WWE คือสมาคมมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลก นี่คือค่ายที่ยืนหยัดอยู่ในระดับท็อปยาวนานร่วม 40 ปี เพราะพวกเขาไม่เคยแพ้ให้คู่แข่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็น NWA, AWA, WCW, UWF, ECW, TNA หรือสมาคมมวยปล้ำใดก็ตามบนโลกใบนี้ที่กล้ามาท้าทายอำนาจ หวังโค่นล้ม WWE ก็มีแต่จะโดนพวกเขาน็อกสอยปลายคางสลบเหมือดพ่ายแพ้ไปตามกัน
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในปี 2021 ที่ผ่านมา เมื่อ WWE ได้เรียนรู้ว่าพวกเขาต้องพ่ายแพ้ในสงครามธุรกิจมวยปล้ำเป็นครั้งแรกให้กับค่ายน้องใหม่มาแรงอย่าง All Elite Wrestling หรือ AEW
"สงครามคืนวันพุธ" หรือ "Wednesday Night War" นำไปสู่การล่มสลายของหนึ่งในโชว์มวยปล้ำที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล อีกทั้งได้เปลี่ยนโลกมวยปล้ำในปัจจุบันจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดไปกับ Main Stand ได้ที่นี่
มุมแดง : NXT จาก WWE ส่งเข้าประกวด
WWE คือสมาคมมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลก ต่อให้ไม่ใช่แฟนกีฬาชนิดนี้ก็คงรู้ถึงความจริงข้อนี้ แต่ความทะเยอทะยานของ WWE ไม่เคยหยุดอยู่กับที่ พวกเขาไม่ได้แค่อยากเป็นค่ายเบอร์ 1 เพราะต้องการจะเป็นสมาคมมวยปล้ำเพียงหนึ่งเดียวของคนทั้งโลก
เพราะแม้ WWE จะเป็นค่ายมวยปล้ำยอดนิยมที่มีแฟนติดตามมากที่สุด แต่ความจริงคือพวกเขามีจุดอ่อน จากการขายความ "เอนเตอร์เทน" มากกว่าจะให้ความสำคัญกับคุณภาพแมตช์การปล้ำ
สุดท้ายจึงมีแฟนมวยปล้ำกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมเปิดใจให้กับ WWE แล้วหันไปเป็นแฟนของค่ายอื่น ไม่ว่าจะเป็น New Japan Pro Wrestling ค่ายมวยปล้ำอันดับ 1 ของญี่ปุ่นที่ผลิตแมตช์มวยปล้ำน้ำดีไม่หยุดหย่อน จนกลุ่มแฟนมวยปล้ำฮาร์ดคอร์หันไปเป็นแฟนของสมาคมนี้ หรือจะเป็น Ring of Honor ค่ายมวยปล้ำอินดี้ขวัญใจแฟนเดนตายชาวอเมริกัน
WWE จึงต้องหาพื้นที่ซึ่งสามารถแรงดึงดูดนักมวยปล้ำที่มีความสามารถจากสมาคมอื่น และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้ฝีมืออย่างเต็มที่ พร้อมกับสร้างแมตช์ที่มีคุณภาพที่ WWE ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อแสดงให้เห็นว่า WWE ก็สามารถทำมวยปล้ำคุณภาพดีได้เหมือนกัน
จึงนำมาซึ่งการเกิดขึ้นของโชว์มวยปล้ำที่มีชื่อว่า "NXT" นำโดย ทริปเปิล เอช (Triple H) นักมวยปล้ำชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นผู้บริหารของ WWE ในฐานะลูกเขยของเจ้าของ WWE อย่าง วินซ์ แม็คแมน (Vince McMahon)
ทริปเปิล เอช หยิบเอารายการโทรทัศน์ที่เป็นโชว์ฝึกหัดสำหรับนักมวยปล้ำหน้าใหม่ที่ออกทีวีแต่ไม่มีใครดูอย่าง NXT มารีแบรนด์ใหม่ในแนวทางของตัวเอง นั่นคือการเอามาใช้เป็นพื้นที่มวยปล้ำทางเลือกให้กับผู้ชม
ต้องบอกก่อนว่า NXT ไม่ใช่โชว์มวยปล้ำหลักของ WWE เหมือนกับ Raw หรือ Smackdown แต่เป็นเพียงแค่ค่ายพัฒนาทักษะมวยปล้ำเพื่อสร้างความพร้อมก่อนขึ้นไปสู่ค่ายหลัก นั่นคือ Raw และ Smackdown ถึงจะเป็นค่ายรอง แต่มันกลับกลายเป็นโอกาสอันดีให้ ทริปเปิล เอช กล้าทำอะไรใหม่ ๆ กับ NXT
NXT จะไม่เน้นโชว์มวยปล้ำเอนเตอร์เทน ไม่มีความตลกขำขันแบบรายการวาไรตี้ที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีเหมือนกับโชว์ของ WWE ค่ายหลักอย่าง Raw หรือ Smackdown แต่ NXT กลายเป็นรายการมวยปล้ำที่เน้น "การปล้ำ" ถึงจะฟังดูแปลก แต่นี่คือสิ่งที่สมาคมอันดับ 1 ของโลกอย่าง WWE ไม่เคยทำมาก่อน
การสร้างแมตช์คุณภาพ กลายเป็นโจทย์สำคัญของ NXT ที่ต้องทำเพื่อดึงดูดให้แฟนฮาร์ดคอร์หันมาเสพผลงานของ WWE และพวกเขาก็ทำสำเร็จอย่างรวดเร็ว
ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี ค่ายพัฒนาทักษะของ WWE ก็สามารถจัดศึกใหญ่ หรือ Pay-Per-View ของตัวเองได้เป็นครั้งแรก ในชื่อ NXT Arrival พร้อมกับเกิดสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ นั่นคือมีผู้ชมรับชมสดทางสตรีมมิ่งของ WWE อย่าง WWE Network เกินลิมิตที่เซิร์ฟเวอร์จะรองรับไหว จนทำให้มีบางคนไม่สามารถรับชมได้
