Feature

ระดับ Legacy ไม่หนีกลับก่อน : เมื่อ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ถึงขาลงแต่ทุกคนยังคงซูฮก | Main Stand

ในขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กำลังประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในวันที่เขาต้องปรับตัวจากการเป็นเบอร์ 1 ของทีมสู่การเป็นนักเตะที่ต้องอยู่บนม้านั่งสำรองเป็นส่วนใหญ่ 

 


เรื่องราวของนักเตะคนหนึ่งที่อายุ 41 ปีอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็ถูกนำมากล่าวถึงในแง่การเป็นนักเตะที่อายุมากกว่าโรนัลโด้แต่สามารถปรับตัวกับช่วงเวลาขาลงได้อย่างดี จนแม้กระทั่งทุกวันนี้เขาก็ยังถูกยกย่องเหมือนตอนที่เขายังเป็นนักเตะหนุ่มไม่เปลี่ยนแปลง

และนี่คือเรื่องราวของซลาตัน ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เกี่ยวกับการเดินทางมาถึงขาลงอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุดในโลกฟุตบอลโดยที่ไม่มีใครกล้าตัดสินเขาในแง่ลบ 

ซลาตันสร้างมรดกอาชีพค้าแข้งของเขาได้อย่างไร ? ติดตามได้ที่ MainStand 

 

จอมโว ที่โม้แต่ทำได้ 

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คือชายที่เติบโตมาด้วยทัศนคติของคนที่อยากจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง เขาใช้ชีวิตในวัยเด็กที่ประเทศโครเอเชียในช่วงสงครามแบ่งแยกประเทศ และเขามักจะเล่าเรื่องที่ครอบครัวของเขาไม่มีอาหารกิน รวมถึงการต้องเผชิญกับความยากลำบากในวัยเด็ก ก่อนที่ครอบครัวของเขาจะลี้ภัยมาอยู่ที่ประเทศสวีเดน อันเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลของเขา 

คาแร็กเตอร์ของคน ๆ หนึ่งเกิดขึ้นได้จากสภาพแวดล้อมรอบตัว และสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขาก็เปลี่ยนให้ซลาตันเป็นคนประเภทที่หากไม่ได้เป็นที่ 1 เขาก็จะไม่หยุดเดินหน้า ดังที่เราได้สัมผัสในช่วงเวลาการค้าแข้งของเขา 

สำหรับซลาตันเรียกได้ว่าเป็นนักเตะคนแรกของโลกเลยก็ว่าได้ที่มีเส้นทางและเส้นกราฟอาชีพทีแตกต่างจากนักเตะทั่วไป กล่าวคือขณะที่นักเตะคนอื่น ๆ เริ่มโรยราลงหลังอายุ 30 ปี ซลาตันกลับเป็นนักเตะคนแรกที่เล่นในระดับสูงแต่ยังสามารถยิงประตูในช่วงหลังอายุ 30 ปีได้มากกว่าช่วงอาชีพก่อนหน้านี้ ... แบบที่เขาพยายามอวดอ้างสรรพคุณตัวเองมาตลอดว่า "ผมไม่สนว่าใครจะมองผมแบบไหน แต่ในความคิดของผม ผมคือ เดอะ เบสต์ ตลอดกาล" 

ความจริงที่ซ่อนอยู่ในคำโวนี้คือซลาตันเป็นนักเตะที่ยิงประตูหลังช่วงอายุ 30 ปี (ปัจจุบันอายุ 41) ไปถึง 316 ประตูในทุกรายการที่ลงเล่นทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ ขณะในช่วงที่เขาอายุ 18-29 ปีเขายิงประตูได้ 189 ลูก ครั้งหนึ่ง คาร์โล อันเชล็อตติ หนึ่งในกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกฟุตบอล ก็เคยพูดถึงซลาตันตอนที่ดาวยิงรายนี้อายุ 34 ปีว่า

