบอลอีกครั้ง 

ในที่สุดจากการอบรมบ่มเพาะของโค้ช เตียน ลินห์ ได้กลายเป็นศูนย์หน้าระดับท็อปของรุ่นชนิดหาตัวจับยาก เนื่องจากส่วนสูงที่มากกว่าคนวัยเดียวกัน ทำให้เขามีทีเด็ดอยู่ที่การโหม่ง และมีแรงปะทะเพิ่มขึ้นจากการรู้เหลี่ยมฟุตบอล รวมถึงโภชนาการที่ถูกหลักสำหรับนักกีฬา

และในปี 2008 สโมสร บิคาเม็กซ์ บิ่ง เซือง ได้จัดทัวร์นาเมนต์เพื่อเฟ้นหาดาวรุ่งเข้าสู่ทีม และแน่นอนว่าเขาได้โชว์ฟอร์มระดับเตะตาแมวมองยอดทีมแดนใต้อย่างมาก ทำให้สัญญามาประเคนถึงหน้าบ้านแทบจะในทันที มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ ทำให้ได้เข้าร่วมอคาเดมีของทีมอย่างเป็นทางการในวัย 13 ปี ซึ่งถือได้ว่าเริ่มต้นช้ากว่านักเตะทั่วไปอย่างมาก

ในช่วงแรก เขาได้รับการวางบทบาทให้เป็นปีกขวา ทว่าด้วยร่างกายที่บางเฉียบแต่ความคล่องตัวและความเร็วไม่ได้มีมากมายทำให้ทำอะไรก็ดูเก้งก้างไปหมด และถือว่าสโมสรใช้งานได้ไม่เต็มที่ แต่แล้ว เมื่อทีมขาดศูนย์หน้าเขาจึงได้รับการดันให้ไปเล่น 

แม้ช่วงแรกจะทำได้ไม่ดีเหมือนในสมัยเด็ก ๆ แต่พอได้เล่นบ่อย ๆ ความมั่นใจจึงเริ่มมา ผนวกกับการได้วิชาจากบรรดาแข้งทีมชุดใหญ่ เขาจึงเริ่มมีลูกเล่นหนักเพิ่มเข้ามา เรียกได้ว่าแทบจะครบเครื่องศูนย์หน้าเลยทีเดียว

แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่เข้าระบบอคาเดมีช้ากว่าคนอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกันทำให้เจ้าตัวไม่ได้รับการเรียกติดทีมชาติเวียดนามระดับเยาวชน ที่เน้นสร้างทีมแบบ "ดรีมทีม" ที่อยู่ด้วยกันนานจนเข้าใจระบบอย่างถ่องแท้ เขาจึงเป็นเหมือนคนนอกที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสเท่าที่ควร 

สังเกตได้จากรุ่นเดียวกับ เตียน ลินห์ อย่าง เหงียน กวง ไฮ (Nguyễn Quang Hải) เหงียน วัน ตวน (Nguyễn Văn Toàn) หรือ เหงียน คอง เฟือง (Nguyễn Công Phượng) ที่ติดทีมชาติเวียดนามแทบทุกชุด และเล่นแบบรู้ใจกันมาโดยตลอดยันทีมชาติชุดใหญ่

กระนั้นการแข่งขัน Vietnamese National U-19 Football Championship ปี 2015 ที่เปิดโอกาสให้อคาเดมีจากทั่วประเทศมาชิงชัย ในวัย 17 ย่าง 18 ปี เขาได้ปล่อยของ กดไป 5 ประตู รั้งตำแหน่งดาวซัลโว แม้ทีมจะไปได้ไม่ไกลก็ตาม

และฟอร์มการเล่นใน บิ่ง เซือง ของเขาก็ทำให้ทีมชาติเวียดนามไม่รอช้า เรียกตัวมาสู้ศึก AFF U-19 Youth Championship 2015 แทบจะในทันที แม้จะจบด้วยการเป็นรองแชมป์และแพ้ไทยหมดรูป 0-6 แต่เจ้าตัวกลับกดไป 3 ประตู และอยู่ในชุดคว้าอันดับที่ 3 AFC U-19 Championship 2016 

กระนั้นเมื่อกลับมาที่ บิ่ง เซือง เจ้าตัวกลับไม่ได้พัฒนามากเท่าที่ควร การไปร่วมทีมชาติไม่ได้ช่วยอะไร ปัญหาเดิม ๆ ในวัยเด็กกลับมาอีกครั้ง ถึงขนาดโค้ชเรียกว่า "ไอ้อ่อน (ẻo lả)" นั่นทำให้เจ้าตัวพลาดการเป็นขุนพลดาวทองทำศึกซีเกมส์ 2015 และ 2017 ไปโดยปริยาย

แต่ในโชคร้ายยังมีโชคดี เพราะการไม่ได้ติดทีมชาติทำให้เขามุ่งมั่นเต็มที่กับสโมสร และไม่นาน บิ่ง เซือง ได้มอบสัญญาอาชีพให้เขาและได้ลงสนามอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 2016 โดยเจ้าตัวสามารถเบียดศูนย์หน้าโควตาต่างชาติลงเป็นตัวจริงถึง 15 แมตช์ ยิงไป 2 ประตู และที่พีกคือ ในปีต่อมาเขาเป็นหนึ่งในทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลีกเลยทีเดียว แม้จะยิงได้เพียง 2 ประตู

คำถามที่ตามมาคือ เขามีอะไรดี จึงเป็น Best XI ของวีลีกได้ ?