WWE รู้ทันทีว่า NXT ไม่ใช่แค่ค่ายพัฒนาทักษะอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นอาวุธสำคัญที่ดึงดูดแฟนฮาร์ดคอร์ให้เข้ามาติดตาม WWE ได้จริง ๆ เพราะพวกเขาสามารถสร้างแมตช์คุณภาพได้ไม่แพ้กับค่ายมวยปล้ำอิสระ และแน่นอนว่าเหนือกว่า WWE ค่ายหลักหลายเท่าตัว
ก่อนหน้านี้มีนักมวยปล้ำมากมายที่ปฏิเสธการมาทำงานกับ WWE เพราะกลัวจะไม่ได้ปล้ำในแบบที่ตัวเองอยากปล้ำ กลัวจะโดนใช้งานเป็นตัวตลกเรียกเสียงหัวเราะ ทั้งที่พวกเขาคือคนที่อยากจะสร้างแมตช์ดี ๆ ให้แฟนมวยปล้ำประทับใจ แต่หลังจากมี NXT นักสู้ทั่วโลกพร้อมเปิดประตูและเดินหน้าเข้ามาเซ็นสัญญากับ WWE
ไม่ว่าจะเป็น เควิน โอเวนส์ (Kevin Owens), ฟินน์ แบเลอร์ (Finn Balor), เคนตะ (Kenta), ชินสุเกะ นากามูระ (Shinsuke Nakamura), ซามัว โจ (Samoa Joe), บ็อบบี้ รู็ด (Bobby Roode), จอห์นนี่ การ์แกโน่ (Johnny Gargano), โทมาสโซ่ แชมป้า (Tomasso Ciampa), อดัม โคล (Adam Cole), อเลสเตอร์ แบล็ค (Aleister Black), อันดราเด้ (Andrade), ไคล์ โอไรลีย์ (Kyle O'Reilly), บ็อบบี้ ฟิช (Bobby Fish)
นี่เป็นรายชื่อเพียงส่วนน้อยเท่านั้นของนักมวยปล้ำมากฝีมือที่สร้างชื่อนอก WWE บางคนอยู่ในวงการอินดี้อเมริกัน, บางคนมาจากเม็กซิโก, บางคนก็โด่งดังในญี่ปุ่น แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพวกเขาพร้อมตบเท้าเข้ามาทำงานกับ WWE ภายใต้แบรนด์รองอย่าง NXT เพราะพวกเขารู้ว่าที่นี่จะให้อิสระกับพวกเขาอย่างเต็มที่ในการสร้างแมตช์ดี ๆ ให้กับผู้ชม
NXT ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในแง่ของการดึงดูดแฟนหน้าใหม่เข้ามา ชนิดที่เรียกว่าเป็นแฟนอีกกลุ่มนอกจาก WWE ค่ายหลักเลยทีเดียว … NXT สร้างฐานแฟนคลับไปทั่วโลกด้วยแมตช์มวยปล้ำที่น่าเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นค่าย NXT แห่งนี้ที่สร้างแมตช์ประวัติศาสตร์ที่ได้รับคะแนนเกิน 5 ดาว จาก เดฟ เมลเซอร์ (Dave Meltzer) นักข่าวมวยปล้ำชื่อดังได้เป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ NXT ยังเติบโตในตัวของมันเองได้อีกด้วย พวกเขาสามารถทำรายการแยกขึ้นมาไปจนถึงการแตกขยาย NXT ไปตั้งค่ายแยกที่ประเทศอังกฤษ ในนาม NXT UK และมีแผนจะก่อตั้ง NXT ในอีกหลายประเทศ ทั้ง ญี่ปุ่น, อินเดีย, ออสเตรเลีย เป็นต้น
"ความฝันของผมคือการจัดโชว์มวยปล้ำของ WWE ทุกที่บนโลก ผมจะทำให้มันเกิดขึ้นแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น" ทริปเปิล เอช หัวเรือใหญ่ของ NXT กล่าวถึงความทะเยอทะยานของเขาในช่วงที่ NXT พุ่งขึ้นสูงสุดขีด
คงไม่แปลกหาก ทริปเปิล เอช จะฝันไกลแบบนั้น เพราะ ณ วินาทีนั้น NXT คือโชว์มวยปล้ำที่มีคุณภาพมวยปล้ำคุณภาพต้น ๆ ของโลก ทัดเทียมกับ New Japan Pro Wrestling ส่วนสมาคมอิสระในสหรัฐฯ ทำได้เพียงเหงาหงอยที่จุดขายเรื่องแมตช์การปล้ำในอดีตยังสู้ค่ายลูกของ WWE อย่าง NXT ไม่ได้
แต่ความฝันของ ทริปเปิล เอช ก็ยังมีศัตรูมาตลอด ศัตรูที่เขารู้ดีว่าวันหนึ่งจะสามารถมาทำร้ายตัวเขาอย่างเจ็บแสบได้ และเขาก็คิดไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว
มุมน้ำเงิน : จาก Bullet Club สู่ All Elite Wrestling
ท่ามกลางความยอดเยี่ยมของ NXT พวกเขามีคู่แข่งสำคัญที่สร้างแมตช์คุณภาพเยี่ยมได้ไม่แพ้กัน นั่นคือ New Japan Pro Wrestling จากซีกโลกตะวันออก ซึ่งควรจะไม่ใช่ปัญหาของ WWE เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ค่ายมวยปล้ำจากญี่ปุ่นมีแมตช์มวยปล้ำน้ำดีมากกว่า WWE มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุค 80s และเป็นเช่นนั้นมาตลอด แต่พอมาถึงยุค 2010s เรื่องไม่ได้เป็นแบบเดิม
เพราะ NJPW มีกลุ่มนักมวยปล้ำที่มีชื่อว่า Bullet Club (บุลเล็ต คลับ) ที่เป็นกลุ่มนักมวยปล้ำที่เป็นการรวมตัวของนักมวยปล้ำชาวต่างชาติ (ที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่น) ซึ่งการเกิดของกลุ่มนี้เป็นการรวมตัวของเพื่อนซี้จริง ๆ หลังฉาก และคอนเซ็ปต์ในช่วงเริ่มต้นของกลุ่มคือ "เป็นกลุ่มของทุกคนที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่น"