"เรื่องที่ผมพูดนี้มันอาจยากจะเชื่อ เพราะซลาตันอายุ 34 ปีแล้ว และใครก็ตามที่เคยทำงานใกล้ชิดกับนักฟุตบอลอาชีพ เมื่อมาเห็นซลาตันเล่นและได้เห็นความแข็งแกร่งของร่างกายของเขา คุณจะบอกผมว่านี่มันไม่ใช่ร่างกายของคนอายุ 34 ปีแน่นอน ... ซลาตันเป็นคนที่สามารถบอกว่าได้ว่าเขาเป็นนักเตะที่เก่งขึ้นตอนอายุ 34 ปี และความจริงมันก็เป็นตามนั้น อย่างน้อย ๆ ผมก็ไม่เคยเห็นนักเตะอายุ 34 ปีคนไหนบนโลกนี้เหมือนกับเขาอีกแล้ว"  

สิ่งที่อันเชล็อตติพูดตรงกับสิ่งที่ซลาตันพยายามอวยตัวเองมาเสมอ เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่น่าหมั่นไส้หากจะว่ากันตรง ๆ เพราะไม่มีครั้งไหนที่เขาจะยอมใครเมื่อต้องให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้เสมอก็คือคุณไม่สามารถเกลียดเขาหมด 100% ได้แน่นอน เพราะหลายสิ่งที่ซลาตันพูดก็มักจะเป็นความจริงที่คุณไม่สามารถแย้งได้ โดยเฉพาะเรื่องการรักษาคุณภาพของตัวเอง 

ซลาตันเล่นให้กับสโมสรมามากมายหลายที่ และไม่มีที่ไหนที่เขาลงเล่นแล้วมีผลงานในระดับที่เรียกว่า "คุณภาพต่ำ" ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว หากไม่พาทีมคว้าเเชมป์รายการใดรายการหนึ่งก็ต้องกลายเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในทีมนั้น ๆ เสมอ นั่นคือความจริง ต่อให้ซลาตันจะพูดถึงความเก่งของตัวเองมากขนาดไหน แต่ผลงานและถ้วยรางวัลเหล่านี้คือ Fact หรือ "ข้อเท็จจริง" ทั้งสิ้น 

"บางสิ่งเกิดขึ้นเพราะโชคชะตาลิขิตไว้ แต่อย่าลืมว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการทำงานหนัก ... ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องของคุณภาพบางทีก็ไม่อาจจะสอนกันได้ คำว่าคุณภาพกับผมเกิดมาพร้อม ๆ กันนั่นแหละ" เขาอธิบายถึงตัวเองแบบนั้น 

 

ที่สุดแล้วทุกคนล้วนต้องพบกับสัจธรรม 

ไม่ว่าจะพูดถึงตัวเองไว้ว่าเก่งขนาดไหน แต่สักวันก็ต้องถึงเวลาของช่วงเวลาที่เรียกว่า "ขาลง" หรือช่วงเวลาที่เขาไม่ได้เก่งเหมือนเดิม ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแรงเท่าตอนหนุ่ม ขาของเขาหรือแม้กระทั่งปอดของเขาก็ไม่ใหญ่พอที่วิ่งเต็ม 90 นาทีสำหรับฟุตบอลสมัยใหม่ 

ช่วงเวลาเหล่านี้เองเกิดขึ้นในช่วงฤดูกาล 2017-18 ที่ซลาตันอายุ 37 ปี และลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากย้อนกลับไปตอนนั้นเขาเคยทำผลงานได้ดีมาก ๆ และเป็นกำลังสำคัญของทีมที่ช่วยให้ปีศาจเเดงคว้าดับเบิลเเชมป์ในปี 2016-17 ซึ่งถือเป็นโทรฟี่สุดท้ายที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้ามาได้จนถึงตอนนี้ ทว่าซลาตันกลับโชคร้ายจากการได้รับบาดเจ็บที่เข่าอย่างรุนแรง เขาจึงต้องพักไปหลายเดือน และเมื่อกลับมาเจ้าตัวก็ไม่สามารถกลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีเหมือนเดิมได้อีกเเล้ว

