Feature

มาร์ติน โอเดการ์ด : ดาวโรจน์ ผู้ทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง แล้วนับหนึ่งใหม่กับอาร์เซน่อล | Main Stand

ค่ำคืนแห่งชัยชนะเริ่มต้น ในวันที่ 1 มกราคม 2023 ณ สนาม ‘ดิ อเมริกัน เอ็กซ์เพรสส์ คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม’ แฟนบอลของทีมอาร์เซนอล และไบรท์ตันแอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ต่างหลั่งไหลเข้ามาดูเกมอันน่าตื่นเต้นนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในการแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2022-2023 โดยทั้งสองทีมต่างต้องการชัยชนะเพื่อฉลองวันแรกของปีด้วยหัวใจที่หิวกระหาย

 

‘มาร์ติน โอเดการ์ด’ เป็นหนึ่งในผู้เล่นซึ่งสามารถโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม เขาอ่านเกมเฉียบขาด แสดงทักษะจากสองเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว ปั่นป่วนแผงแนวรับทีมคู่แข่งจนหัวหมุนครั้งแล้วครั้งเล่า

ผู้คนต่างรู้ดีว่า โอเดการ์ด กำลังมีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมกับอาร์เซนอล เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นตัวหลักที่ช่วยให้ไอ้ปืนใหญ่เก็บชัยชนะมา 5 นัดติด และยังเป็นเหตุผลสำคัญที่ช่วยให้อาร์เซนอลผงาดเป็นจ่าฝูงในศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษขณะนี้

แม้จะเป็นผู้เล่นกองกลางระดับอัจฉริยะ แต่โอเดการ์ด ก็มีช่วงเวลาที่ไม่ดีนักกับ ‘เรอัล มาดริด’ จนทำให้ชีวิตการเป็นนักเตะของเขาตกต่ำลง ถึงขั้นต้องระหกระเหิน พเนจรไปเล่นตามทีมต่าง ๆ ในลีกยุโรป แต่ถึงกระนั้น นักเตะหนุ่มวัย 24 ปี คนนี้ ก็มีหัวใจที่น่ายกย่อง เขาต่อสู้กับสถานการณ์เลวร้ายทั้งในและนอกสนามได้อย่างเข้มแข็ง

นี่คือเรื่องราวการต่อสู้ของ มาร์ติน โอเดการ์ด ดาวโรจน์ผู้กำลังเจิดจรัสในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เขามีวิธีคิด  หรือหลักการในการต่อสู้กับเรื่องร้ายต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตอย่างไรบ้าง ติดตามได้ที่ Main Stand

 

เด็กอายุ 15 ที่เปล่งประกาย

ภายใต้ท้องฟ้าเงียบสงบ ของเมืองดรัมเมน ประเทศนอร์เวย์ เมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องหุบเขาสวยงามท่ามกลางหิมะหนาทึบ แสงเหนือบนท้องฟ้า ที่เรียงรายไปด้วยบ้านไม้หลากสีดูสดใส สถานที่แห่งนี้คือบ้านเกิดของมาร์ติน โอเดการ์ด เขาเกิดเมื่อ วันที่ 17 ธันวาคม ปี 1998 ในครอบครัวชนชั้นกลาง โดยมีคุณพ่อเป็นอดีตนักฟุตบอล และเป็นโค้ชให้กับทีม ‘แดรมเมน สตรอง’ ในเมืองบ้านเกิดของเขา และเป็นสโมสรแห่งแรกที่โอเดการ์ด เริ่มต้นค้าแข้ง

ด้วยพรสวรรค์ด้านฟุตบอลของเขา ที่โดดเด่นเหนือเด็กทุกคนในทีม เขาเล่นบอลได้อย่างพลิ้วไหว เทคนิคที่ไม่ธรรมดา ทักษะการครองบอลอันยอดเยี่ยม การกระชากแล้วตัดเข้าในพื้นที่แคบก็ทำได้ดี การจ่ายบอลก็แม่นยำราวกับจับวาง ทำให้ทีมดังอย่าง ‘สตรอมส์ก็อตเซท’ คว้าตัวไปร่วมทีมเมื่อปี 2009 ซึ่งเขาสามารถเข้ามาเป็นผู้เล่นชุดใหญ่ของสโมสรด้วยวัยเพียง 13 ปี กลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในลีกนอร์เวย์ ทันที