ด้วยความที่กลุ่มนี้สร้างขึ้นมาจากตัวนักมวยปล้ำที่สนิทชิดเชื้อกันจริง ๆ ทำให้เป็นเรื่องง่ายที่ผู้ชมจะชื่นชอบ Bullet Club และได้รับความนิยมอย่างมหาศาลในประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะลามมาถึงสหรัฐอเมริกา
มีนักมวยปล้ำฝีมือดีจำนวนมากที่เห็น Bullet Club เป็นทางเลือกในการสร้างชื่อของตัวเอง เพราะภายในระยะเวลาอันสั้น แก๊งกระสุนปืน ก็มีสาวกจำนวนมากอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ชนิดที่เรียกได้ว่าดังยิ่งกว่าตัวสมาคม New Japan Pro Wrestling เสียอีก
Bullet Club กลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคอมวยปล้ำอินดี้ที่ปฏิเสธ NXT และเป็นเสี้ยนหนามตำใจ ทริปเปิล เอช มาตลอด เพราะหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการทำ NXT คือการซื้อแฟนมวยปล้ำทั่วโลกให้มาติดตามแค่โชว์ของ WWE
WWE พยายามจะลดพลังของ Bullet Club อยู่หลายครั้ง ด้วยการดึงนักมวยปล้ำของกลุ่ม Bullet Club มาสู่สมาคม ไม่ว่าจะเป็น ฟิน แบเลอร์ (ชื่อเดิม ปรินซ์ เดวิทท์), คาร์ล แอนเดอร์สัน (Karl Anderson), ลุค แกลโลว์ส (Luke Gallows) และ เอเจ สไตล์ส (AJ Styles)
แต่มันไม่เคยได้ผล Bullet Club หานักมวยปล้ำคนใหม่มาแทนคนเก่าที่จากไปได้เสมอแถมดังกว่าเดิมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น เคนนี่ โอเมก้า (Kenny Omega), คู่แท็กทีมแห่งยุคสมัยอย่าง ยัง บัคส์ (Young Bucks) และอดีตเด็กเก่าของ WWE ที่ออกจากสมาคมมาเป็นส่วนหนึ่งของคู่แข่ง อย่าง โคดี้ โรดส์ (Cody Rhodes) ซึ่งกลายเป็นหัวหอกหลักในการพา Bullet Club ไปสู้กับ WWE
WWE ต้องหันมาจับตาคนกลุ่มนี้หนักกว่าเดิม หลังจาก แมท และ นิค แจ็คสัน สองพี่น้องจาก ยัง บัคส์ ร่วมมือกับ โคดี้ โรดส์ สร้างโชว์มวยปล้ำที่ชื่อ ALL IN ซึ่งกลายเป็นโชว์มวยปล้ำอิสระโชว์แรกในประวัติศาสตร์ของโลกที่มีผู้ชมมากกว่า 1 หมื่นคน
เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทริปเปิล เอช จึงมอบข้อเสนอด้วยเงินมหาศาล วันทำงานที่น้อยกว่านักมวยปลํ้าค่ายอื่น พร้อมกับตั๋วเครื่องบินเฟิร์สคลาสสำหรับการเดินทาง เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวเพื่อกำจัดคู่แข่งตั้งแต่วันนี้ก่อนที่จะเป็นภัยในวันหน้า
ทั้ง 4 คนเกือบจรดปากกาเซ็นสัญญากับ WWE ไปแล้ว หากไม่มีหนุ่มใส่แว่นผู้เป็นเนิร์ดมวยปล้ำพันธุ์แท้อย่าง โทนี่ ข่าน (Tony Khan) เข้ามายื่นข้อเสนอให้กับทั้ง 4 คนเช่นกัน เพื่อเปิดค่ายมวยปล้ำใหม่ที่มีเป้าหมายเดียวคือ ล้ม WWE
ลูกชายของ ชาฮิด ข่าน (Shahid Khan) เจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอลแจ็คสันวิลล์ จากัวร์ส และสโมสรฟุตบอลฟูแล่ม มาพร้อมกับไอเดียที่เหมือนกับคนบ้า ในการทำสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน นั่นคือการล้ม WWE และเขาก็เชื่อว่าเขาทำได้ แต่เพื่อจะทำให้มันเกิดขึ้นจริง พวกเขาต้องมีทั้ง 4 คนนี้มาเป็นหัวหอกในช่วงเริ่มต้นของค่าย
ข้อเสนอของ โทนี่ ข่าน ไม่มีอะไรเลยนอกจากความฝัน ถ้าเทียบกับเงินและสิทธิพิเศษมากมายที่ WWE มอบให้ แต่สิ่งที่ข่านมีคือแพชชั่นในการตามฝันในวันเด็กของตัวเอง ซึ่งสุดท้ายมันก็สามารถซื้อใจพวกเขาได้ จนทำให้พวกเขาตัดสินใจปฏิเสธ WWE แล้วหันไปสร้างสมาคมมวยปล้ำหน้าใหม่ในชื่อ All Elite Wrestling หรือ AEW ในปี 2019
ถ้าเป็นการเกิดขึ้นเพื่อเป็นสมาคมมวยปล้ำทางเลือก WWE คงไม่สนใจอะไร แต่ AEW แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเอาจริง ทั้งการมีสัญญารายการโทรทัศน์กับช่อง TNT ซึ่งเป็นบ้านเก่าของสมาคมคู่ปรับตลอดกาลในอดีต อย่าง WCW
รวมถึงการดึงตัว คริส เจอริโก้ (Chris Jericho) สุดยอดนักมวยปล้ำอดีตศิษย์เก่าของ WWE มาเป็นบุคลากรรุ่นบุกเบิกของค่าย
จนมาถึงสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือการได้ตัว จอน ม็อกซ์ลีย์ (Jon Moxley) อดีตแชมป์โลก WWE (ภายใต้ชื่อ ดีน แอมโบรส) ที่หมดสัญญาจาก WWE ได้เพียง 25 วัน ก็ย้ายไปเซ็นสัญญากับค่ายคู่แข่งในแบบที่ไม่มีใครรู้มาก่อน