ในฤดูกาล 2017-18 ที่เขาเล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ซลาตันยิงได้แค่ประตูเดียวจากลูกฟรีคิก หลายคนมองว่าเขาหมดสภาพแล้วด้วยวัยขนาดนี้จากการบาดเจ็บที่จุดสำคัญ และเขาไม่น่าจะสามารถลงเล่นในลีกระดับท็อปได้อีกต่อไป ยิ่งเราเห็นการย้ายทีมของซลาตันที่ไปร่วมทัพแอลเอ กาแล็กซี่ ในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา ก็ยิ่งชัดเจนว่า "จอมโว" ได้สิ้นสภาพและปลดตัวเองจากการเป็นนักเตะแถวหน้าแห่งยุคเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว 

เมื่อซลาตันไปถึงเมเจอร์ลีก เขาแสดงถึงคลาสในสนามจากการลงเล่น 58 นัดซัดไป 53 ประตู แม้จะไม่ได้จบด้วยการพาทีมเป็นแชมป์ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นร้อนแรงเกินต้าน และเขายังคงเป็นซลาตันคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือในวันที่ใครมองว่าเขาหมดแล้วเขาก็ยังคงคิดเสมอว่าตัวเองยังคงเป็น เดอะ เบสต์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและอายุเท่าไรก็ตาม 

"ผมมาที่นี่เพื่อคว้าแชมป์ไม่ได้มาเพื่อพักผ่อน นั่นคือสิ่งที่ผมเป็น ... จะให้ผมพูดตรง ๆ ไหมล่ะ ? ตลอดชีวิตผมได้แชมป์มากว่า 33 ครั้ง มากกว่าจำนวนเเชมป์เมเจอร์ลีกตั้งแต่เคยเเข่งมาด้วยซ้ำ" นี่คือสัมภาษณ์แรกของเขาเมื่อมาถึงอเมริกา 

การไปที่อเมริกาเหมาะมากสำหรับนักเตะที่ได้รับบาดเจ็บหนักอย่าง ซลาตันไปที่นั่นและค่อย ๆ ฟื้นคืนความมั่นใจและฟื้นฟูสภาพร่างกายเหมือนกับเป็นการซ้อมใหญ่ที่ทำให้ร่างกายและจิตใจกลับมาเป็นซลาตันคนเดิมก่อนจะเจ็บ เขายิงประตูได้มากมายตามที่กล่าวไป เขาสนุกกับการเล่นฟุตบอลอีกครั้ง ... แต่บังเอิญว่านี่คือซลาตัน เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่เขาคิดว่าร่างกายของเขากลับมาแข็งแรงแล้ว และร่างกายของเขามันแข็งแกร่งเกินไปสำหรับฟุตบอลเมเจอร์ลีกเช่นเดียวกับความทะเยอทะยานของเขาด้วย เมื่อรวมกับสิ่งเขาเตือนตัวเองเสมอว่าตราบใดที่เขายังมีชีวิตเขาไม่อยากจะหยุดกับอะไรที่ซ้ำซาก เขาจึงต้องการความท้าทายที่มากขึ้นกว่านี้ 

"ขอบคุณเมเจอร์ลีกจริง ๆ ที่ให้โอกาสผมได้มาที่นี่และทำให้ผมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่ปัญหาคือผมยังมีชีวิตอยู่ และผมยังอยากใช้ชีวิตตามวิถีซลาตัน ... ผมคิดว่าผมดีเกินไปสำหรับการแข่งขันที่นี่ ผมไม่ได้พยายามพูดอวดยกย่องตัวเอง แต่พวกคุณก็รู้ว่าที่ผมพูดมันคือเรื่องจริง"

"ผมมั่นใจ 100% เลยว่าผมยังสามารถเป็นนักเตะที่สร้างความแตกต่างได้ทั้งกับลีกอิตาลีหรืออีกหลาย ๆ ลีกในยุโรป และต้องย้ำอีกครั้งว่าต่อให้เป็นตอนนี้ผมก็ยังเชื่อว่าผมทำได้ดีกว่านักเตะอีกหลายคนที่อยู่ที่นั่นซะอีก ... สัญญาของผมกับ แอลเอ กาแล็กซี่ จะหมดลงในเดือนธันวาคมนี้ และเรามารอดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น" ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในวัย 39 ปี กล่าว

