การเลือกตั้งประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย เสร็จสิ้นไปแล้วนานกว่า 1 เดือน ทว่ายังคงมีควันหลงที่ร้อนแรงจากตัวแทนของแคนดิเดตทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพะประเด็นการ “ซื้อเสียง 200 ล้านบาท” ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ... ติดตามได้ที่ Main Stand
💸 ซื้อเสียง 200 ล้าน ? 💸
ชนวนเหตุทั้งหมดเกิดจากการที่จู่ ๆ เว็บไซต์แห่งหนึ่งได้ลงเนื้อหาอ้างการให้ข้อมูลของ ศ.(พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน ประธานในการเลือกตั้ง ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ครั้งนี้ผ่านมา โดยใช้พาดหัวว่า “ศ.เจริญอนาถ !! แฉเลือก ปธ.โอลิมปิค เตรียมเงินซื้อเสียง 200 ล้าน มี 2 แห่งรับ แต่โชคดีส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย”
โดยใจความในเนื้อหาที่ลงในเว็บไซต์เมื่อวันที่ 30 เม.ย.68 ระบุว่า
“ฝ่ายแพ้แก่ขวยออกสื่อว่าประธานการเลือกตั้งไม่เป้นกลางอย่างน่าสมเพศ วางแผนใช้เงิน 200 ล้านบาท เพื่อซื้อเสียง เสียงละ 5 ล้าน แต่สมาคมรับไว้เพียง 2 แห่ง พอหมดท่าก็แก้ขวยว่าเป็นการบริจาคด้วยความรักวงการกีฬา น่าเศร้าใจและอนาถใจที่มาถึงยุคนี้ยังมีคนบริหารกีฬาที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้”
ทั้งนี้ ข้อความในเว็บไซต์ดังกล่าว ระบุแค่เพียง “ศ.(พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน ให้ข้อมูลว่า” เท่านั้น โดยไม่มีการยืนยันบทสัมภาษณ์ที่เป็นคลิปหรือโควทคำพูดของเจ้าตัวถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด และปัจจุบันลิงค์ต้นเรื่องก็ถูกลบไปแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฝ่ายที่ถูกพาดพิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ 2 สมาคมที่เพิ่งได้รับเงินสนับสนุนเพื่อการกีฬาจาก สุชัย พรชัยศักดิ์อุดม แคนดิเดตที่แพ้เลือกตั้ง คือ สมาคมกีฬารักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทย และ สมาคมกีฬาฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้งแห่งประเทศไทย
กระทั่ง สุชัย พร้อมด้วยผู้สนับสนุนอย่าง พลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคฯ, ดร.มนตรี ไชยพันธุ์ อดีตรักษาการผู้ว่าการ กกท., ดร.สีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ นายกสมาคมกีฬาฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้งฯ และอรรถพล วงศ์รัตน์ ผู้จัดการสมาคมกีฬารักบี้ฟุตบอลฯ ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงข้อเท็จจริง
🏉 เงิน 200 ล้านมาจากไหน ? 🏉
ในการแถลงข่าว สุชัยยืนยันว่าเงิน 200 ล้านบาท มีที่มาจาก “นโยบายกองทุนจากภาคเอกชน 200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนและให้การช่วยเหลือสมาคมกีฬาที่ได้รับความเดือดร้อน“ หากตนเองชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นแนวคิดของ ดร.มนตรี ไชยพันธุ์ ที่ไม่เกี่ยวกับการใช้เงินซื้อเสียงแต่อย่างใด
กองทุนดังกล่าวจะสนับสนุนเงินให้แก่สมาคมที่เดือดร้อน โดยเซ็นสัญญา 3 ฝ่าย คือ กกท. สมาคมกีฬา และกองทุนของประธานโอลิมปิค ในรูปแบบให้ยืมและใช้คืน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณและการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนวงการกีฬาที่ไม่คล่องตัวตามระบบของราชการ
“เรื่องนี้มีการศึกษาและไม่ขัดกับหลักกฎหมายแต่อย่างใด และก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีกับวงการกีฬาไทย หากกองทุนดังกล่าวจัดตั้งได้แล้วเสร็จสมบูรณ์” ดร.มนตรี เผย
นอกจากจะตั้งโต๊ะชี้แจงแล้ว ในการแถลงข่าวยังมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้ที่ถูกพาดพิงได้ออกมาเทคแอ็คชั่นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ สมาคมกีฬารักบี้ฯ ที่อาจจะมีการฟ้องหมิ่นประมาทในอนาคต
รวมถึง พลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของสุชัยที่ออกมาตอบโต้ ศ.(พิเศษ) เจริญ อย่างถึงพริกถึงขิง โดยมองว่าเจ้าตัวในฐานะประธานการเลือกตั้งไม่ได้เป็นกลางจนตนเองหมดศรัทธา
💦 สาดโคลนไปมา 💦
จากกรณีที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าข้อพิพาททั้งหมด ล้วนถูกสาดกันไปมาระหว่างผู้สนับสนุนหรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของแคนดิเดตทั้ง 2 รายเท่านั้น โดยที่ทั้งผู้ชนะอย่าง ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ และผู้แพ้ สุชัย พรชัยศักดิ์อุดม ต่างก็ไม่เคยออกมาโจมตีกันและกัน
ผศ.พิมล เองตั้งแต่ได้รับชัยชนะก็ไม่เคยออกมาพูดพาดพิงถึงอีกฝ่าย ขณะที่ตัวสุชัยเองก็ยอมรับความพ่ายแพ้และไม่เคยออกมาตีโพยตีพาย
“ฝากถึงคณะกรรมการโอลิมปิคนะครับ ผมแพ้ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และยินดีที่จะช่วยกันสนับสนุนกีฬาของประเทศ คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศ ให้ประชาชนคนไทยมีความยินดีกับความเป็นเลิศของนักกีฬาไทย ผมไม่อยากเข้ามาหาเรื่อง อยากเข้ามาสนับสนุนช่วยกันครับ” สุชัย เปิดใจ
ดังนั้นข้อพิพาทที่เกิดขึ้น แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีส่วนช่วยส่งเสริมวงการกีฬาไทยแม้แต่น้อย ไม่ว่าข่าวที่ออกมาจะเป็น ศ.(พิเศษ) เจริญ ที่เป็นผู้ให้ข้อมูลดังกล่าวด้วยตัวเองจริง หรือเป็นเว็บไซต์ที่เต้าขึ้นมาเองโดยไม่มีหลักฐาน รวมถึงการที่มีอีกฝั่งเลือกออกมาตอบโต้โดยใช้อารมณ์และอคติส่วนตัว
เรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