แม้แต่ WWE ก็ยอมปล่อยนักมวยปล้ำรายนี้ออกไปง่าย ๆ เพราะคิดว่าม็อกซ์ลีย์จะไปพักผ่อนและหยุดปล้ำไปสักระยะ แต่ที่ไหนได้เขาตรงดิ่งมายังสมาคมที่หวังจะท้าทายอำนาจของ WWE
เท่านั้นยังไม่พอ AEW ทำให้นักมวยปล้ำอินดี้ที่แต่เดิมจะมุ่งหน้าสู่ NXT ปฏิเสธการเข้าร่วมค่ายลูกของ WWE และหันมาเป็นสมาชิกของ All Elite Wrestling กันหมด ไม่ว่าจะเป็น อดัม เพจ (Adam Page), ลูช่า บราเธอร์ส (Lucha Brothers), ซานตาน่า และ ออร์ติซ (Santana and Ortiz)
เมื่อโดนลูบคมขนาดนี้ WWE จึงเปิดสงครามกับ AEW ทันที ด้วยการจับ NXT มาฉายลงโทรทัศน์ในคืนวันพุธเพื่อชนกับรายการ Dynamite ของ AEW ที่วางโปรแกรมฉายในวันพุธมาก่อน เพราะตอนแรก WWE ไม่มีรายการมวยปล้ำฉายในวันพุธ แต่ก็เหมือนจะหนีไม่พ้น และ WWE ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากกระทืบค่ายน้องใหม่นี้ให้จมดินตั้งแต่เริ่ม
ประวัติศาสตร์ในโลกมวยปล้ำบ่งบอกว่าสงครามไม่มีวันจบด้วยผลเสมอ ดังนั้นต้องมี NXT หรือ AEW ที่จะต้องรับความพ่ายแพ้ ซึ่งมันอาจหมายถึงจุดจบตลอดกาลของผู้แพ้
สงครามคืนวันพุธ
ด้วยความที่ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยนักมวยปล้ำชั้นยอด … NXT นำโดย จอห์นนี่ การ์แกโน่, โทมาสโซ่ แชมป้า, อดัม โคล, ไคล์ โอไรลีย์, พีท ดันน์ (Pete Dunne) แถมมีการดึงนักมวยปล้ำจากค่ายใหญ่อย่าง ฟินน์ แบเลอร์ อดีตหัวหน้ากลุ่มและผู้ก่อตั้ง Bullet Club ตัวจริงทั้งหน้าฉากและหลังฉากมาเป็นหัวหอกในการจัดการ AEW
ส่วน AEW มี เคนนี่ โอเมก้า นักมวยปล้ำที่ดีที่สุดในโลกยุคปัจจบัน, ยัง บัคส์ แท็กทีมที่ดีที่สุดในโลก, คริส เจอริโก้ ดาวเก๋าผู้ไม่มีวันตาย, จอน ม็อกซ์ลีย์ หนึ่งในสตาร์ที่ร้อนแรงที่สุดของวงการมวยปล้ำ และตัวละครลับผู้ที่ในเวลาต่อมาหรือปัจจุบันเป็นมวยปล้ำอธรรมที่ดีที่สุด อย่าง แมกซ์เวล เจค็อบ ฟรีดแมน (Maxwell Jacob Friedman)
ด้วยคุณภาพนักมวยปล้ำที่ทัดเทียมกัน ทำให้การปะทะกันครั้งนี้ได้รับการจับตาเป็นอย่างมาก และนี่เป็นการสู้กันที่สูสีที่สุดนับตั้งแต่ "สงครามคืนวันจันทร์" ระหว่าง WWE กับ WCW จบไปตั้งแต่ปี 2021
เป็นเวลาเกือบ 20 ปีถึงจะมีสงครามมวยปล้ำเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือตำแหน่งผู้ชนะจะวัดด้วยเรตติ้งทางโทรทัศน์ เพราะด้วยวันและเวลาที่ฉายชนกันแบบเป๊ะ ๆ ไม่มีอะไรจะวัดได้ดีไปกว่านี้อีกแล้วว่า โชว์มวยปล้ำของใครจะดึงดูดผู้ชมได้ดีกว่ากัน
ยิ่งเข้าสู่ปี 2020 ที่เกิดการระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้แฟนมวยปล้ำไม่มีสิทธิ์เข้าชมมวยปล้ำในสนาม ดังนั้นการแข่งขันจะต้องโฟกัสไปที่เรตติ้งทางโทรทัศน์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปในการต่อสู้ครั้งนี้ คือจากเดิมที่จะแข่งกันด้วยจำนวนผู้ชมรวมทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนมาแข่งกันด้วยจำนวนกลุ่มผู้ชมอายุ 18 ถึง 49 ปีเท่านั้น หรือเป็นสิ่งที่เรียกว่า Key Demographic อันเป็นช่วงอายุของคนที่โลกธุรกิจให้ความสนใจ เพราะในทางพฤติกรรมแล้ว คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่ซื้อสินค้ามากที่สุด และอยู่ในวัยที่ไม่ได้มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ที่ตายตัวและสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ด้วยคุณภาพนักมวยปล้ำที่ทัดเทียมกัน ทำให้หลายฝ่ายมองว่านี่อาจเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อและกินเวลายาวนาน แต่ใครจะไปรู้ว่า สงครามคืนวันพุธ จบลงภายในเวลาเพียง 80 สัปดาห์ หรือไม่ถึง 2 ปีเท่านั้น
เพราะชัยชนะตกเป็นของ AEW แบบขาดลอย พวกเขาชนะเรตติ้งในกลุ่ม 18-49 ได้ถึง 74 ครั้ง ส่วน NXT ชนะได้เพียง 1 ครั้งถ้วน ๆ เท่านั้น (อีก 5 ครั้งมีโชว์ที่ฝั่งหนึ่งไม่ฉายออกอากาศ)
ขณะที่มองในแง่ผู้ชมรวม AEW ก็ยังทำได้ดีกว่า โดยชนะได้ 63 ครั้ง ขณะที่ NXT ชนะไป 10 ครั้ง และเสมอกันไปอีก 2 ครั้ง
นี่คือความพ่ายแพ้ที่ขาดลอยจนน่าเหลือเชื่อของฝั่ง WWE ที่แม้ว่าจะส่งค่ายลูกไปสู้ แต่นี่คือ NXT หนึ่งในค่ายที่มีแฟนมวยปล้ำเหนียวแน่นและก็มีคนมากประสบการณ์อย่าง ทริปเปิล เอช กุมบังเหียนอยู่