ซลาตันในวัย 39 ปีพบสัจธรรมของชีวิตว่าสภาพร่างกายของเขาตกลงและไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม ความจริงข้อนี้คือสัจธรรมของมนุษย์ทุกคน ทว่าสัจธรรมในแบบของซลาตันนั้นมันลึกกว่าคนทั่วไป คนอย่างเขาต้องอยู่ในการแข่งขันระดับสูงเสมอ และการจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขคือการได้ท้าทายขีดจำกัดและพิสูจน์ให้ใครต่อใครได้เห็นว่าเขายังคงเป็นคนสำคัญของวงการฟุตบอลได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

 

ถึงขาลงอย่างมีระดับ 

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กลับมาเล่นใน กัลโช่ เซเรีย อา กับ เอซี มิลาน เป็นหนที่ 2 ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2019-20 ย้ำอีกครั้งว่าเขาอายุ 39 ย่าง 40 ปีแล้ว แต่เมื่อเขากลับมาที่มิลาน สถิติการยิงประตูซีซั่นแรกของเขาคือ 10 ประตูจาก 18 เกมลีก ... เขาใช้เวลาครึ่งซีซั่นขึ้นมาเป็นรองดาวซัลโวของทีม โดยยิงน้อยกว่าอันดับ 1 อย่าง อันเต เรบิซ เพียง 1 ประตูเท่านั้น 

สิ่งที่ซลาตันทำได้ในช่วง 2 ซีซั่นแรกกับเอซี มิลาน คือช่วงเวลาที่หลายคนทึ่งมาก ไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาเป็นคนสำคัญของทีมได้แบบนี้ เขายิงประตูได้เกือบทุกสัปดาห์ และนั่นคือการประกาศตัวว่า "เขายังไม่หมด" ให้โลกรู้อย่างพร้อมเพียงกัน 

"ตอนไปเล่นที่อเมริกา ผมคิดว่าวันอำลาของเขาใกล้มาถึงเเล้ว" คาร์โล อันเชล็อตติ พูดถึงซลาตันในวัย 40 ปีที่ยิงระเบิดกับเอซี มิลาน

ตอนที่เขากลับมาเล่นในอิตาลีผมยังคิดเหมือนเดิม คิดว่าเขาคงแค่มาเป็นส่วนหนึ่งของทีมเท่านั้น แต่ที่ไหนได้เขามาเพื่อเป็นส่วนสำคัญของทีมต่างหาก เขายิงประตูได้แทบทุกสัปดาห์ ... ชัดเจนเลยว่าซลาตันเป็นนักเตะระดับอมตะ... ในวัยขนาดนี้เขาแสดงความเหลือเชื่อในระดับเดียวกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นักเตะพวกนี้เอาชนะความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ได้ 

เรื่องของประตูนั้นจบกันไว้เท่านี้ก่อน ... ช่วงที่อยู่กับมิลานคำรบที่ 2 นี้คือช่วงเวลาที่ซลาตันพิสูจน์ตัวเองไปมากกว่าแค่เรื่องการยิงประตูได้ แต่มันคือช่วงเวลาที่เขาแสดงให้เห็นว่าการมีเขาอยู่ในทีมนั้นสำคัญและได้ประโยชน์แค่ไหนต่อให้เขาไม่สามารถลงสนามได้เพราะอาการบาดเจ็บหรือเรื่องความฟิตก็ตาม เพราะมีหลายสิ่งเกิดขึ้นมากมายที่อยู่เบื้องหลังความสำคัญของทีมชุดนี้โดยมีซลาตันเป็นปัจจัยสำคัญ

ประการแรกเลย ซลาตันเข้ามาและกลายเป็นพี่ใหญ่ในห้องแต่งตัวของเอซี มิลาน ที่เดิมทีเป็นทีมคนหนุ่มที่ยังมีปัญหาเรื่องความนิ่งและความมั่นใจ ซลาตันอาจจะเป็นคนปากดีบนหน้าสื่อ แต่เบื้องหลังเขาพยายามเข้าหานักเตะรุ่นน้องในทีมทุกคนแบบไม่มีการถือตัว เขาเข้าหาเด็ก ๆ พร้อมคำแนะนำทั้งเรื่องการจัดการกับความกดดัน วิธีคิด รวมถึงทริกต่าง ๆ ในยามลงแข่งขันจริง

