Feature

เสียไม่ได้ ใหญ่คับถิ่น : ว่าด้วยศิลปะเรื่องการ "เท" แข้งตัวเทพที่เริ่มเข้าสู่ขาลง | Main Stand

การตัดสินใจ "ต่อ" หรือ "เท" นักเตะระดับตัวเทพที่เข้าสู่ช่วงปลายอาชีพ คือหนึ่งในโจทย์ที่ยากที่สุดของทุกสโมสรฟุตบอล

 

เพราะนี่คือการเลือกอนาคตของทีมระยะยาว ที่มีความรู้สึกระยะสั้นปนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความผูกพัน ผลงานเก่า ๆ เสียงแฟนบอล หรืออิทธิพลในห้องแต่งตัวของนักเตะเหล่านั้น 

ซึ่งบ่อยครั้ง ทำให้สโมสรที่ "เสียไม่ได้" กลายเป็นคนตัวเล็กลงต่ออำนาจของสตาร์ลูกหนังในทีม

 

เพราะขาลงไม่ได้ดูออกกันง่าย ๆ

คำว่า "ขาลง" ของนักฟุตบอลไม่เคยเป็นสัญญาณแบบหักมุม แต่เป็นการค่อย ๆ เสื่อมลงทีละน้อยจนคุณอาจไม่ทันได้สังเกต กระทั่งหลายสิ่งอย่างปะปนกัน เมื่อเวลานั้นมาถึง นักเตะที่เคยเก่งกาจในปีที่แล้ว อาจกลายเป็นคนละคนในปีต่อมาเลยก็เป็นได้ ... ซึ่งเรื่องนี้มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย

ปัญหาสำคัญคือ กว่าทีมจะรู้ตัว ก็เสียเวลาไปเป็นฤดูกาล ๆ แล้ว และด้วยการเสื่อมลงแบบไม่มีสัญญาณเตือนชัด ๆ อาจทำให้หลายสโมสรต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งใหญ่ว่า ควรจะต่อสัญญาก้อนโตให้พวกเขา หรือทำในสิ่งที่ยากสำหรับทุกฝ่าย นั่นคือการปล่อยให้สัญญาหมดและแยกย้ายกันไปแบบฟรี ๆ

เพราะคำว่าขาลงไม่เคยมีบรรทัดฐานที่ชัดเจน จึงเป็นเรื่องของแต่ละสโมสร หรือโค้ชแต่ละคนที่จะจัดการกับปัญหาที่เจอด้วยวิธีของพวกเขา เพื่อหาทางออกที่คิดว่าดีที่สุด

นี่คือเหตุผลว่า ทำไมหลายสโมสรเคยใช้ "กฎเหล็ก" ในการต่อสัญญานักเตะที่อายุเกิน 30 ปี เพราะเชื่อว่าที่สุดแล้ว อายุไม่เคยโกหกใคร อายุมากขึ้นเท่าไร ก็มีความเสี่ยงที่จะเสื่อมถอยมากเท่านั้น เช่น อาร์เซน่อล ในยุค อาร์แซน เวนเกอร์ ที่จะไม่ยื่นสัญญาระยะยาวให้ผู้เล่นวัย 30+ แต่ให้สัญญาปีต่อปีเท่านั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากฟอร์มที่อาจดรอปลงในแบบที่คาดยาก ซึ่งกรณีของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ คือภาพคลาสสิกของนักเตะที่ต้องลุ้นต่อสัญญาปีต่อปี แม้จะยังเล่นได้ดีแค่ไหนก็ตาม

เบิร์กแคมป์ ต่อสัญญาแบบปีต่อปีอยู่หลายหน และเล่นให้ อาร์เซน่อล จนอายุ 35 ปี ด้วยฟอร์มที่มีมาตรฐานมาตลอด มันแสดงให้เห็นว่า ความยากคือ เมื่อ "เดอะ แบก" คนนั้นเพิ่งพาทีมไป แชมเปี้ยนส์ลีก รอบลึก หรือยิงประตูเป็นกอบเป็นกำในซีซั่นล่าสุด แม้อายุจะ 34–35 ปี การไม่ต่อสัญญาก็เหมือนการบอกลาแบบไร้น้ำใจ โชคยังดีที่ในกรณีนี้ ฝ่ายนักเตะและสโมสรคุยกันรู้เรื่อง และต่างฝ่ายต่างรับข้อตกลงกันได้ เรื่องนี้จึงไม่ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ ก่อนที่สุดท้ายจะแยกทางกันไปด้วยดีกับการแขวนสตั๊ดของ เบิร์กแคมป์ ในปี 2006