แต่เหตุใดพวกเขาถึงแพ้ AEW ที่นำโดยนักธุรกิจมือใหม่ อย่าง โทนี่ ข่าน ที่ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรในวงการมวยปล้ำมาก่อนได้แบบขาดลอย ? จนเกิดเป็นความอับอายที่เกินกว่าจะให้อภัยในสายตาของ วินซ์ แม็คแมน
เปลี่ยนแนวทาง = แพ้
คำตอบว่าทำไม AEW ถึงเป็นผู้ชนะ และ NXT เป็นผู้แพ้ หากมองถึงเรตติ้งโทรทัศน์ช่วงอายุ 18-49 ปี คำตอบได้แสดงอยู่ชัดเจนแล้วว่า ไม่ใช่เพราะ AEW มีจำนวนผู้ชมมากขึ้น แต่ NXT ต่างหากที่มีผู้ชมลดลง
มาตรฐานเรตติ้งคีย์เดโม่ของ AEW อยู่ที่ 0.25 ถึง 0.40 ตลอดช่วงเวลาสงครามคืนวันจันทร์ พวกเขาทำเรตติ้งได้ประมาณนี้เกือบทุกสัปดาห์ ขึ้นลงแล้วแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหน้าจอโทรทัศน์
ขณะที่ NXT ในช่วงแรกเริ่มพวกเขาทำได้ไม่เลว หากนับเฉพาะในปี 2019 เรตติ้งคีย์เดโม่จะอยู่ที่ประมาณ 0.25 ถึง 0.30 อาจจะไม่เยอะเท่า AEW แต่ก็เห็นได้ว่าไม่ได้ต่ำกว่าแบบน่าเกลียดนัก
แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เรตติ้งผู้ชมวัยรุ่นของ NXT กลับลดลงเรื่อย ๆ จนนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 เป็นต้นมา พวกเขามีเรตติ้งกลุ่มคนอายุ 18-49 ปีเหลืออยู่เพียง 0.15 ถึง 0.20 เท่านั้น เรียกได้ว่าหล่นฮวบแบบน่าใจหาย และมีแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นหลังจากเดือนมีนาคม 2020 ที่ NXT ทำเรตติ้งเมนเดโม่ได้เกิน 0.20 ที่เหลือต่ำเตี้ยจนบางสัปดาห์ก็แพ้ AEW ไปถึง 2 เท่า
เรตติ้งที่ลดลงไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เพราะอย่าลืมว่าสิ่งที่คนคาดหวังกับสงครามคืนวันพุธคือการเห็นโชว์มวยปล้ำที่มีแต่แมตช์คุณภาพปะทะกันทุกสัปดาห์ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีฝ่ายหนึ่งเลือกเปลี่ยนแนวทางของตัวเอง นั่นคือทางฝั่งของ NXT
เพราะชัยชนะในอดีตของ WWE ได้แสดงให้เห็นว่า "เอนเตอร์เทนเมนต์" ชนะ "คุณภาพแมตช์มวยปล้ำ" มาเสมอ สมาคมมวยปล้ำที่พยายามทำมวยปล้ำน้ำดีไม่ว่าจะเป็น NWA, AWA, ECW หรือ ROH แม้กระทั่งคู่แข่งจากแดนไกล อย่าง New Japan Pro Wrestling ก็ล้วนไม่เคยต่อกรกับ WWE ได้เลย ไม่แม้แต่จะใกล้เคียงเลยด้วยซํ้า
WWE ใช้แนวทางที่นำมาซึ่งชัยชนะในอดีตมาทำสงคราม พวกเขาทิ้งแนวทางของตัวเองไป และปรับโชว์ให้ NXT มีความเอนเตอร์เทนมากขึ้น เช่นการใส่ความตลกลงไปเพื่อหวังดึงแฟน WWE ค่ายหลักให้ตามไปดู NXT ด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือทำมวยปล้ำให้เบาสมอง ดูง่ายขึ้น และไม่ต้องจริงจังแบบแมตช์การปล้ำเดือด ๆ ในอดีต
จอห์นนี่ การ์แกโน่ สุดยอดนักมวยปล้ำของโชว์ โดนเปลี่ยนให้เป็นนักมวยปล้ำตลก รวมไปถึง โทมาสโซ่ แชมป้า อีกหนึ่งนักมวยปล้ำคนสำคัญของ NXT ก็ถูกลดบทบาทลงเช่นกัน
แต่ที่ขัดใจแฟนมวยปล้ำมากที่สุดคือการที่ NXT เลือกผลักดันนักมวยปล้ำที่ลุคดีแต่ปล้ำไม่เก่งขึ้นมาเป็นดาวเด่นของโชว์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ NXT ไม่เคยทำมาก่อน แต่ NXT จะเลือก แคร์เรียน ครอส (Karrion Kross) นักมวยปล้ำกล้ามโตแต่ฝีมือพื้น ๆ และไม่สามารถสร้างแมตช์คุณภาพขึ้นมาเป็นสตาร์แกร่งของโชว์ แล้วหยิบนักสู้ฝีมือดีมาแพ้ให้กับครอสเป็นว่าเล่น โดยมองข้ามนักมวยปล้ำที่มีความนิยมอันดับ 1 ของโชว์ ที่แฟน ๆ อยากให้เป็นแชมป์มาตลอด อย่าง อดัม โคล แบบหน้าตาเฉย
ไม่ใช่แค่ฝั่งมวยปล้ำชายที่ NXT เลือกทำแบบนั้น ฝั่งมวยปล้ำหญิงก็เช่นกัน จากที่เคยมีแต่แชมป์ฝีมือดี NXT กลับเลือกโยนเข็มขัดให้กับนักมวยปล้ำหญิงตัวใหญ่แต่ฝีมือธรรมดาสุด ๆ อย่าง ราเควล กอนซาเลซ (Raquel González)
พร้อมกับทำในสิ่งที่ทำแบบเดียวกับ แคเรียน ครอส คือนำนักมวยปล้ำฝีมือธรรมดาแต่รูปร่างดีมาไล่กระทืบนักมวยปล้ำฝีมือดีแต่รูปลักษณ์ดีไม่เท่าจนจมดิน และเมื่อคุณนำนักมวยปล้ำที่ฝีมือไม่ดีมาเป็นแชมป์ คุณภาพของแมตช์ย่อมลดลงไปด้วย
