Feature

ฟริมปง เวียตซ์ เอกิติเก้ : ลิเวอร์พูล x บุนเดสลีกา สูตรสำเร็จหงส์ยุคใหม่ ? | Main Stand

ตลาดซัมเมอร์ 2025 ของ ลิเวอร์พูล ยังคงเน้นเป้าไปที่นักเตะจากบุนเดสลีกาอีกครั้ง หลังจากพวกเขาคว้าตัว เจเรมี่ ฟริมปง, โฟลเรียน เวียตซ์ และ อูโก้ เอกิเตเก้ ที่ถือเป็นนักเตะตัวท็อปของลีกสูงสุดเยอรมันมาร่วมทัพ

 


25 ปีหลังสุด ลิเวอร์พูลดึงตัวนักเตะจากบุนเดสลีกามาร่วมทัพเกิน 20 คนไปแล้ว … ทำไมนักเตะลีกนี้จึงอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทัพหงส์แดง ? หาคำตอบกับ Main Stand  

 

ยุคคล็อปป์ทำไว้ดี 

หลังจากเข้าสู่ยุคมิลเลเนียม ยุคที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกพัฒนาและเปิดกว้างเพื่อทำการตลาดในวงกว้างมากขึ้น เหล่าสโมสรต่าง ๆ ก็เริ่มจะอิมพอร์ตนักเตะต่างชาติมาใช้งานกันมากขึ้น และทางฝั่ง บุนเดสลีกา นั้น ถือว่าเป็นลีกที่ส่งออกนักเตะมาเล่นในอังกฤษอยู่หลายคน และถ้าหากเรานับเฉพาะ ลิเวอร์พูล หลังยุคปี 2000 จนถึงปี 2015 พวกเขาเป็นทีมที่ดึงนักเตะจากลีกเยอรมันมาร่วมทัพถึง 7 คน ได้แก่ มาร์คุส บับเบิล, อาลู ดิยาร์ร่า, อังเดร โวโรนิน, ฟิลิปป์ เดเก้น, ซาเหม็ด เยซิล, เอ็มเร่ ชาน และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่    

จากรายชื่อด้านบน เราจะเห็นว่าระดับความคุ้มค่าคุ้มราคาของนักเตะที่มาจากบุนเดสลีกา เริ่มจะดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากการซื้อตัว เอ็มเร่ ชาน มาจาก บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2014 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของระบบคัดกรองและวิเคราะห์ข้อมูลนักเตะของ ลิเวอร์พูล ซึ่งหลายคนก็คงรู้กันดีว่า คนที่เป็นหัวเรือสำคัญก็คือ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผอ.กีฬา คู่บุญคู่บารมีของกลุ่มทุน FSG เจ้าของสโมสรในเวลานี้ 

ตัวเของ เอ็ดเวิร์ดส์ และทีมงานสรรหานักเตะ ถูก FSG จ้างมาาทำงานให้กับสโมสร ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ปี 2011 โดย เอ็ดเวิร์ดส์ เริ่มต้นในฐานะหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ หน้าที่ของเขาคือการใช้สถิติและข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียดเพื่อให้นักเตะมาร่วมทีมแล้วคุ้มค่ามากที่สุด เนื่องจากย้อนกลับไปช่วงนั้น ลิเวอร์พูล แทบจะเป็นทีมถังแตกและมีงบประมาณจำกัดจำเขี่ยมาโดยตลอดจากหนี้ยุคเจ้าของเก่าอย่าง ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ต ที่สร้างไว้ในช่วงก่อนปี 2010 

การที่ต้องใช้เงินที่มีให้คุ้มค่า และการทุ่มซื้อนักเตะแต่ละคนก็ต้องเป็นคนที่ไม่แพงเกินไป อยู่คู่กับ ลิเวอร์พูล อยู่พักใหญ่ จนทุกอย่างเริ่มดีขึ้นจากการเข้ามาของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือผู้พา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว่ำ บาเยิร์น มิวนิค ในบุนเดสลีกา ด้วยทฤษฎี Moneyball นั่นคือซื้อนักเตะที่ไม่ดังด้วยราคาที่ไม่แพงมาก จากนั้นก็ปั้นจนเป็นสตาร์และขายออกไปในราคาแพง ๆ 