นักเตะของมิลานหลายคนพูดถึงซลาตันตรงกันว่าอิทธิพลของเขาในทีมนั้นมีสูงมาก และเขาไม่เคยทำให้เพื่อนร่วมทีม ผู้จัดการทีม ผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งแฟนบอลของทีมผิดหวัง ซลาตันใช้อิทธิพลของตัวเองอย่างชาญฉลาดและส่งผลในแง่บวกต่อทีมเสมอ 

"ผมมองอิบราฮิโมวิชเหมือนเป็นพี่ชายคนโต ตั้งแต่เขามาที่นี่เขาก็เข้ามาพูดคุยกับผม ให้คำแนะนำผมในเรื่องการพัฒนาตัวเอง และสอนว่าผมควรยืนตรงไหนในกรอบเขตโทษ" นี่คือสิ่งที่ ราฟาเอล เลเอา หนึ่งในแนวรุกที่ร้อนแรงที่สุดในโลกตอนนี้กล่าวถึงซลาตัน 

เลเอาคือตัวอย่างสำหรับเรื่องนี้ที่ดีมาก ๆ ในช่วงที่เลเอาย้ายมาอยู่กับมิลานใหม่ ๆ เขาถูกตั้งฉายาโดยสื่อว่า "ปีกจอมขี้เกียจ" เขายิงได้แค่ 6 ประตูจาก 33 เกมทั้ง ๆ ที่มีค่าตัวถึง 35 ล้านยูโร ... ทว่าหลังจากที่ซลาตันมาถึง เราอาจจะไม่สามารถบอกได้ว่าซลาตันถ่ายทอดวิชาอะไรให้กับเขาบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ก่อนฤดูกาล 2021-22 จะเริ่มต้นขึ้น ซลาตันเป็นคนที่ยืนยันกับสื่อว่าของจริงสำหรับ ราฟาเอล เลเอา จะเริ่มต้นในซีซั่นนี้ 

"เลโอเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้วหลังจากซัมเมอร์นี้เป็นต้นไป พวกคุณจะได้เห็นเอง เขารู้แล้วว่าเขาต้องทำอะไรบ้างหลังจากนี้ ... ผมและ (สเตฟาโน่) ปิโอลี่ มั่นใจแบบนั้น" อิบราฮิโมวิช กล่าวเช่นนั้นและมิลานจบซีซั่นดังกล่าวด้วยการเป็นแชมป์ลีก โดยมี ราฟาเอล เลเอา เป็น MVP ประจำทัวร์นาเมนต์ 

ไม่ใช่แค่เลเอาคนเดียว นักเตะของมิลานหลายคนมีผลงานที่ดีขึ้นหลังจากที่พวกเขามีซลาตันเข้ามาเป็นพี่ใหญ่ หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าซลาตันคือคนสำคัญ ต่อให้เขาจะบาดเจ็บจนลงสนามไม่ไหวหรือไม่ฟิตเหมือนเก่าแล้วก็ตาม นอกจากเลเอาแล้วคนที่ให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้ก็มีทั้ง เตโอ เฮอร์นันเดซ, ซานโดร โตนาลี่ และ บราฮิม ดิอาซ เป็นต้น 

ยังไม่จบแค่นั้น ซลาตันยังมีส่วนกับเรื่องราว "ยุคสมัยใหม่" ของมิลานอีกเรื่อง นั่นคือตอนที่เขาย้ายมาอยู่กับทีมในช่วงครึ่งหลังของซีซั่น 2019-20 ณ เวลานั้น สเตฟาโน่ ปิโอลี่ กุนซือทีมชุดปัจจุบันเพิ่งรับตำแหน่งในฐานะกุนซือชั่วคราวของทีม เนื่องจากบอร์ดบริหารของมิลานวาง ราล์ฟ รังนิก เข้ามาเป็นกุนซือเต็มตัวหลังจากฤดูกาลดังกล่าวจบลง