แต่ในเคสของ โม ซาลาห์ และ ลิเวอร์พูล ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ มันแตกต่างกันตรงที่ ซาลาห์ เป็นเบอร์ 1 ของทีมมาโดยตลอด ขณะที่ เบิร์กแคมป์ แม้จะโดดเด่น แต่ในทีมชุดนั้นยังมี เธียร์รี่ อองรี ที่สำคัญกว่า นั่นจึงทำให้เรื่องการต่อสัญญาของ ซาลาห์ มีประเด็นให้ถูกพูดถึงแทบทุกครั้ง เนื่องจากนักเตะพยายามเรียกร้องค่าเหนื่อยที่สูงขึ้นในทุกครั้ง เพราะเขาเชื่อว่าควรจะได้รับมันจากผลงานที่สร้างไว้กับทีม

ลิเวอร์พูล ยอม ซาลาห์ ในการต่อสัญญาระดับแพงที่สุดของสโมสรถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เมื่อปี 2022 ซึ่งพวกเขาคิดถูก เพราะ ซาลาห์ ยังเล่นดีต่อเนื่อง และพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีก 1 สมัย ... จนกระทั่งมาถึงสัญญาครั้งใหม่ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อปลายซีซั่น 2024-25 ซาลาห์ ในวัยย่าง 33 ปี เรียกค่าเหนื่อยถึง 400,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ พร้อมด้วยอายุสัญญาอีก 2 ปี

ท่ามกลางความยินดีของ เดอะ ค็อป ... ไม่น่าเชื่อว่าผ่านไปแค่ 4 เดือน เรื่องนี้ถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้ง และเริ่มมีการแสดงความเห็นที่เด่นชัดขึ้นมาว่า บางทีการต่อสัญญาระดับทุบสถิติสโมสรครั้งนี้อาจเป็นการตัดสินใจผิด ไม่ว่าจะด้วยฟอร์มของ ซาลาห์ เองในเวลานี้ และการทิ้งระเบิดลูกล่าสุดผ่านการให้สัมภาษณ์ที่เป็นการบอกใบ้ว่า ณ ตอนนี้ การแตกหักได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในถิ่น แอนฟิลด์แล้ว

 

เดอะ แบก ก็มีหัวใจ

กลุ่มนักเตะ "เดอะ แบก" หรือแข้งเบอร์ 1 ของทีมคือสิ่งที่สโมสรตัดสินใจยากที่สุดในการต่อสัญญาแต่ละครั้ง ด้วยเหตุหลายประการ ไม่ว่าจะใช้ฟอร์มเก่าเป็นหลักฐาน ทำให้ค่าเหนื่อยสูงขึ้นตามความสำคัญของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ประกอบด้วย แฟนบอลส่วนใหญ่รักพวกเขามากกว่าจะตั้งข้อสงสัย หรือแม้กระทั่งการมีอิทธิพลในห้องแต่งตัวที่โค้ชใหม่ ๆ แตะต้องยาก

ดังนั้นการหาทางออกในช่วงสัญญาใหม่ของนักเตะกลุ่มนี้จึงซับซ้อนเป็นพิเศษ แถมประวัติศาสตร์ฟุตบอลมีตัวอย่างมากมายทั้งด้านดีและไม่ดี