พูดกันแบบตรงไปตรงมา NXT เลือกเปลี่ยนแนวทางและหันไปทำโชว์แบบเดียวกับ WWE ค่ายหลัก เพราะมันได้ผลมาตลอด ไม่เคยผิดพลาด พวกเขาเชื่อว่าแนวทางนี้จะสามารถเอาชนะ AEW ได้อย่างแน่นอน เพราะฝ่ายคู่แข่งยังคงเดินหน้าทำโชว์มวยปล้ำที่เน้นแค่แมตช์การปล้ำเหมือนโชว์อิสระที่ไม่ได้เน้นความสนุก ความตลกเฮฮา เหมือนกับโปร์ดักต์ของ WWE
แต่ WWE หรือ NXT ลืมความจริงข้อสำคัญไปข้อหนึ่งว่า แฟนมวยปล้ำที่มาติดตามทั้ง NXT และ AEW ก็เพราะต้องการดูโชว์ที่จริงจังและเต็มไปด้วยแมตช์มวยปล้ำคุณภาพ และต้องการเห็นนักมวยปล้ำที่เก่งจริง ๆ เป็นแชมป์ ไม่ใช่เป็นนักมวยปล้ำที่ถูกผลักดันเพียงเพราะภาพลักษณ์ดีแบบที่ WWE ค่ายหลักชอบทำ
เมื่อ NXT เปลี่ยนแนวทางไปเหมือนกับค่ายหลัก แฟนที่เคยดู NXT เพราะอยากดูมวยปล้ำน้ำดีจึงเลิกเป็นแฟนคลับของค่าย เพราะนี่ไม่ใช่ NXT ที่พวกเขาเคยรู้จัก ไม่ใช่สมาคมที่เต็มไปด้วยเนื้อเรื่องเข้มข้นและมวยปล้ำคุณภาพอีกต่อไป และถ้าโชว์มันเหมือนกับ Raw หรือ Smackdown ที่พวกเขาไม่ได้ต้องการ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องดู NXT อีกต่อไป
บวกกับสิ่งหนึ่งที่ NXT คาดการณ์ผิด คือคิดว่าทำโชว์แบบเน้นเอนเตอร์เทนเมนต์แล้วจะดึงแฟนมวยปล้ำกลุ่มใหญ่ของ WWE ให้ลงมาติดตามได้ แต่มันไม่เป็นแบบนั้น เพราะแฟนกลุ่มนี้พวกเขามีโชว์อย่าง Raw และ Smackdown ที่ตอบโจทย์อยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องไปติดตาม NXT แต่อย่างใด
"อันที่จริง โชว์ของ NXT ก็สนุกนะ แต่แมตช์การปล้ำรายสัปดาห์มันธรรมดาไปหน่อย แตกต่างจาก AEW ที่ทุกสัปดาห์จะมีมวยปล้ำดี ๆ อย่างน้อย 3 แมตช์ ซึ่งผมคิดว่านี่คือเหตุผลที่ NXT แพ้สงครามครั้งนี้" เดฟ เมลเซอร์ กูรูมวยปล้ำชื่อดังกล่าว
NXT จึงเสียฐานแฟนของตัวเองไปอย่างน่าเศร้า ขณะที่ AEW ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเดินหน้าทำโชว์มวยปล้ำคุณภาพเยี่ยมต่อไป นอกจากนี้พวกเขายังกล้าคิดกล้าทำอะไรใหม่ ๆ จนกลายเป็นกระแสฮือฮาได้หลายครั้ง ซึ่งการยึดมั่นในแนวทางที่แฟนของตัวเองต้องการ ทำให้เรตติ้งทางโทรทัศน์ของ AEW ไม่ต้องประสบปัญหาร่วงหล่นแบบที่ NXT ต้องประสบพบเจอ
AEW เดินหน้าท้า WWE
"สงครามคืนวันพุธ" จบลงหลังจาก NXT ต้องย้ายไปฉายวันอังคารแทนที่วันพุธ เพราะต้องหลีกทางให้กับโปรแกรมฉายของกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งที่มาแทนที่ นี่คือการปิดฉากด้วยชัยชนะอย่างเป็นทางการของ AEW
แต่นั่นเป็นการยุติการต่อสู้แค่ในนามเท่านั้น แฟนมวยปล้ำรู้ดีว่าต่อให้ฉายกันคนละวันแต่ทั้งสองโชว์จะต้องแข่งขันกันเหมือนเดิม เพราะเป็นเรื่องปกติของโลกมวยปล้ำที่สงครามจะไม่มีทางจบลงจนกว่าฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะล้มหายตายจากไป
AEW กุมความได้เปรียบมาจากสงครามคืนวันพุธ หลังแสดงให้เห็นว่าสามารถเอาชนะ NXT ได้ขาดลอย สิ่งนี้สร้างความมั่นใจให้กับ โทนี่ ข่าน เป็นอย่างมาก เขาจึงคิดในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม นั่นคือการพา AEW ไปสู้กับ WWE แบบตรงไปตรงมา
แต่การจะสู้กับ WWE โดยตรงได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนี่คือค่ายที่เป็นเบอร์ 1 มานานกว่า 20 ปี และมีซูเปอร์สตาร์ชื่อดังเต็มค่ายไปหมด แต่ โทนี่ ข่าน ก็มีไม้ตายของเขาอยู่ นั่นคือการเอาหนึ่งในสุดยอดนักมวยปล้ำที่เคยเป็นตำนานของ WWE และปัจจุบันยืนอยู่ตรงข้ามกับอดีตสมาคมของเขาอย่างเต็มตัว นั่นคือ ซีเอ็ม พังค์ (CM Punk) เข้ามาร่วมทีม
AEW สามารถซื้อใจ ซีเอ็ม พังค์ ได้จริง หลังจากทาบทามมาหลายรอบแต่ไม่เคยสำเร็จผล ทว่าหลังจากแสดงให้เห็นถึงการเอาชนะ NXT และพิสูจน์ว่า โทนี่ ข่าน จริงใจแค่ไหนที่จะทำมวยปล้ำคุณภาพดีแบบไม่ดูถูกสติปัญญาผู้ชม ซีเอ็ม พังค์ จึงหวนกลับคืนสู่วงการมวยปล้ำอีกครั้งในรอบ 7 ปี
การกลับมาของ ซีเอ็ม พังค์ คือเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดในวงการมวยปล้ำปี 2021 และเพียงแค่โชว์เปิดตัวของเขา AEW Rampage: The First Dance ที่จัดขึ้นในสนาม ยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ บ้านเกิดของพังค์ ก็สามารถสร้างสถิติผู้ชมสูงสุดในประวัติศาสตร์ AEW ได้ทันที ด้วยจำนวน 15,316 คน