แต่เมื่อซลาตันมาถึงแผนเหล่านี้ก็เปลี่ยนไป ซลาตันมองเห็นวิธีการทำงานของปิโอลี่ผ่านประสบการณ์บนเวทีสูงสุดของเขาที่มากกว่า 20 ปี เขาพบว่าปิโอลี่เป็นกุนซือที่ใช่สำหรับมิลานชุดนี้ แม้ผลงาน ณ ตอนนั้นจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่ปลายทางจะต้องดีแน่ เพราะปิโอลี่เป็นโค้ชที่เข้าหานักเตะก่อน เป็นโค้ชที่นักเตะสามารถเปิดอกพูดคุยได้ด้วยความจริงใจ เหนือสิ่งอื่นใดคือปิโอลี่รวมทีมชุดนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว ดังนั้นการจะเอาปิโอลี่ออกและเอารังนิกเข้ามาตามแผนเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ซลาตันเห็นว่าไม่ควรเกิดขึ้น

สื่ออย่าง Football Italia เผยข้อมูลว่า ซลาตันคือหัวหอกและเป็นตัวแทนของน้อง ๆ ในทีมที่ไปพูดกับผู้บริหารอย่าง เปาโล มัลดินี่ เพื่อให้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง ว่ากันว่าซลาตันที่มาเซ็นสัญญาระยะสั้นกับทีมมิลาน ณ ตอนนั้นยื่นคำขาดว่าหากทีมไม่ต่อสัญญาปิโอลี่ เขาก็จะไม่ต่อสัญญากับมิลานเหมือนกัน และเมื่อเรื่องดังกล่าวได้รับการพิจารณาจากบอร์ดบริหาร พวกเขาก็รู้ดีว่าทีมชุดนี้รวมตัวกันติดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นักเตะส่วนใหญ่เคารพปิโอลี่ และนักเตะดาวรุ่งในทีมก็เคารพในตัวซลาตัน ... ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเสี่ยงกับกุนซืออย่าง ราล์ฟ รังนิก อีกต่อไป 

มิลานจบอันดับ 6 ในเซเรีย อา ฤดูกาล 2019-20 แม้จะไม่ดีพอไปแชมเปี้ยนส์ลีก แต่อิทธิพลของซลาตันก็ทำให้บอร์ดบริหารเชื่อใจปิโอลี่และต่อสัญญากับเขาเพื่อให้สร้างทีมในระยะยาว … ซึ่งเราคงไม่ต้องพูดกันมากนัก เพราะหลังจากนั้นอีก 1 ฤดูกาลที่ปิโอลี่ได้คุมทีมเต็ม ๆ ซีซั่น เขาก็พาทีมจบด้วยการเป็นรองแชมป์เซเรีย อา ในซีซั่น 2020-21 และที่สุดแล้วพวกเขาก็กลายคล้าสคูเด็ตโต้ได้สำเร็จในซีซั่น 2021-22 

ในฤดูกาล 2021-22 นั้นซลาตันลดบทบาทตัวเองลงจากที่เป็นผู้เล่น MVP ของทีม เนื่องจากปัญหาการบาดเจ็บซ้ำที่เข่าตามอายุและสังขาร เขาลงเล่นเกมลีกไป 23 เกม ยิงไป 8 ประตู เขาส่งต่อหน้าที่การถล่มประตูให้เป็นหน้าที่ของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และ ราฟาเอล เลเอา เป็นที่เรียบร้อย 