การเข้ามาของ คล็อปป์ เมื่อช่วงปลายปี 2015 ไม่ได้วางรากฐานแค่เรื่องของแท็คติกในสนามเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงการเลือกนักเตะเข้ามาเสริมทัพด้วย ซึ่งนักเตะจาก บุนเดสลีกา ที่ คล็อปป์ คุ้นเคย คือสิ่งที่ตอบโจทย์กับ ลิเวอร์พูล ในช่วงเริ่มต้นยุคสมัยของเขาเป็นอย่างมาก แต่ คล็อปป์ วางรากฐานการซื้อตัวให้ ลิเวอร์พูล อย่างไร ?

อย่างแรกที่สำคัญที่สุดคือ คล็อปป์ นั้นไม่สนใจแค่ชื่อเสียงหรือค่าตัว แต่ต้องการนักเตะที่ "เข้ากับระบบ" ของเขา เช่น ความฟิต, การเพรสซิ่ง, การเล่นบอลในจังหวะเปลี่ยนเกมเร็ว (Transition) ซึ่งเป็นหัวใจหลักสำหรับแท็คติก "เกเก้นเพรสซิ่ง" อันเลื่องชื่อ 

บุนเดสลีกา เป็นลีกที่เน้นความเร็ว เพรสซิ่ง และมีระเบียบวินัยในระบบการเล่น ซึ่งเป็น DNA ของหลายสโมสรในลีกเยอรมัน โดยมีสถิติยืนยันหลายข้อเช่น เช่นในฤดูกาล 2023-24 ทีมจาากบุนเดสลีกามีระยะวิ่งโดยเฉลี่่ยต่อเกมอยู่ที่ประมาณ 115-120 กิโลเมตรต่อเกม ซึ่งสูงกว่าทีมในพรีเมียร์ลีกอีกหลายทีม โดยมีทีมจากบุนเดสลีกาถึง 5 ทีม ที่ติดท็อป 10 ทีมที่วิ่งโดยเฉลี่ยต่อเกมมากที่สุดของลีกยุโรป (อันดับ 1 คือ ไลป์ซิก ที่มีระยะวิ่งเฉลี่ย 118 กิโลเมตร/เกม) 

นอกจากนี้ยังมีอีกสถิติที่ชี้ว่าทีมจากบุนเดสลีกา เล่นเพรสซิ่งได้เก่งที่สุดในยุโรปคือ พวกเขามีสถิติ PPDA (Passes Per Defensive Action) หรือแปลเป็นไทยคือ "ปล่อยให้คู่แข่งได้จ่ายบอลกันกี่ครั้งพวกเขาจึงแย่งบอลกลับมาได้" ซึงทีมหัวแถวอย่าง เลเวอร์คูเซ่น, บาเยิร์น มิวนิค และ ไลป์ซิก ติดท็อป 10 ยุโรปทั้งสิ้น 

จากตัวเลขดังกล่าว ค่อนข้างแน่ชัดว่านักเตะจาก บุนเดสลีกา มีความคุ้นชินกับการเพรสซิ่ง และการเปลี่ยนรับรุกโดย DNA คล้ายกับ ลิเวอร์พูล ในยุคของ คล็อปป์ ที่มีแนวทางในเชิงแท็คติกที่มีโครงสร้างเดียวกัน แต่อาจจะแตกต่างในส่วนของรายละเอียด ... ดังนั้นเองนักเตะที่มาจากบุนเดสลีกา เมื่อมาอยู่ในทีม ลิเวอร์พูล ยุค คล็อปป์ พวกเขาไม่ต้องเริ่มทุกอย่างจาก 0  หากเทียบกับนักเตะจาก เซเรีย อา หรือ ลา ลีกา ที่มีจังหวะการเล่นที่แตกต่างกันออกไป 

และจะมีใครรู้เรื่องนักเตะจากลีกเยอรมันได้ดีกว่า คล็อปป์ อีก ? เนื่องจาก คล็อปป์ มีประสบการณ์ทำงานโค้ชในเยอรมันมานานกว่า 15 ปี (ไมนซ์, ดอร์ทมุนด์) มันทำให้เขารู้จักบุคลากร, รู้จักสโมสรต่าง ๆ รวมถึงระบบพัฒนาเยาวชนของเยอรมันอย่างลึกซึ้ง และมันทำให้เขามีภาพในหัวที่ชัดเจน ซึ่งเมื่อเอามากระกอบกับเหตุผลของทีมสรรหา ก็นับว่าเป็นอะไรที่ "ตรงกัน" 

