Feature

ยุคทองกระทิงดุ : เบื้องหลังการคว้าแชมป์โลกประวัติศาสตร์ของสเปนปี 2010 | Main Stand

สเปน ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 ถือเป็นหนึ่งในทีมแชมป์โลกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่ศึกลูกหนังอันดับ 1 ของโลกเคยมีมา

 

แม้สถิติในฟุตบอลโลกครั้งนั้นจะไม่ถึงกับเพอร์เฟ็กต์ แต่รายชื่อผู้เล่นและฟอร์มในสนามต้องเรียกว่า "สมกับที่เก็งกันไว้ว่าเป็นตัวเต็ง" จนกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ให้โลกลูกหนังเล่นตามแบบพวกเขา

ติดตามเบื้องหลังการคว้าแชมป์โลกประวัติศาสตร์ของทัพกระทิงดุได้กับ Main Stand ที่นี่

 

นักเตะดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

ก่อนอื่นเลยเราจะไม่พูดถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ก่อร่างสร้างทีมชาติสเปนยุคทองคงจะไม่ได้

สาเหตุเพราะสเปนคือชาติที่ผลิตนักเตะฝีเท้าดีขึ้นมาประดับวงการอย่างไม่ขาดสาย ชนิดที่ว่าไล่เรียงชื่อขึ้นมาไม่หมด ... อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่, หลุยส์ ซัวเรส, เอมิลิโอ บูตราเกนโญ่, เป๊ป กวาร์ดิโอลา, หลุยส์ เอ็นริเก้, เฟร์นานโด เอียร์โร่, ราอูล กอนซาเลซ คือส่วนหนึ่งเท่านั้นตั้งแต่ยุค 1950s ถึง 1990s

กาลเวลาข้ามมาถึงปลายยุค 2000s ยิ่งกลายเป็นว่าทัพกระทิงดุมีทรัพยากรชั้นยอดให้เลือกใช้มากกว่าเดิม เพราะต้องไม่ลืมว่านี่คือยุคทอง เมื่อสโมสรฟุตบอลจากสเปนขึ้นครองความยิ่งใหญ่ บาร์เซโลน่า ในยุค เป๊ป กวาร์ดิโอลา ใหญ่คับโลก ขณะที่ เรอัล มาดริด แม้จะไม่มีถ้วยแชมป์ในช่วงเวลาดังกล่าวมากเท่า แต่ก็ขับเคี่ยวกับบาร์ซ่าได้แบบสูสี ทำให้ "เอล กลาซิโก้" (El Clasico) เกมระหว่างสองสโมสรนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวดุเดือดกว่ายุคไหน ๆ 

อิเกร์ กาซิยาส, เซร์คิโอ รามอส, ชาบี อลอนโซ่, เคราร์ด ปิเก้, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า ที่กล่าวมาคือส่วนหนึ่งของนักเตะจาก เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ซึ่งจาก 23 นักเตะชุดฟุตบอลโลก 2010 มีนักเตะจากทั้งสองสโมสรรวมกันถึง 12 คน (บาร์เซโลน่า 7, เรอัล มาดริด 5) หรือเกินครึ่งของนักเตะทั้งหมดเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามแม้มีทรัพยากรชั้นยอดให้เลือกใช้มากมาย แต่หากผสมสูตรและจัดวางอย่างไม่ลงตัวก็คงยากที่จะให้รสชาติออกมาล้ำเลิศ ซึ่งถือเป็นโชคของสเปนที่มียอดเชฟที่ปรุงทุกอย่างจนออกมาแบบเพอร์เฟ็กต์

 

ผสมกันจนเป็นหนึ่ง

แม้จะมีนักเตะชั้นยอดมากมาย แต่สเปนก็มักจะถูกขนานนามด้วยฉายาหนึ่งเสมอ นั่นคือ "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม" เพราะแม้รอบคัดเลือกจะทำผลงานได้ดี สุดท้ายก็มาเสียท่าตกรอบแต่ไก่โห่ในรอบสุดท้ายอยู่เป็นประจำ

อย่างไรก็ตามทัพกระทิงดุเริ่มมีทรงดีขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคที่ หลุยส์ อราโกเนส เป็นเฮดโค้ช เมื่อสเปนสามารถคว้าแชมป์ยูโร 2008 ได้สำเร็จ ทว่านี่คือจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะทุกอย่างสุดยอดยิ่งกว่าเดิมเมื่อ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เข้ามาคุมทีมต่อ

ในช่วงเวลานั้นทีมจากสเปนอย่าง บาร์เซโลน่า กำลังทำผลงานสะท้านโลกลูกหนังด้วยแทคติก "Tiki-Taka" ที่เน้นการครองบอลและความคล่องแคล่วในการทะลวงฝ่าเกมรับเข้าไปทำประตู เดล บอสเก้ จึงนำแทคติกดังกล่าวตลอดจนนักเตะของบาร์เซโลน่ามาเป็นตัวยืนในทีมชาติ

แม้หลายคนตั้งแง่ในเรื่องความสูงนักเตะ ว่าขุมกำลังในแดนกลางและแดนหน้าที่ส่วนใหญ่สูงหลัก 170 เซนติเมตรจะรับมือกับแรงปะทะจากคู่แข่งได้หรือไม่ แต่แทคติกที่ชัดเจนทำให้สเปนแทบไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ เพราะหัวใจสำคัญของ Tiki-Taka คือการครองบอล เมื่อบอลอยู่กับตัวก็ไม่ต้องกลัวอะไร