ทว่างานเบื้องหลังของซลาตันยังไม่จบแค่นั้น แม้เขาจะหายไปในช่วงครึ่งหลังของซีซั่น แต่ซลาตันก็แบกไม้ค้ำเดินเข้าห้องแต่งตัวของทีมแทบทุกเกมเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับน้อง ๆ ในทีม ซึ่งใครก็ตามที่ได้ติดตามผลงานของมิลานในซีซั่นนั้น คุณจะพบได้ว่าหากมองตามรายชื่อนักเตะพวกเขาแทบไม่มีนักเตะเกรดระดับโลกเลยสักคน แต่พอรวมกันเป็นทีมแล้วมิลานกลับเป็นทีมที่มีคาแร็กเตอร์เเข็งแกร่งมาก พวกเขาวิ่งไล่บอลกันอย่างบ้าคลั่งและไม่เคยยอมแพ้ มีหลายเกมที่พวกเขาอาการร่อแร่ เกือบจะเแพ้หรือเกือบจะเสมอ แต่พวกเขาก็ยิงประตูในช่วงท้ายเกมเปลี่ยนผลการเเข่งขันได้เกือบทุกนัด

นัดที่มีการเปิดเผยถึงอิทธิพลของซลาตันคือเกมที่ มิลาน บุกเยือน เวโรน่า ในช่วง 3 เกมสุดท้ายของซีซั่น โดยในเกมนั้นมิลานเอาชนะไปได้ 3-1 และ ปิโอลี่ออกมาเปิดเผยภายหลังว่าซลาตันเป็นคนปลุกใจนักเตะทุกคนในทีมที่กำลังกดดันกับสถานการณ์การเบียดลุ้นเเชมป์กับ อินเตอร์ แบบนัดต่อนัดว่า 

"ซลาตัน อิบราฮิโมวิช พูดบางอย่างที่ยอดเยี่ยมกับทีมในวันนี้ เขาบอกว่า 'ทุกคนบนโลกนี้จะจดจำแต่นักเตะมิลานที่คว้าสคูเด็ตโต้และแชมเปี้ยนส์ลีก ... ถ้าพวกเราอยากจะถูกจดจำแบบนั้น เราเหลืออีก 3 เกมให้ทำแบบนั้นไปด้วยกัน' "  ซึ่งเหตุผลเหล่านี้เองที่ทำให้มิลานหักปากกาเซียนคว้าเเชมป์เซเรีย อา ได้สำเร็จ   

ซลาตันไม่ใช่นักเตะระดับโลกอีกต่อไปหลังจากที่เขาไปอเมริกานั่นคือความจริง ต่อให้เขายิงประตูได้มากแค่ไหนแต่โลกฟุตบอลก็มีคลื่นลูกใหม่ที่ไล่หลังเขามาในทุก ๆ วัน... แต่ถึงอย่างนั้นแม้จะเป็นช่วงที่ซลาตันเดินทางถึงขาลงเขาก็ยังทำอะไรได้อีกมากมาย ต่อให้เขาไม่ได้ลงสนามก็ยังเป็นคนสำคัญของทีมได้อย่างน่าเหลือเชื่อ 

มีคลิปลับจากห้องแต่งตัวถูกค้นพบ เป็นคลิปช่วงก่อนที่มิลานจะออกไปรับถ้วยแชมป์ ในคลิปซลาตันเรียกนักเตะทุกคนในทีมมาเพื่อบอกข้อความบางอย่าง เนื้อหาในข้อความมีอยู่ว่า 

"พวกนายใจเย็น ฉันไม่ได้จะมาบอกลา ตั้งแต่วันแรกที่ฉันย้ายมาที่นี่ที่ต่อมามีคนอื่น ๆ ตามมาด้วย ตอนนั้นมีไม่กี่คนที่เชื่อมั่นในพวกเรา"

"แต่ตอนนี้เราเข้าใจว่าเราจำเป็นต้องเสียสละ ต้องทนทุกข์ ต้องเชื่อมั่น และต้องทำงาน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นเราก็กลายเป็นกลุ่มกลุ่มหนึ่ง เมื่อเรากลายเป็นกลุ่มเดียวกันเราก็สามารถบรรลุในสิ่งที่เราทำสำเร็จกันได้ ... ตอนนี้เราเป็นแชมเปี้ยนของอิตาลีสำเร็จแล้ว" ซลาตัน กล่าวเริ่ม