นั่นเป็นเหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ในยุค คล็อปป์ ได้ของดีมาจากบุนเดสลีกาหลายคน อาทิ โจเอล มาติป, อิบราฮิมา โกนาเต้, ไรอัน กราเฟนแบร์ก และ โดมินิค โซโบสไล ... ยังมีอีกหลายชื่อที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แต่เมื่อนักเตะย้ายมาแล้วเล่นได้ เข้าใจแท็คติก ที่สำคัญสุด ๆ ก็คือ นักเตะจากบุนเดสลีกาส่วนใหญ่มีราคาไม่แพงอีกด้วย เรียกได้ว่าถ้าวิเคราะห์คัดสรรดี ๆ ก็มีสิทธิ์จะได้ของดีในราคาสบายกระเป๋า

 

ตาดีมากมาย ตาร้ายนิดนึง 

นอกจากเชิงแท็คติกที่นักเตะจากลีกเยอรมันมีแนวโน้มจะเล่นในระบบเกเก้นเพรสซิ่งของ ลิเวอร์พูล ยุค คล็อปป์ ได้ดีกว่าลีกอื่น ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับแท็คติกก็คือเรื่องของราคาค่าตัว ซึ่งในลีกเยอรมัน โดยเฉพาะช่วงที่ 3-4 ปีก่อน พวกเขามักจะขายนักเตะออกจากทีมด้วยราคาที่ไม่ได้สูงมาก นั่นทำให้เหมาะกับสถานะการเงินของ ลิเวอร์พูล ในเวลานั้นด้วย 

ด้วยโครงสร้าง 50+1 ของสโมสรในเยอรมัน ทำให้แฟนบอลมีเสียงข้างมากกว่าเจ้าของทีมหรือเศรษฐีนักลงทุน ลีกเยอรมันจึงไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องการปั่นราคานักเตะให้แพงมหาศาลเหมือนกับที่ลีกอังกฤษเป็น 

ทีมจากเยอรมันส่วนใหญ่มุ่งเน้นการพัฒนาเยาวชนและบริหารทีมอย่างระมัดระวังมากกว่า ดังนั้นหลายสโมสรจึงเน้นการ "พัฒนาแล้วขาย" มากกว่ากร "เก็บเอาไว้เพื่อสร้างซูเปอร์สตาร์" ด้วยความที่มีระบบที่แน่น ปลูกฝังกันมาตั้งแต่รุ่น ยู 12 ทำให้แต่ละทีมมีนักเตะขึ้นมาเป็นตัวแทนนักเตะเก่า ๆ ขึ้นมาในทุก ๆ ปี จึงทำให้พวกเขามักขายนักเตะในราคาที่เหมาะสมต่อรองได้ทำให้ดีลเกิดขึ้นง่าย และทีมก็จะได้เงินไปหมุนเวียนใช้งานต่อ 

นอกจากนี้วัฒนธรรมของฟุตบอลเยอรมัน ก็ยังมองเรื่อง "การหมุนเวียนนักเตะ" เป็นเรื่องปกติ พวกเขามองว่าการขายนักเตะเก่ง ๆ ถือเป็น "ความสำเร็จของระบบพัฒนา" ไม่ใช่ความล้มเหลว ... ดังนั้นเมื่อได้ราคาที่เหมาะสม พวกเขาก็พร้อมขาย ทีมจากบุนเดสลีกาจึงไม่ยืดเยื้อ ดีลยาก ซึ่งเราเชื่อว่าใครที่ตามข่าวซื้อขายบ่อย ๆ จะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี

กลับมาว่ากันด้วยเรื่องของ ลิเวอร์พูล กันต่ออีกครั้ง ... แม้การซื้อนักเตะจากบุนเดสลีกาจะตอบโจทย์ทั้งราคาที่ไม่แพง และตัวนักเตะที่มี DNA ฟุตบอลเยอรมันอยู่ในตัว คุ้นเคยกับวิธีการเล่นที่คล้าย ๆ กับ "เกเก้นเพรสซิ่ง" อยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่า ลิเวอร์พูล จะมีแต่ดีลที่สำเร็จเพียงอย่างเดียว เพราะนักเตะบางคนที่ย้ายจาก บุนเดสลีกา ก็ไม่สามารถเปล่งประกายในถิ่นแอนฟิลด์ได้เช่นกัน 

ยกตัวอย่างเช่น ติอาโก้ อัลคันทาร่า หรือ นาบี เกอิต้า ที่ก็เป็นนักเตะจากบุนเดสลีกา ซึ่ง ลิเวอร์พูล ซื้อมาด้วยราคาที่ไม่เบา แต่ก็ถูกมองว่าเป็นดีลที่ล้มเหลว ... ซึ่งจะว่าไปทั้ง 2 คนก็ใช้ว่าจะเป็นนักเตะที่ผิดฝา ผิดตัว ซื้อมาแล้วเล่นไมได้เลยเหมือนกับโดนย้อมแมวขายเสียทีเดียว ทั้งคู่ก็เป็นตัวหลักในช่วงเวลาหนึ่ง และมีส่วนต่อการคว้าแชมป์ในรุ่นของตัวเองเช่นกัน เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้สองคนนี้ถูกมองว่าล้มเหลว ก็คือการยืนระยะยาว ๆ ไม่ได้ ซึ่งหลัก ๆ แล้วก็มาจากปัญหาอาการบาดเจ็บที่ทั้งคู่เจ็บบ่อยมาก จนทำให้ไม่สามารถเป็นกำลังหลักของทีมไปยาว ๆ ได้  

กลับกัน หากคุณมองไปที่ดีลนักเตะจาก บุนเดสลีกา ที่ ลิเวอร์พูล ซื้อมาแล้วประสบความสำเร็จ คุณก็จะเห็นว่ามีเยอะแยะมากมาย ที่ซื้อมาแล้วตอบโจทย์ทั้งเชิงกลยุทธ์ ทัศนคติความทุ่นเท และการมีส่วนสำคัญในการเป็นหนึ่งเดียวกันของทีม อาทิ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่ไมได้แค่เล่นดีในสนามเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่สร้างเสียงหัวเราะ สร้างบรรยากาศดี ๆ ให้กับทีม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ ลิเวอร์พูล เน้นย้ำมาก ๆ ตั้งแต่รุ่นที่ คล็อปป์ คุมทีมอยู่

คุณจะแทบไม่เห็นว่านักเตะที่ ลิเวอร์พูล ดึงตัวมาจากบุนเดสลีกา เป็นนักเตะประเภท Toxic หรือเป็นไวรัสของทีมเลยแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งนักเตะที่หลายคนมองว่าล้มเหลวอย่าง ติอาโก้, เกอิต้า หรือแม้กระทั่งตัวตลกของทีมอื่น ๆ อย่าง ลอริส คาริอุส หรือ โอซาน คาบัค ก็ยังเป็นนักเตะที่แฟน ลิเวอร์พูล รักและอวยพรให้โชคดีในอาชีพค้าแข้งเสมอ  

เรียกได้ว่านักเตะจากบุนเดสลีกาไม่ได้มีแค่พลังกายและความเข้าใจในเชิงแท็คติกเท่านั้น แต่ทัศนคติของพวกเขา ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ติดใจ จนไปคว้าตัวนักเตะจากบุนเดสลีกามาอีก 3 คนในซัมเมอร์นี้ได้แก่ ฟริมปง, เวียตซ์ และ เอกิติเก้ ซึ่งทั้ง 3 รายนี้ มีความคาดหมายที่แตกต่างออกไปจากกลุ่มนักตะจากบุนเดสลีกา ที่ ลิเวอร์พูล ซื้อมาในยุคของ คล็อปป์ พอสมควร เพราะตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