การได้ ซีเอ็ม พังค์ มาเป็นแนวหน้าในการล้ม WWE เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะในศึกใหญ่ถัดมาของ AEW อย่าง All Out โทนี่ ข่าน ได้เตรียมเซอร์ไพรซ์ที่จะเล่นงาน WWE อีกครั้งในแบบที่ใครก็ตั้งตัวไม่ติด
เพราะในศึก All Out ฝั่ง AEW ได้เปิดตัวนักมวยปล้ำบิ๊กเนม 2 คนในวันเดียว คนแรกคือ ไบรอัน แดเนียลสัน (Bryan Danielson) หรือ แดเนียล ไบรอัน สมัยปล้ำกับ WWE ที่เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมายังเป็นนักมวยปล้ำที่ปล้ำในคู่เอกของโชว์มวยปล้ำที่ใหญ่ที่สุดประจำปี อย่าง Wrestlemania อยู่เลย แต่เขากลับเลือกปฏิเสธสัญญาฉบับใหม่จาก WWE และย้ายมาอยู่กับค่ายคู่แข่งอย่าง AEW
ส่วนอีกคนสามารถทำให้ WWE ช้ำใจมากที่สุด เพราะเขาคือ อดัม โคล สตาร์อันดับ 1 ของ NXT ชายผู้ได้รับความนิยมมากที่สุดของแบรนด์ ที่ปฏิเสธสัญญาฉบับใหม่จาก WWE เช่นเดียวกัน และย้ายมาอยู่กับอดีตสมาคมคู่แข่งอย่าง AEW
"ผมรัก WWE และ NXT นะ แต่ผมมีความสุขมากกว่าที่ได้เซ็นสัญญากับ AEW … AEW คือสถานที่ที่ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของผมต้องการ"
"ผมไม่เคยอยากขึ้น WWE ค่ายหลัก ซึ่งมันทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้น และพวกเขามีไอเดียที่จะเปลี่ยนชื่อของผม มันทำให้ผมกลัวนะ ซึ่งหากเทียบกับ AEW พวกเขาเปิดโอกาสให้ผมเป็นตัวของตัวเอง ผมจึงตัดสินใจเลือก AEW" อดัม โคล กล่าว
AEW ดึงสตาร์ชื่อดัง 3 คนที่สร้างชื่อมาจากโชว์ของ WWE มาเป็นของตัวเอง และมันได้ผลทันที เพราะในวันพุธถัดมาหลังจากศึกใหญ่ All Out กับโชว์ประจำสัปดาห์วันพุธของ AEW อย่าง Dynamite กลายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เรตติ้งคนดูของโชว์ AEW ชนะโชว์ Raw ซึ่งเป็นโชว์หลักของ WWE
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามของ WWE กับ WCW เพราะมีค่ายที่แสดงให้วงการมวยปล้ำเห็นแล้วว่าสามารถเอาชนะ WWE ได้จริง ๆ
นับตั้งแต่วันนั้น AEW เดินหน้าต่อแบบไม่หยุดยั้ง พวกเขาเคยพาโชว์รองที่ฉายในวันศุกร์อย่าง Rampage เอาชนะ Smackdown ของ WWE ที่ฉายในวันเดียวกันได้
แต่ที่แสบที่สุดคงหนีไม่พ้น การที่ AEW ไล่ดึงอดีตสตาร์ชูโรงในประวัติศาสตร์ของ NXT มาเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอดีตแชมป์ NXT อย่าง อเลสเตอร์ แบล็ค (ปัจจุบันใช้ชื่อ มาลาคาย แบล็ค) และ อันดราเด้ เข้าสู่สมาคม
รวมถึงดูดนักมวยปล้ำชื่อดังที่เคยเป็นหัวหอกสมัยสงครามคืนวันพุธของฝั่ง NXT มาเป็นของตัวเอง ทั้ง ไคล์ โอไรลีย์ และ บ็อบบี้ ฟิช รวมถึงมีข่าวลืออย่างหนักว่า จอห์นนี่ การ์แกโน่ ชายผู้ได้รับฉายาว่า "หัวใจและจิตวิญญาณของ NXT" ก็กำลังจะย้ายตามมาอยู่ที่ AEW ด้วยเช่นกัน
ด้วยความที่ดึงตัวนักมวยปล้ำจาก NXT มาเยอะ ทำให้แฟนมวยปล้ำถึงกับแซวว่า NXT กลายเป็นค่ายลูกของ AEW แทนที่จะเป็น WWE แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับ โทนี่ ข่าน เพราะตอนนี้เขาพอใจมากที่ได้ดึงอดีตนักมวยปล้ำของสมาคมคู่แข่งมาเป็นของตัวเอง และพร้อมจะใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ในระยะยาวกับ WWE
การสูญเสียนักมวยปล้ำจำนวนมากของ NXT จากที่เคยต่อสู้กับ AEW กลายเป็นย้ายไปอยู่กับ AEW กันมากมาย แสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้ของ NXT ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดว่าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอีกต่อไปแล้ว
และแน่นอนว่าเมื่อพ่ายแพ้อย่างชัดเจนขนาดนี้ ก็เป็นเรื่องปกติของโลกมวยปล้ำที่จะต้องถูกสำเร็จโทษด้วยการทำให้หายไปตลอดกาล
การจากลาของ NXT
ความพ่ายแพ้ของ NXT ที่มีต่อ AEW คือการพ่ายแพ้ในสงครามมวยปล้ำครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ WWE นี่คือเรื่องที่น่าเจ็บปวดสำหรับค่ายมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลก แต่ไม่มีใครจะผิดหวังกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้มากไปกว่า วินซ์ แม็คแมน