อีกสองปีต่อมา โอเดการ์ด กลายเป็นเด็กพรสวรรค์แห่งยุค เขาลงเล่นให้สโมสรสตรอมส์ก็อตเซท ในลีกสูงสุดของนอร์เวย์ ตอนอายุ 15 ปี กับอีก 118 วัน และติดทีมชาติชุดใหญ่ของนอร์เวย์ ตอนอายุ 15 ปี กับอีก 235 วัน จากนั้นยิงประตูแรกให้ทีมชาติได้ในวัย 15 ปี กับอีก 300 วัน และด้วยความที่ถนัดเท้าซ้าย ทำให้ช่วงนั้นสื่อยุโรปต่างพากันปั้นฉายาให้เขาว่าเป็น เมสซี่แห่งนอร์เวย์บ้าง หรือ เมสซี่เจเนอเรชันใหม่บ้าง

 

อีโก้ หรือเลือกทีมผิด

ความเก่งของโอเดการ์ด โด่งดังอย่างรวดเร็ว ทำให้สโมสรในยุโรปต้องการได้ตัวเขามาร่วมทีม จนปลายปี 2014 มีมากกว่า 10 สโมสร อาทิ บาร์เซโลน่า , เรอัล มาดริด , บาเยิร์น มิวนิค , ปารีส แซงต์ แชร์กแมง , ลิเวอร์พูล , อาร์เซน่อล , ติดต่อเข้ามาขอลายเซ็นแข้งรายนี้ไปร่วมทีม

แต่สุดท้าย โอเดการ์ด เลือกไปที่เรอัล มาดริด ซึ่งการเซ็นสัญญาเกิดขึ้นวันที่ 22 มกราคม 2015 โดยทันทีที่การเซ็นสัญญาจบลง ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ แข้งเบอร์หนึ่ง ของสโมสร ณ เวลานั้น ได้ออกมากล่าวตอนรับว่า

"แม้อายุยังน้อย แต่เขาก็เป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม มีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า เราต้องให้เวลาเขาได้เรียนรู้ ผมเห็นพรสวรรค์ในตัวเขานะ เขามีเท้าซ้ายที่ดีเยี่ยมจริง ๆ"

แต่การเข้ามาอยู่ในถิ่น เรอัล มาดริด เปรียบเสมือนบทเรียนครั้งสำคัญที่โอเดการ์ด จะไม่มีวันลืมไปตลอดชั่วชีวิต

อาจเป็นเพราะเขาเป็นแข้งดาวรุ่งที่เก่งที่สุดในโลก ทำให้มีความั่นใจสูง แต่ทุกอย่างไม่ได้สวยงามอย่างที่โอเดการ์ดคิดฝันไว้ เมื่อเขาไม่สามารถสอดแทรกผู้เล่นตัวจริงอย่าง โรนัลโด้ , เบล หรือ เบนเซม่า ที่เล่นได้อย่างลงตัวจนเป็นหนึ่งในสามประสานแดนหน้าที่ดีที่สุดของยุโรปในเวลานั้น  ดังนั้น เขาจึงถูกส่งไปเล่นให้ทีมสำรองอย่าง ‘กาสตีญ่า’ โดยมีซีเนอดีน ซีดาน เป็นเฮดโค้ชคุมทีมอยู่

แน่นอนว่า จากผู้เล่นตัวจริงแล้วโดนลงอยู่ในทีมสำรอง เป็นสิ่งที่โอเดการ์ดทำใจไม่ได้ เขาเริ่มทำตัวงอแง จากการมาซ้อมสาย หรือไม่มาซ้อมเลย รวมถึงการวางตัวกับเพื่อนในทีมสำรองก็ไม่คอยดีนัก

ยังมีข่าวว่า เขาไม่คอยให้ความเคารพซีดาน เฮดโค้ชของทีม ที่พยายามตักเตือนให้เขาทำตัวอย่างมืออาชีพ คือฝึกซ้อมให้นัก และพยายามทำผลงานให้ดีในทีมสำรอง

แต่โอเดการ์ไม่คอยสนใจสิ่งที่ซีดานตักเตือนมากนัก เขาไม่แคร์ว่าเพื่อนในทีมจะคิดอะไรอยู่ เขาคิดเพียงว่า ตัวเขามีความสามารถมากพอจะเล่นเคียงข้างกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในทีมชุดใหญ่ มากกว่าเป็นผู้เล่นในทีมสำรอง ที่มีซีดานเป็นเฮดโค้ช