ลิเวอร์พูล ไม่จน และอยากขยายความยิ่งใหญ่ 

การใช้ทฤษฎีแนวคิด Moneyball แบบซื้อถูกขายแพง รวมถึงผลงานทั้งในสนามและการตลาดทำให้ ลิเวอร์พูล พลิกฟื้นกลับมาเป็นทีมที่ร่ำรวยเงินทอง และความสำเร็จในปัจจุบัน ซึ่งพวกเขาไม่หยุดแค่นั้น ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาก้าวต่อไปเพื่อความยิ่งใหญ่ที่มากกว่าเดิม ดังนั้นการทุ่มแหลกในซัมเมอร์นี้จึงเกิดขึ้น

ฤดูกาล 2024-25 ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในยุคของกุนซือคนใหม่อย่าง อาร์เน่อ ชล็อต และต้องการมันมากขึ้นอีกด้วยการทำในสิ่งที่ คล็อปป์ ทำไมได้ นั่นคือการป้องกันแชมป์ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อย่างการคว้า ทริปเปิลแชมป์ หรือ 3 แชมป์ (แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์เอฟเอคัพ, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก) แบบที่ยอดทีมของโลกหลาย ๆ ทีมเคยทำมาก่อน ยิ่งถ้าทำ ควอรับเบิลแชมป์ หรือ 4 แชมป์ (แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์เอฟเอคัพ, แชมป์ลีกคัพ, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก) ก็ยิ่งดี การเสริมทัพครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น 

การเสีย เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ไปให้กับ เรอัล มาดริด ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถรอปั้นเด็กอย่าง คอเนอร์ แบรดลี่ย์ มาใช้งานเป็นตัวหลักได้ทันที ในยุคที่ฟุตบอลลีกเต็มไปด้วยเสือสิงห์กระทิงแรด และในฟุตบอลยุโรปก็เข้มข้นในเชิงแท็คติกมากขึ้น สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็ไม่รอช้า ปิดดีล เจเรมี่ ฟริมปง แบ็คจอมบุกจาก เลเวอร์คูเซ่น มาอย่างรวดเร็ดหลังตลาดเปิดได้ไม่กี่วัน 

คุณภาพของ ฟริมปง คงไม่ต้องพูดกันให้มากความ นี่คือวิงแบ็กชุดแชมป์บุนเดสลีกาไร้พ่ายเมื่อฤดูกาล 2023-24 สถิติการยิงประตูและแอสซิสต์เด่นชัด และมีวิธีการเล่นที่เป็นสายบุก มีความฟิตวิ่งขึ้น-ลงทั้งเกม การมาของ ฟริมปง จะทำให้แผลจากการจากไปของ เทรนท์ จางลง แม้จะขาดบอลยาวสวย ๆ แต่ก็จะได้ความรวดเร็วทะลุทะลวงเข้ามาแทนที่ นั่นทำให้เขามีราคา 35 ล้านปอนด์ ถือเป็นการใช้เงินที่ไม่แพงเลยสำหรับหนึ่งในแบ็คขวาที่เด่นที่สุดในช่วง 2 ปีหลัง

เท่านั้นยังไม่พอ ลิเวอร์พูล ลบภาพลักษณ์ของทีมจอมประหยัด ไม่ทุ่มซื้อนักเตะดังและแพงอย่างหมดจดในซัมเมอร์นี้ ด้วยการคว้าตัว โฟลเรียน เวียตซ์ เพลย์เมคเกอร์จาก เลเวอร์คูเซ่น ที่ต้องถือว่าเป็นระดับตัวท็อปพรสวรรค์ของรุ่นด้วยราคารวม 130 ล้านปอนด์ ... การจ่ายแบบที่ไม่เคยกล้าจ่ายขนาดนี้ ไม่มีอะไรมากกว่าไปกว่าการที่ ชล็อต จะมองว่า เวียตซ์ คือสิ่งที่ทีมมองหาในฤดูกาลที่แล้ว นั่นคือการโจมตีของตัวรุกหมายเลข 10 ที่ปราดเปรียว แม่นยำ และมีจินตนาการในการเข้าทำ 