คำตอบคือ การเล่นของเขาจะไม่ใช่ศูนย์หน้าประเภทยืนค้ำหรือรอบอล แต่จะลงไปมีส่วนร่วมกับเกม คอยรับบอล ต่อบอล หรือวิ่งทำทางให้คนอื่น ๆ เล่นง่าย และที่สำคัญยังมีการไล่เพรสซิ่งตลอดเวลา แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย

นั่นจึงทำให้แม้ส่วนสูงเพียง 183 เซนติเมตร (ทว่าบางที่ก็ลงไว้แค่ 178 เซนติเมตร) ที่สูงเท่านี้มาตั้งแต่อายุ 13 ปี กลับเบียดศูนย์หน้าต่างชาติระดับ 190 เซนติเมตรขึ้นไปและได้ลงตัวจริงอย่างต่อเนื่อง

สิ่งนี้เองที่ทำให้ พัค ฮัง ซอ หลังเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าโค้ชทีมชาติเวียดนามในปี 2018 ถูกอกถูกใจอย่างมาก และได้ให้ที่ทางเวทีแจ้งเกิดของเจ้าตัวอย่างไม่คาดคิด

 

โน เล กง วินห์ โน พร็อบเล็มส์

เป็นที่ทราบกันดีว่าสไตล์ฟุตบอลแบบเกาหลีใต้นั้นเน้นหนักไปที่การใช้พละกำลัง วิ่งไล่ไม่มีหมด และเพรสซิ่งทั้งเกม ซึ่งมันเข้ากันกับวิธีการเล่นของ เตียน ลินห์ อย่างมาก พัค ฮัง ซอ จึงอยากที่จะนำเขาไปเป็นอาวุธในการแข่งขัน AFC U-23 Championship 2018 แม้ว่าเขาจะยิงไปเพียงหลักหน่วยก็ตาม

แต่เหมือนเทวดากลั่นแกล้ง เพราะเขาดันโชคร้ายบาดเจ็บหนักเสียก่อน เขาจึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในการคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศได้อย่างพลิกความคาดหมาย ไล่อัดทั้ง ออสเตรเลีย, อิรัก และ กาตาร์ ไปแบบเหลือเชื่อ ปล่อยให้ เตียน ลินห์ ดีใจกับเพื่อน ๆ ตาละห้อยอยู่ที่โรงพยาบาล

แต่สิ่งนี้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาไม่ย่อท้ออีกเช่นเคย ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ในฤดูกาล 2018 เขาจึงโชว์ฟอร์มสุดสะเด่า กดไป 15 ประตูในวีลีก พร้อมพา บิ่ง เซือง คว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยได้สำเร็จ ซึ่งเป็นโทรฟี่แรกในรอบ 3 ปีของสโมสรอีกด้วย

ด้วยฟอร์มระดับนี้ด้วยกายและใจที่พร้อม โค้ชพัคจึงไม่ลังเลที่จะเรียกเขาติดทีมชาติชุดใหญ่ลุยศึก อาเซียนคัพ 2018 ซึ่งถือเป็นการติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก ในขณะที่ประสบการณ์การติดทีมชาติของเขามีน้อยกว่าเพื่อนร่วมรุ่นไปมาก 

ณ ตอนนั้น แฟนบอลดาวทองมีข้อครหาว่า เหตุใดจึงไม่เรียก ฮา ดึก ชิง (Hà Đức Chinh) ศูนย์หน้าขาประจำทีมชาติเข้ามาร่วมทีม แต่โค้ชพัคให้เหตุผลว่า "ดึก ชิง เล่นทีมชาติดี แต่เล่นสโมสรกลาง ๆ ส่วน เตียน ลินห์ เล่นกับสโมสรได้เยี่ยมยอดแต่อาภัพกับทีมชาติ จึงควรให้โอกาสเขาสักครั้ง"

แต่เหมือนเทวดาจะไม่ชอบหน้าเขา เพราะในระหว่างอุ่นเครื่องเตรียมทีมเขาดันมาเจ็บอีกรอบ แต่ครั้งนี้ เทวดาอาจมีมโนธรรมสำนึกเพราะเขาหายเจ็บในระยะเวลาอันรวดเร็ว และพร้อมประเดิมสนามเป็นตัวจริงกับ กัมพูชา