โดยในมุมของโอเดการ์ด เขาคิดว่า การซ้อมกับทีมชุดใหญ่ย่อมได้ประโยชน์มากกว่า ซึ่งในสัญญาก็ระบุไว้ชัดเจนว่าโอเดการ์ด จะได้ซ้อมกับทีมชุดใหญ่ และในทางกฎหมาย ซีดานก็ทำอะไรไม่ได้ เขาต้องยอมให้โอเดการ์ดไปซ้อมกับทีมชุดใหญ่ แล้ววันแข่งก็คอยให้กลับมาเตะรวมกับทีมสำรอง

แต่ไม่มีนักเตะคนไหน ทำผลงานได้ดี หากไม่มีการฝึกซ้อมร่วมกันกับทีม ซึ่งโอเดการ์ดลงเล่นให้ทีมสำรองไป 4 เกม และแพ้รวดทั้ง 4 เกม

นั่นทำให้สถานการณ์ของโอเดการ์ย่ำแย่เข้าไปใหญ่ เขากลายเป็นผู้เล่นสำรองของตัวสำรองอีกที ความเจ็บปวด ความโกรธกร้าว ความสับสนกัดกินตัวเขาอย่างหนัก จนต้องยอมแพ้ในที่สุด

การเป็นผู้เล่นมาดริด เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าเด็กอย่างเขาจะทำได้ในเวลาอันสั้น เพราะไม่ใช่แค่เรื่องฝีเท้าเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องการเมือง ความเป็นสตาร์ดังของผู้เล่น รวมถึงการถูกจับตามองจากคนทั่วโลก ดังนั้นความกดดันต่าง ๆ จึงสูงเกินกว่าที่เด็กอย่างเขาจะรับมือได้ไหว

โอเดการ์ดจึงถูกปล่อยยืมตัวไปขัดฝีเท้าใหม่กับทั้ง ‘ฮีเรนวีน’ , ‘วิเทสส์ อาร์เนม’ ในลีกดัตช์  และ เรอัล โซเซียดัด ในลีกสเปน

ซึ่งแม้จะทำผลงานได้ดีกับโซเซียดัด ลงเล่น 31 นัด ยิง 4 ประตู แอสซิสต์อีก 6 ลูก และมีเปอร์เซ็นต์จ่ายเข้าเป้าสูงถึง 84.7% ทำให้ฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นไปมาก เขากลายเป็นมิดฟิลด์ที่น่าจับตามองอีกครั้ง ด้วยรูปแบบการส่งบอลที่แม่นยำ และการอ่านเกมได้อย่างเฉียบขาด

แต่กระนั้น ทันทีที่กลับมายังเรอัล มาดริด ซึ่งมีซีดาน เข้ามารับทำหน้าที่คุมเกมในทีมชุดใหญ่ และเลือกใช้งาน ‘ลูก้า โมดริช’ ‘อีสโก้’  หรือแม้แต่ผู้เล่นสำรองอย่าง ‘บัลเบร์เด้’ มากกว่าเลือกใช้โอเดการ์ด

นับว่าไม่ผิดในมุมของซีดาน เขามีสิทธิ์เลือกใช้ผู้เล่น ตามรูปแบบเกมที่ตัวเองถนัด แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร โอเดการ์ดไม่เคยออกมาตอบโต้ หรือแสดงท่าทีไม่พอใจ ตอนนี้ เขาได้กลายเป็นเด็กหนุ่มวัย 22 ปี ที่มีจิตใจเข้มแข็ง และรอคอยโอกาสอย่างใจเย็น แม้จะไม่ถูกซีดาน เรียกใช้งานในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ก็ตาม แต่เขาก็อดทนจนถึงวินาทีสุดท้าย

 

ชีวิตใหม่ที่อาร์เซนอล

การผจญภัยกับอาร์เซนอล เริ่มขึ้นหลังจากที่โอเดการ์ดไม่สามารถเอาชนะใจซีดาน ในการยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมเรอัล มาดริด ได้

ด้วยวัย 23 ปี เขาตัดสินใจอำลาถิ่นราชันชุดขาว แล้วย้ายซบอาร์เซนอล ทีมใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ด้วยสัญญายืมตัว เมื่อเดือนมกราคม 2021 ก่อนจะโชว์ฟอร์มประทับใจในตำแหน่งห้องเครื่องของทีม จนไอ้ปืนใหญ่ ตัดสินใจซื้อขาดในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ (ราว 1.33 พันล้านบาท)