ส่วนเรื่องที่หลายคนกังวลว่าการจับเสือจากสองถ้ำ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ที่เจอกันทีไรใส่เดือดทุกครั้ง มาอยู่ในทีมเดียวกันจะไปรอดหรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะ เดล บอสเก้ คือคนเดียวกับที่เคยคุม เรอัล มาดริด ยุค "กาลาคติกอส" (Galacticos) ดั้งเดิม ซึ่งครองโลกลูกหนังช่วงต้นยุค 2000s ด้วยยอดนักเตะอย่าง ซีเนดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้, ราอูล กอนซาเลซ และ โรนัลโด้ R9 แค่นี้ก็เพียงพอแล้วในการบรรยายบารมีของเขาว่าคุมสตาร์ได้อยู่หมัดหายห่วงขนาดไหน

 

แชมป์จากความเชื่อมั่น

ด้วยศักยภาพของนักเตะและเฮดโค้ช ไม่แปลกที่เหล่าเกจิจากทุกสำนักจะยกให้สเปนเป็น "เต็ง 1" ในการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 และเส้นทางในรอบคัดเลือกก็ชวนให้หลายคนคิดเช่นนั้น เมื่อทัพกระทิงดุเข้ารอบสุดท้ายด้วยผลงานชนะทั้ง 10 เกมที่ลงแข่ง

ทว่าแค่เกมนัดแรกของรอบสุดท้ายเสียงวิจารณ์และคำปรามาสในทำนอง หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม ก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อสเปนพลาดท่าแพ้ สวิตเซอร์แลนด์ 0-1 ในรูปเกมที่ทัพกระทิงดุครองบอลมากกว่า แต่ทำอย่างไรก็ส่งบอลไปนอนก้นตาข่ายไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เดล บอสเก้ ไม่ได้มองว่าเป็นเค้าลางแห่งความล้มเหลว แต่มันคือการได้เห็นปัญหาที่พวกเขาต้องแก้ไขมากกว่า 

"ไม่ใช่เรื่องลางบอกเหตุและไม่ใช่สัญญาณที่ดีที่เราแสดงให้ทีมอื่น ๆ เห็น ... แต่นี่แหละฟุตบอล เราต้องเดินหน้าในเกมถัดไปพยายามเอาชนะและเชื่อมั่นในสปิริตที่ทีม ๆ นี้มี นั่นแหละคือการทำนายอนาคตของเรา ในโลกฟุตบอลคุณมีเรื่องให้ต้องทำและแก้ไขตลอด และคุณต้องแก้ไขมันให้ทันเวลาด้วย"

"เราจะไม่โทษว่าเราแค่โชคร้ายที่แพ้ในเกมนี้ เราจะไตร่ตรองมันให้มากขึ้น และความจริงหลังจากนี้คือเรายังคงมีโอกาสที่จะแก้ไขให้มันถูกต้อง"

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือฟอร์มอันสุดยอดของทัพกระทิงดุ พวกเขาไม่แพ้ใครอีกเลยและเสียเพิ่มอีกแค่ 1 ประตูเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบน็อกเอาต์ที่พวกเขาไม่เสียประตูเลยตั้งแต่รอบ 16 ทีมจนถึงรอบชิงชนะเลิศ

แม้จำนวนประตูที่ทำได้อาจดูน้อยกว่าที่หลายคนคิด แต่ก็ช่างปะไร เมื่อแทคติกที่ชัดเจนและนักเตะที่ตอบโจทย์ทำให้สเปนสามารถเล่นได้อย่างที่ตั้งใจ ครองบอลเหนือกว่าทุกทีมที่ลงแข่งขัน และใช้สไตล์การเล่นนี้ปิดเกมเมื่อทีมได้ประตูขึ้นนำโดยไม่จำเป็นต้องลงไปตั้งรับในแดนเหมือนกับทีมอื่น ๆ

บทสรุปของฟุตบอลโลก 2010 คือประตูจาก อันเดรส อิเนียสต้า ในช่วงต่อเวลาที่ทำให้ สเปน เอาชนะ เนเธอร์แลนด์ 1-0 คว้าแชมป์โลกสมัยแรกไปครองได้สำเร็จ ทว่านี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด เมื่อสเปนสามารถคว้าแชมป์ ยูโร 2012 ได้อีกรายการ เช่นเดียวกับบาร์เซโลน่า ที่ยังครองความยิ่งใหญ่ลากยาวต่อถึงช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

ถ้วยแชมป์คือความสำเร็จที่จับต้องได้ก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือมรดกที่ถ่ายทอดไว้ ซึ่งสไตล์การเล่น Tiki-Taka ที่บาร์เซโลน่ากับสเปนใช้กลายเป็นแม่แบบให้หลายทีมทั่วโลกยึดถือไปเล่นตาม

นี่แหละ ยุคทองของทัพกระทิงดุ กับแชมป์โลกที่แฟนลูกหนังยังคงจดจำได้ไม่ลืมจนถึงทุกวันนี้

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

สเปน ยุคทอง : การปฏิวัติเพื่อแชมป์ฟุตบอลโลกของคนตัวเล็กและ "Tiki-Taka"

 

แหล่งอ้างอิง

https://bleacherreport.com/articles/416844-2010-fifa-world-cup-spains-tactical-success
https://www.fifa.com/tournaments/mens/worldcup/2010south-africa/news/spain-s-2010-conquerors-in-numbers
https://www.goal.com/en/news/world-cup-2010-road-to-glory-how-spain-became-the-world/bltc9013e7fde8bf940

Author

เจษฎา บุญประสม

Content Creator ผู้ชื่นชอบการกิน, ท่องเที่ยว และดูกีฬาแทบทุกประเภท โดยเฉพาะฟุตบอล, อเมริกันเกมส์, มอเตอร์สปอร์ต, อีสปอร์ต

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