กลุ่มที่อัปสัญญาแล้วเล่นดีเหมือนเดิม เช่น ลูก้า โมดริช กับ เรอัล มาดริด ที่ต่อสัญญามาเรื่อย ๆ ตั้งแต่อายุ 34 ปี จนถึงอายุ 39 ปี ซึ่งเจ้าตัวยังคงเล่นในมาตรฐานสูง เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการต่อสัญญาที่คุ้มค่ามาก ๆ นอกจากนี้ยังมี โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กับ เอซี มิลาน และ ติอาโก้ ซิลวา กับ เชลซี ที่ตอบแทนสัญญาด้วยผลงานยอดเยี่ยมทั้งในและนอกสนาม

ส่วนกลุ่มที่ต่อสัญญาแล้วฟอร์มตกหรือดรอปลงก็มีไม่น้อย เช่น ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมยอง กับ อาร์เซน่อล ที่ได้สัญญาก้อนโตสุดในทีมแล้วฟอร์มดรอปลงทันที ทัศนคติมีปัญหา และสุดท้ายต้องยกเลิกสัญญาไป หรือ ปอล ป็อกบา ที่ยังหนุ่มยังแน่น แต่หลังจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้ออปชั่นขยายสัญญาในปี 2021 ก็สร้างเรื่องราวมากมายจนกระทั่งหมดสัญญาในปี 2022

ในกลุ่มนักเตะที่ได้สัญญาแล้วฟอร์มตกนั้น สร้างปัญหาต่ออีกทอด เพราะนอกจากอายุที่มากขึ้นแล้ว สัญญาค่าเหนื่อยที่สูงขึ้นก็ทำให้ยากที่สโมสรจะโละนักเตะกันได้ง่าย ๆ มันจึงแทบเป็นการวัดกันว่า "โค้ช" หรือ "นักเตะ" ใครเบอร์ใหญ่กว่ากัน หรือใครที่บอร์ดบริหารเชื่อมั่นมากกว่ากัน

ปัญหาอิทธิพล เดอะ แบก ยังเกิดในทีมยุคปัจจุบัน เช่นกรณีของ เอริก เทน ฮาก กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่นักเตะแสดงความไม่เคารพคำสั่งของโค้ช จนนำไปสู่การแตกหัก และเรื่องนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของ โรนัลโด้ ที่แฟนบอลปีศาจแดงเคย "รักแบบ 100%" กลายเป็นมีเสียงแตก และถูกมองในแง่ลบมากขึ้นแม้กระทั่งทุกวันนี้

และในหลายครั้ง การบริหารหรือการตัดสินใจ "ต่อสัญญาที่ผิดพลาด" ก็อาจนำมาสู่ปัญหาใหญ่ที่ไม่ใช่แค่การทะเลาะกันของคน 2 คน แต่มันส่งผลถึงทีมโดยรวมที่ไม่สามารถเดินหน้าฤดูกาลใหม่ได้อย่างจริงจังอีกด้วย

 

ไม่มีใครใหญ่เกินทีม

สิ่งสำคัญของเรื่องนี้ คือการสื่อสารกันระหว่างทั้ง 2 ฝั่งให้ดี และตกลงหาทางออกร่วมกันให้เสี่ยงน้อยที่สุด อย่างในกรณีของ เบิร์กแคมป์ นักเตะยอมรับเงื่อนไขทุกข้อ และมักออกมาพูดในเชิงว่า "เราคงจะทำแบบปีต่อปีต่อไป ซึ่งเป็นทางที่ปลอดภัยสำหรับทั้งสโมสรและตัวผมเอง" เพราะ เบิร์กแคมป์ รู้ดีว่า อายุเพิ่ม ฟอร์มอาจไม่คงที่ จึงมองว่าสัญญาระยะสั้นช่วยให้ทั้งสองฝ่ายประเมินกันใหม่ได้ทุกปี

มันแสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว สโมสรต้องเลือกระหว่าง "หัวใจ" กับ "อนาคต" ซึ่งแต่ละทางมีข้อดี–ข้อเสียเสมอ

หากสโมสรเลือกใช้ "ไม้แข็ง" ตัดใจเท ข้อดีก็คือลดภาระค่าเหนื่อยก้อนโต เปิดทางให้ดาวรุ่งหรือผู้เล่นใหม่ที่สดกว่า ทำให้โค้ชคุมห้องแต่งตัวง่ายขึ้น และยังเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า โครงสร้างอำนาจอยู่ที่ทีม ไม่ใช่นักเตะคนใดคนหนึ่ง