เป็นที่รู้กันดีในวงการมวยปล้ำว่า เจ้าพ่อแห่งวงการอย่าง วินซ์ แม็คแมน เกลียดความพ่ายแพ้มากแค่ไหน และเขาจะไม่ยอมให้ตัวแทนความน่าอับอายนี้มีตัวตนอยู่ในสมาคมของเขาอีกต่อไป
วินซ์ แม็คแมน สั่งปฏิวัติ NXT ในทันที ด้วยการปรับเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ของโชว์ใหม่ ไม่ทำโชว์มวยปล้ำที่เน้นสตาร์อินดี้ฝีมือดีอีกต่อไป แต่หลังจากนี้ NXT จะกลายเป็นค่ายพัฒนาทักษะนักมวยปล้ำของ WWE อย่างเต็มตัว จะมีแต่นักกีฬาตัวใหญ่ เช่น อดีตนักอเมริกันฟุตบอลหรืออดีตนักบาสเกตบอลเข้ามาฝึกมวยปล้ำ และใช้เวที NXT เป็นที่เรียนรู้วิชา ไม่ใช่พื้นที่ให้นักมวยปล้ำมาโชว์ฝีมือเพื่อสร้างแมตช์คุณภาพดีอีกต่อไป
ความพ่ายแพ้ของ NXT ไม่ได้ส่งผลในระยะสั้น แต่กลับมีผลไปถึงนโยบายระยะยาวของสมาคมเลยทีเดียว เพราะ WWE ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า พวกเขาจะไม่กลับลงไปสู้ในตลาดเดียวกับ AEW อีกต่อไป
ซึ่งหมายความว่าหลังจากนี้ พวกเขาจะเลิกดึงนักมวยปล้ำจากค่ายเล็กฝีมือดีเข้ามาเหมือนที่เคยทำตลอดสมัยยุครุ่งเรืองของ NXT แต่จะหันมาทำโชว์ที่มุ่งเน้นมวยปล้ำในฐานะเอนเตอร์เทนเมนต์เต็มตัว ไม่มีอีกแล้วโชว์ของ WWE ที่ความสำคัญของแมตช์มวยปล้ำต้องมาก่อน
ถึงกับมีรายงานว่า WWE จะสร้างมวยปล้ำหลังจากนี้ให้เป็นเหมือนจักรวาล Marvel Cinematic Universe ในแบบฉบับมวยปล้ำ พวกเขาจะสร้างนักมวยปล้ำในฐานะตัวละครไม่ใช่นักกีฬา และให้ความสำคัญกับเรื่องราวมากกว่าแมตช์การปล้ำ ไม่ต่างกับสื่อบันเทิงแบบภาพยนตร์แอ็กชั่น
เมื่อไม่ทำมวยปล้ำคุณภาพดีอีกต่อไป WWE จึงจัดการรีแบรนด์ NXT ใหม่ ให้กลายเป็น NXT 2.0 พร้อมกับเปลี่ยนทุกอย่างของโชว์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบรายการ, โทนสีในรายการ, เนื้อเรื่องในรายการ, เปลี่ยนคาแร็กเตอร์ให้มีความเป็นการ์ตูนมากขึ้น และแน่นอน โละนักมวยปล้ำกันเกือบยกชุด
ส่วนหลังฉาก WWE ไล่ทีมงาน NXT ที่เคยคุมโชว์สมัยที่แพ้ให้กับ AEW ออกแบบเกือบยกชุด เหลือไว้เพียงแค่ ทริปเปิล เอช ผู้เป็นลูกเขยของ วินซ์ แม็คแมน และ ชอน ไมเคิลส์ (Shawn Michaels) ตำนานของสมาคมเพียง 2 คนเท่านั้น
ตำนานของ NXT จึงปิดตัวลงในช่วงปลายปี 2021 เป็นเวลาร่วม 10 ปีที่ค่ายนี้ได้มอบความสุขให้กับแฟนมวยปล้ำและสร้างแมตช์น้ำดีจำนวนมากที่ไม่มีวันลืมเลือนไปจากใจของแฟนมวยปล้ำ ซึ่งจะถูกจารึกไว้ว่า "NXT คือช่วงเวลาที่ WWE มีคุณภาพแมตช์มวยปล้ำดีที่สุดในประวัติศาสตร์สมาคม"
เพราะในปัจจุบัน WWE กลับไปเดินหน้าเต็มตัวกับการทำมวยปล้ำให้เป็นการ์ตูนที่เป็นความบันเทิงเต็มรูปแบบอีกครั้ง เพื่อต่อสู้โดยตรงกับ AEW ที่เลือกทำมวยปล้ำแบบจริงจังที่เน้นสร้างแมตช์คุณภาพ ตรงกันข้ามกับ WWE อย่างชัดเจน
สงครามที่ดำเนินต่อไปของ WWE กับ AEW คงต้องรอให้เวลาพิสูจน์ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ … แต่ในวันนี้มีผู้แพ้แน่นอนก็คือ NXT และชายที่สร้างแบรนด์นี้ขึ้นมาอย่าง ทริปเปิล เอช
ถึงจะดำรงตำแหน่งลูกเขยของ วินซ์ แม็คแมน แต่หลังจากพา NXT ไปแพ้ให้กับ AEW ทริปเปิล เอช แทบไม่เหลืออำนาจการบริหารใน WWE อีกต่อไป และมีข่าวออกมาว่าตัวเขาหมดไฟจนไม่อยากจะกลับมาทำงานในวงการอีกแล้ว
น่าเสียดายที่ครั้งหนึ่ง ทริปเปิล เอช เคยตั้งใจจะพา NXT ขยายสาขาออกไปทั่วโลก สร้างมวยปล้ำคุณภาพที่เขาถึงทุกคน แต่ภายในชั่วพริบตาเดียว มันก็ล่มสลายไปอย่างไม่มีวันกลับ เหลือไว้เพียงความทรงจำดี ๆ สำหรับแฟนมวยปล้ำทั่วโลกเท่านั้น
แหล่งอ้างอิง
หนังสือ Young Bucks: Killing the Business from Backyards to the Big Leagues
https://www.pwtorch.com/artman2/publish/WWE_News_3/article_78111.shtml#.YfL_Y-pBw2w
https://www.youtube.com/watch?v=4mccjCO60Vc
https://en.wikipedia.org/wiki/Wednesday_Night_Wars#Key_demographic_(18-49)
https://www.upi.com/Entertainment_News/TV/2021/09/22/Adam-Cole-AEW-Grand-Slam/9111632245982/
https://www.youtube.com/watch?v=u0gFeex8P4k
https://www.digitalspy.com/tv/ustv/a38174508/stephanie-mcmahon-wwe-marvel-mcu-releases/