“ผมรู้สึกเหมือนกับว่า อาร์เซนอลคือบ้านของผม” โอเดการ์ดเปิดใจในช่วงแรกของการย้ายมาอยู่ในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

เขาทำงานอย่างหนัก และจริงจังในทุกเกมการแข่งขัน เขาเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก ที่กลายเป็นจิ๊กซอว์ที่หายไปของอาร์เซนอล สามารถเล่นได้ยอดเยี่ยม และทดแทนรุ่นพี่อย่าง ‘เมซุต โอซิล’ ได้อย่างไร้ข้อกังขา

แม้อาร์เซนอลจะอยู่ในช่วงของการสร้างทีมใหม่ โดยมี ‘มิเกล อาร์เตต้า’ เฮดโค้ชวัย 40 เป็นผู้จัดการทีม และกลายเป็นทีมที่มีอายุเฉลี่ยของผู้เล่นน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก คือเพียง 24 ปีเท่านั้น

ถึงจะเต็มไปด้วยผู้เล่นอายุน้อย ไม่ว่าจะเป็นปีกตัวจี๊ดอย่าง บูกาโย ซากา , กาเบรียล มาร์ติเนลลี , เอมิล สมิธ-โร , หรือผู้รักษาประตูจอมหนึบอย่าง เอรอน แรมเดล ซึ่งทำให้ระบบการเล่นของอาร์เซนอล มีความรวดเร็ว และเต็มไปด้วยเกมบุกอันเร้าใจ

กระนั้น ด้วยความที่ทีมเต็มไปด้วยนักเตะอายุน้อย ความสม่ำเสมอในการแข่งขันก็ยังทำได้ไม่คอยดีนัก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ เหล่าผู้เล่นอายุน้อยมักจะกดดันตัวเอง และทำผลงานออกมาได้ต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเองจนน่าตกใจ

แต่ไม่ใช่กับมาร์ติน โอเดการ์ด แม้จะเป็นผู้เล่นอายุน้อยไม่ต่างจากผู้เล่นในทีมคนอื่น ๆ แต่เขากลับมีความนิ่งจนน่าตกใน รวมถึงยังมีความเป็นผู้นำอยู่ในตัว อาจเป็นเพราะการมีชีวิตโลดโผนตั้งแต่ยังเด็ก ได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้นมาได้ ทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ความกดดันต่าง ๆ ได้ดี ซึ่งช่วยให้โอเดการ์ โดดเด่นขึ้นกว่าเดิมไปอีกหลายเท่าตัว

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้อาร์เซนอล ตัดสินใจประกาศแต่งตั้งให้โอเดการ์ดเป็นกัปตันทีมคนใหม่ ลุยศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2022-23 ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำหรับเพลย์เมกเกอร์หนุ่มทีมชาตินอร์เวย์อย่างยิ่ง

เนื่องจากผู้นำแห่งทีมอาร์เซนอลมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย อีกทั้ง นับตั้งแต่หมดยุคของ ‘เธียร์รี่ อองรี’ เป็นต้นมา ผู้เล่นที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีม มักทำผลงานได้ไม่ค่อยดี และแทบทุกคนมักต้องประสบปัญหาจนต้องย้ายทีมในฤดูกาลต่อ ๆ มาก็มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ

โอเดการ์ด จึงถูกแฟนบอลเดอะกันเนอร์บางกลุ่ม ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงลบว่าเขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งกัปตันทีมอาร์เซนอล และยังคงสงสัยในความสามารถของกัปตันหนุ่มผู้นี้เสมอมา

แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่อาร์เซนอล ประกาศแต่งตั้งให้โอเดการ์เป็นกัปตันทีม ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับกองกลางรายนี้มากน้อยเพียงใด

 

เริ่มต้นใหม่อย่างช้า ๆ แต่มั่นคง

โอเดการ์ด ตอบแทนความไว้ใจที่อาร์เซนอลมีให้ ด้วยการพาไอ้ปืนใหญ่ ระเบิดฟอร์มเทพ ผงาดขึ้นเป็นจ่าฝูงในศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2022-23 ทันที