แต่แน่นอน ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน นอกจากข้อดีก็มีข้อเสีย การเลือก "เท เดอะ แบก" อาจนำมาซึ่งการต่อต้านจากแฟนบอลบางกลุ่ม ความสัมพันธ์กับนักเตะระดับตำนานอาจพังถาวร เสี่ยงว่าถ้านักเตะไปที่อื่นแล้วยังยิงระเบิด สโมสรจะถูกวิจารณ์หนัก รวมถึงการสูญเสียประสบการณ์และผู้นำในสนาม ... ซึ่งแน่นอนว่าคุณไม่มีทางรู้เลยว่า การตัดสินใจ "เททิ้ง" จะนำมาสู่ข้อดีหรือข้อเสียกันแน่

มันจึงเป็นคำถามว่า แล้ววิธีที่ดีที่สุดคืออะไรกันแน่? เรื่องนี้ ราล์ฟ รังนิก อดีตกุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด เคยเล่าว่า ฟุตบอลยุคใหม่ให้คำตอบไว้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า การใช้โครงสร้างสัญญาที่ยืดหยุ่น คือกุญแจในการชี้ทิศทางของสโมสร นั่นอาจหมายถึงการต่อสัญญาแบบ 1+1 ปี การลดค่าเหนื่อยในสัญญาใหม่ หรือจ่ายเท่าเดิมแต่เพิ่มโบนัสตามผลงาน

และที่สำคัญที่สุดคือการตกลงกับ "คนใช้งาน" อย่าง "เฮดโค้ช" ให้ดีว่า พวกเขามีแผนจะใช้งาน "เดอะ แบก" คนเก่ามากแค่ไหนหลังเซ็นสัญญาใหม่ เช่นเดียวกับทั้งสองฝ่ายที่ต้องคุยกันให้ลงตัวเรื่องบทบาทใหม่ในทีม เช่น อาจลดความสำคัญลง จากที่เคยต้องเล่นทุกนัด เปลี่ยนเป็นบทบาทของพี่เลี้ยงหรือเป็นกำลังเสริมในระบบโรเตชัน

หากตั้งแต่บอร์ดบริหารจนถึงโค้ชตัดสินใจดี สิ่งที่ตามมาจะเป็นผลบวกมากมาย เพราะสโมสรไม่ต้องแบกความเสี่ยงเรื่องเงินทองมากเกินไป ห้องแต่งตัวสงบ และแฟนบอลเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายขึ้นด้วย

ศิลปะของการ "เท" นักเตะตัวเทพที่กำลังขาลงไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอล แต่คือเรื่อง "มนุษย์" ที่ผูกพันกันมาหลายปี เรื่องอำนาจในทีม ความคาดหวังของแฟนบอล และอนาคตของสโมสร

สโมสรที่ยืนระยะได้ในยุคนี้ ไม่ใช่ทีมที่ "ใจอ่อน" หรือ "ใจแข็ง" แต่คือทีมที่รู้ว่าควรใจอ่อนเมื่อไร และใจแข็งเมื่อไร

เพราะท้ายที่สุดแล้ว … ไม่มีใครใหญ่กว่าสโมสร แต่ก็ไม่มีใครควรถูกปฏิบัติแบบไร้หัวใจเช่นกัน

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.skysports.com/football/news/2265983/bergkamp-set-for-contract-talks
https://www.siamsport.co.th/football-international/premierleague/78617/
https://www.skysports.com/football/news/11095/13480362/mohamed-salah-plunges-liverpool-future-into-doubt-by-saying-arne-slot-relationship-has-broken-down-ahead-of-transfer-window
https://www.bbc.com/sport/football/63345292
https://www.theguardian.com/football/2019/oct/17/ralf-rangnick-interview-sporting-director-manchester-united
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/ralf-rangnick-rb-leipzig-players-follow-if-they-feel-you-make-them-better-4471

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

สรัช สวัสดีแป้น

ออกแบบภาพ กราฟิก Main Stand