สถิติการสร้างเกมรุกในพื้นที่สุดท้ายของ เวียตซ์ ชนะนักเตะตำแหน่งเบอร์ 10 ของ ลิเวอร์พูล ที่ ชล็อต ใข้งานในซีซั่นที่แล้วอย่าง โซโบสไล และ เคอร์ติส โจนส์ อย่างขาดลอยแทบทุกด้าน ทั้งการยิง แอสซิสต์ และการสร้างโอกาสสำคัญให้กับทีม เป็นเหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ยอมจ่าย เพราะ ชล็อต รู้ดีกว่าการแข่งขันในฐานะแชมป์เก่า จะทำให้คู่แข่งเล่นกับ ลิเวอร์พูล อย่างระมัดระวัง หลาย ๆ ทีมจะต้องะตั้งรับลึกแทบจะเอารถบัสมาจอดอย่างไม่ต้องสงสัย ...  เวียตซ์ เปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญที่จะเข้าไปสตาร์ทและย้ายรถบัสคันนั้นให้ออกไปจากการขวางทางการยิงประตูของ ลิเวอร์พูล 

และท้ายที่สุดคือ อูโก้ เอกิติเก้ อีกเกือบ 80 ล้านปอนด์จาก แฟรงค์เฟิร์ต ซึ่งรายนี้ชัดเจนว่าการเป็นเบอร์ 9 ธรรมชาติของเขา ที่มีความยืดหยุ่นหลากหลาย มีจุดเด่นทั้งการครองบอล การยิงประตู และทักษะการเอาตัวรอดในที่่แคบ ๆ จนเขาสามารถถ่างออกไปเล่นเป็นตัวริมเส้นได้ เป็นสิ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ในยุคสานต่อความยิ่งใหญ่ต้องคว้าตัวเขามาร่วมทีม เพราะตำแหน่งเบอร์ 9 ในฤดูกาลที่แล้ว ชล็อต ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่าง หลุยซ์ ดิอาซ และ ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเขายังไม่เจอคนที่ถูกใจ  

ไม่ว่าคุณจะมอง เอกิติเก้ ด้วยตาเปล่าจากการถ่ายทอดสดหรือคลิปวีดีโอ หรือคุณจะเอาตัวเลขและสถิติมายืนยัน คุณก็จะพบว่าเขาคนนี้เหมาะกับฟุตบอลที่เปลี่ยนรับเป็นรุกเร็ว เล่นในกรอบเขตโทษได้ดี อีกทั้งยังเป็นคนที่พาบอลเข้ากรอบเขตโทษคู่แข่งได้เกิน 50 ครั้ง (แตะบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่ง 200 ครั้ง) ... และใน 5 ลีกดังของยุโรป ไม่มีนักเตะตำแหน่งกองหน้าคนไหนเทียบเท่าเขาได้เลยในสถิตินี้

22 ประตูกับอีก 12 แอสซิสต์ ของ เอกิติเก้ สามารถช่วยการันตีได้ในระดับหนึ่งว่าปัญหาเบอร์ 9 ของ ลิเวอร์พูล จะถูกแก้ไขให้ดีขึ้นได้ จากการเข้ามาของเขา ... ทั้ง 3 คนคือตัวท็อปของบุนเดสลีกา และ ลิเวอร์พูล จัดการฟาดด้วยเงินแบบไม่เลี้ยง เพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรที่รออยู่ข้างหน้า ที่เหลือเราก็มารอลุ้นกันว่า อาร์เช่อ ชล็อต จะปรุงอาหารจานนี้ที่ประกอบด้วยวัตถุดิบสุดพรีเมี่ยมออกมาได้กลมกล่อมขนาดไหน 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.planetfootball.com/quick-reads/thiago-next-the-nine-players-liverpool-have-signed-from-the-bundesliga
https://www.nytimes.com/athletic/6434472/2025/06/19/hugo-ekitike-how-good-is-he/
https://www.goal.com/en/lists/michael-edwards-liverpool-most-important-signing-post-jurgen-klopp-plan/blt48134d8b9831eb53#cs7daa15a4393f0146
https://www.goal.com/en/news/liverpools-laptop-guru-michael-edwards-the-hidden-genius-behind-van-dijk-mane--salah-signings/1fx0rea07yt8c1pcaubwiygl32
https://www.thisisanfield.com/2025/05/19-of-liverpools-staff-members-key-to-premier-league-title-they-work-so-hard/
https://www.nytimes.com/athletic/6404089/2025/06/05/florian-wirtz-liverpool-transfer-germany/
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c057vrqp9p1o

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