โดยเฉพาะในเกมที่พบกับทีมไบรท์ตันแอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน (ไบรท์ตัน) เป็นเกมที่โอเดการ์ดได้รับคำชมมากเป็นพิเศษ เขาทำได้หนึ่งประตูในถิ่นแดนใต้ และยังจัดอีกหนึ่งแอสซิสต์สุดสวยให้กับ ‘การเบรียล มาร์ตินเนลลี่’ สังหารลูกที่ 4 ของเกมเข้าไปอย่างงดงาม

หลังสิ้นนกหวีดของเกมนั้น อาร์เซนอลบุกคว้าชัยเหนือ ไบรท์ตัน 4-2 เป็นของขวัญมอบให้แก่แฟนเดอะกันเนอร์สในวันสิ้นปีได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ เป็นเกมที่สองติดต่อกัน และช่วยให้ทีมทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ตามอยู่ในตำแหน่งรองจ่าฝูงถึง 7 แต้ม

แม้ในเกมต่อมา อาร์เซนอลจะสะดุดเล็กน้อย ด้วยการเสมอ สาลิกาดง ‘นิวคาสเซิลยูไนเต็ด’ ไป 0-0  จนทำให้แมนซิตี้ จี้ตามหลังมาเหลือ 5 คะแนน

แต่เกมการแข่งขันก็ยังไม่จบลงอย่างง่าย ๆ พวกเขายังต่อสู้เพื่อตำแหน่งแชมป์ของพรีเมียร์ลีกต่อไปอีกยาวไกลนับจากนี้

แม้จะเคยล้มเหลวจากการเลือกทีมผิด หรือหลงตัวเองว่าเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก ด้วยวัย 15 ปีก็ตาม แต่โอเดการ์ดได้ทิ้งเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นแค่เพียงอดีต ปัจจุบันนี้ เขากลายเป็นที่รักของแฟนบอลอาร์เซนอลอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นสู้ใหม่อย่างถ่อมตน แล้วทิ้งอดีตเหล่านั้นไว้ข้างหลัง ด้วยการเริ่มต้นก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ จากสองขาที่มั่นคง และเต็มเปี่ยมด้วยพลังมหาศาล มันช่วยให้เขาได้เห็นรายละเอียดของชีวิตได้ชัดเจนขึ้น ได้รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมสำหรับตัวเขา เขายังพบว่า มีแต่การทำงานที่หนักเท่านั้น ที่จะนำพาความสำเร็จมาสู่ตัวเขาได้  รวมถึงระเบียบวินัยในการฝึกซ้อมก็สำคัญต่ออาชีพนักฟุตบอลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้กระทั้งมิเกล อาร์เตต้า เฮดโค้ชของทีม ก็ยังออกมาชื่นชมให้ความเป็นมืออาชีพของโอเดการ์ดอยู่บ่อย ๆ เช่นในเกมที่อาร์เซนอลบุกชนะ วูล์ฟ 2-0 ซึ่งโอเดการ์ดซัดคนเดียวสองประตู อาร์เตต้า ก็ได้ออกมาชื่นชมโอเดการ์ดว่า

“นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการจากมิดฟิลด์ตัวรุกของคุณ เพื่อช่วยให้ทีมชนะเกม ไม่เพียงแค่จ่ายบอลให้เพื่อนทำประตู แต่ยังถึงยิงประตูเองได้ด้วย เขาเปลี่ยนทัศนคติบางอย่าง เขาฝึกซ้อมเยอะมาก และเขาต้องการทำให้ดีที่สุด ซึ่งเราไม่มีทางรู้ถึงขีดจำกัดของเขาได้เลย”

ปัจจุบัน โอเดการ์ด เป็นคีย์แมนคนสำคัญ ที่ช่วยให้อาร์เซนอลกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ได้อย่างเต็มตัว ซึ่งพวกเขาไม่เคยได้แชมป์นี้อีกเลย หลังจากคว้าแชมป์ไร้พ่ายอย่างยิ่งใหญ่ในฤดูกลาล 2003-04

ส่วนโอเดการ์ด จะพาอาร์เซนอลไปได้ไกลแค่ไหนในการสู้ศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษฤดูกาลนี้ ก็คงต้องติดตามกันต่อไป 

 

แหล่งอ้างอิง

https://lifebogger.com/martin-odegaard-childhood-biography-story-facts/
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/martin-odegaard-arsenal-real-madrid-26374730
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11592971/There-reason-Real-Madrid-giddy-Martin-Odegaard-Norwegian-signed-16.html

Author

ณัฐพงศ์ อินต๊ะริด

Main Stand's author

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