เมื่อมีโอกาสเขาก็ไม่ทำให้โค้ชพัคผิดหวัง 39 นาทีในสนาม เขาหาช่องจากการเปิดของ เหงียน ตรวง ฮวง (Nguyễn Trọng Hoàng) ปีกขวา สอดขึ้นมาโหม่งทำประตูขึ้นนำได้สำเร็จ ก่อนที่จะชนะไป 3-0

และนี่เป็นประตูแรกและประตูเดียวของเขาตลอดทัวร์นาเมนต์ ถึงแม้ไม่ได้ยิงระเบิดแบบ อดิศักดิ์ ไกรสร (8 ประตู) แต่รูปแบบการเล่นที่สับขาวิ่งแทบเท้าแตกแบบนี้เข้ากับทีมและทรงประสิทธิภาพมาก ๆ ส่งให้พลพรรคดาวทองคว้าแชมป์ไปในที่สุด และเป็นความสำเร็จในรายการนี้อีกครั้งในรอบ 10 ปีอีกด้วย

อีกไม่กี่เดือนต่อมาเขายังได้ร่วมทีมลุยศึกเอเชียน คัพ 2019 และถึงแม้จะคลำเป้าไม่ได้ แต่ด้วยการเล่นเช่นนี้กลับพาเวียดนามไปไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ชนิดที่ชนะทีมแกร่งอย่าง จอร์แดน ในรอบ 16 ทีม และแพ้ ญี่ปุ่น ในรอบ 8 ทีมไปแบบน่าเสียดาย

ถึงแม้ว่าหลังจากการกด 15 ประตูในฤดูกาล 2018 เจ้าตัวจะไม่สามารถยิงในระดับนี้ได้อีกเลย แต่กลับกลายเป็นว่าเขาติดทีมชาติอย่างต่อเนื่องจนเป็นขาประจำ และกลายเป็นว่าจุดเด่นของเขาไม่ได้อยู่ที่การยิงประตู แต่อยู่ที่การเล่นเพื่อทีม และทำลายคู่ต่อสู้ด้วยพละกำลังไปอย่างหน้าตาเฉย

กระนั้นรายการเดียวที่เจ้าตัวร้อนแรงกลับเป็น ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ที่เจ้าตัวกดไป 8 ประตู แซงหน้า เล กง วินห์ ที่จำนวน 7 ประตูไปเรียบร้อย โดยยิงแต่ละลูกเป็นประตูสำคัญแทบทั้งสิ้น 

ทั้งการยิงประตูโทนชนะ ยูเออี 1-0 พาเวียดนามเข้าไปแข่งขันรอบ 12 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก หรือยิงขึ้นนำจีน และจบเกมด้วยการชนะไป 3-1 ซึ่งถือเป็นการคว้า 3 คะแนนแรกของเวียดนามในรอบ 12 ทีมสุดท้ายเช่นกัน ทั้งยังทำผลงานได้ดีกว่าไทยเสียด้วย (ไทยได้ 4 คะแนน ไม่เคยชนะ เวียดนามได้ 4 คะแนน ชนะ 1 เสมอ 1)

ในปี 2021 เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Best Footballer in Asia 2021 อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ยิงประตูหลักหน่วย มิหนำซ้ำยังมีคะแนนโหวตระดับเหนือกว่า ธีราธร บุญมาทัน เสียด้วย

และล่าสุดกับการยิง 5 ประตูในอาเซียน คัพ 2022 ส่งให้เวียดนามเข้าชิงชนะเลิศกับไทย ซึ่งเป็นการเข้าชิงอีกครั้งในรอบ 4 ปี และจะได้ล้างตาจากรอบรองชนะเลิศเมื่อครั้งที่แล้วกับไทยอีกครั้ง ชนิดที่ในยุคของ เล กง วินห์ ตำนานจอมถล่มประตูก็ไม่อาจทำได้

บางทีการยิงไม่เยอะแต่มีส่วนร่วมกับเกมและยิงประตูสำคัญ ๆ อาจมีความสำคัญมากกว่าการหายไปจากเกมแล้วโผล่มายิงแต่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเกมมากมาย สำหรับฟุตบอลในโลกปัจจุบันก็เป็นได้

 

แหล่งอ้างอิง

https://giaitri.vn/cau-thu-nguyen-tien-linh-que-o-dau-tieu-su-cau-thu-tien-linh 
https://vietnam.postsen.com/local/233857/Coach-Park-Hang-Seo-I-don%E2%80%99t-want-to-say-goodbye-to-Vietnamese-football-by-failure.html 
https://www.congluan.vn/nguyen-tien-linh-duoc-de-cu-danh-hieu-cau-thu-xuat-sac-nhat-chau-a-2021-post172611.html 
https://tinmoi.vn/tien-linh-khoe-anh-chup-ca-gia-dinh-dan-tinh-khen-ngoi-nha-toan-nguoi-mau-011579799.html 
https://www.youtube.com/watch?v=j8mXuwHKZpM&t=42s 

Author

วิศรุต หล่าสกุล

หน้าตา 4KINGS ฟังเพลง 4EVE

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