"อย่างแรกเลย ฉันอยากจะขอบคุณนักเตะทุกคน ตอนนี้ขอเป็นตัวแทนพูดเพื่อทุกคนในทีมหน่อย เราอยากจะขอบคุณ เปาโล (มัลดินี่), ริคกี้ (มาสซาร่า) และอิวาน (กาซิดิส)"

"มันไม่ง่ายเลย แต่พวกเราผนึกกำลังกันเป็นกลุ่มในฤดูกาลนี้ ตอนต้นฤดูกาลไม่มีใครเชื่อมั่นในพวกเรา แต่ด้วยหลักการนี้มันทำให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้น ฉันภูมิใจในตัวพวกนายทุกคน ตอนนี้ช่วยอะไรฉันหน่อย ช่วยฉลองกันให้สมกับที่เป็นแชมป์หน่อย เราไม่ใช่แค่ใหญ่คับเมืองมิลานอีกเเล้ว ตอนนี้เราคือทีมที่ดีที่สุดในอิตาลี" หลังพูดจบซลาตันก็คว่ำโต๊ะและฉลองแชมป์สคูเด็ตโต้กับเพื่อนร่วมทีมอย่างบ้าคลั่ง 

แม้ปากของเขาจะสร้างความหมั่นไส้ แต่จริง ๆ แล้วหากลองพิจารณาดูเราจะพบว่าซลาตันเข้าใจสัจธรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาตลอดอาชีพของเขา เขาเรียนรู้และปรับตัวมาตลอดชีวิตค้าแข้ง ช่วงที่ยังเป็นดาวรุ่งจนถึงช่วงก่อนอายุ 30 ปี เขายังมีแรงและพละกำลังในการวิ่งไล่ เลี้ยงบอล และใช้เทคนิคสร้างสรรค์การทำประตูด้วยตัวเอง เขาก็เล่นแบบนั้น

หลังอายุ 30 ปี เขาก็เลี้ยงบอลน้อยลง ใช้พละกำลังที่มีอย่างประหยัดมากขึ้น ปรับตัวให้เป็นคนรอจบในกรอบเขตโทษให้เหมาะกับการมีแรงน้อยแต่มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดี 

และตอนนี้เขาอายุ 41 ปีแล้ว เขาผ่าตัดเข่ามาเเล้ว 3 ครั้ง เขาเข้าใจถึงโอกาสการลงเล่นที่น้อยลง แต่เขาก็จะใช้ตัวเองให้เป็นประโยชน์ที่สุด แม้เวลาในสนามจะลดลงแต่อิทธิพลนอกสนามกลับเพิ่มขึ้น ประสบการณ์ที่เรียนรู้มาตลอดชีวิตได้ถูกถ่ายทอด ส่งต่อ และสร้างประโยชน์ให้กับนักเตะรุ่นน้อง แม้กระทั่งการยืนเฉย ๆ ในห้องแต่งตัวสำหรับซลาตันก็ยังทำให้เขามีอิทธิพลกับทีมได้โดยที่ไม่ต้องลงเล่นแม้แต่วินาทีเดียว

นี่คือวิถีมืออาชีพที่รู้จักปรับตัว อยู่กับความจริง และทำให้ตัวเองมีประโยชน์กับทีมอยู่เสมอ ... และนี่คือเรื่องราวของมนุษย์ฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในวงการ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คนนี้นี่เอง  

 

แหล่งอ้างอิง

https://en.wikipedia.org/wiki/Zlatan_Ibrahimovi%C4%87
https://www.givemesport.com/1141825-the-truth-behind-zlatan-ibrahimoviccarlo-ancelotti-box-incident-of-2013
https://www.football365.com/news/carlo-ancelotti-zlatan-ibrahimovic-defying-age-and-getting-better
https://www.goal.com/en/news/ibrahimovic-immortal-ronaldo-ancelotti-ac-milan-juventus/1pxp9ik21z7l81junswpzuh3ul
https://football-italia.net/rangnick-its-not-about-me-not-liking-ibra-but/
https://talksport.com/football/730344/zlatan-ibrahimovic-savage-dig-ac-milan-ralf-rangnick/
https://www.goal.com/th/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B0-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B2/blt658c42632706e79d

 

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น