News

"เจ้าชายจิ้งจอก" เจมี่ วาร์ดี้ ชายผู้ไม่เคยหมดแพชชั่นกับ เลสเตอร์ ซิตี้

ย้อนกลับไปในศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2022-23 เลสเตอร์ ซิตี้ จบอันดับที่ 18 ของตารางด้วยการเก็บได้เพียง 34 คะแนน แพ้ไปถึง 22 จาก 38 เกม ส่งผลให้พวกเขาตกชั้นสู่ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ แบบช็อคแฟนบอล เพราะเมื่อฤดูกาล 2015-16 "จิ้งจอกสยาม" เพิ่งจะเถลิงบัลลังก์แชมป์ไปเอง

 


จึงไม่แปลกเลยที่บรรดานักเตะชื่อดัง อาทิ เจมส์ แมดดิสัน, ยูริ ติเลอมองส์, ฮาร์วีย์ บาร์นส์ ฯลฯ จะพาเหรดกันย้ายไปอยู่กับสโมสรอื่นเพื่อต่อยอดเส้นทางอาชีพ แต่ไม่ใช่กับ เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าวัยเก๋าที่รับใช้ทีมมาอย่างยาวนาน เพราะไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร เขาก็พร้อมที่จะอยู่กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ต่อไป กระทั่งพาทีมกลับสู่พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ได้ภายในเวลาปีเดียว

ติดตามเรื่องราวของ เจมี่ วาร์ดี้ แข้งนอกลีก สู่ "เจ้าชายจิ้งจอกสยาม" ได้ที่ Main Stand

ตอนยังเป็นเยาวชน เจมี วาร์ดี้ เริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลที่ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ แต่ในวัย 16 ปีเขาถูก "ทีมนกเค้าแมว" ปล่อยตัว จึงทำให้เขาเลือกที่จะไปเล่นฟุตบอลกับ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ ทีมระดับดิวิชั่น 8 หรือ ลีกต่ำสุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อปี 2003 ก่อนจะพัฒนาตนเองจนได้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรแห่งนี้ในวัย 20 ปี

ซึ่งแน่นอนว่าค่าตอบแทนที่ เจมี วาร์ดี้ ได้รับนั้นน้อยมาก ๆ เพียง 30 ปอนด์/สัปดาห์ (ราว 1,400 บาทไทย) เท่านั้น เนื่องด้วยสถานะของสโมสร ซึ่งทำให้เขาต้องทำงานโรงงานควบคู่กับอาชีพนักฟุตบอลไปด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สัญชาติญาณการทำประตูของ เจมี วาร์ดี้ ลดน้อยลด เพราะตลอด 4 ปีภายใต้ยูนิฟอร์ม สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ เขาถือเป็นตัวจบสกอร์ที่หลายทีมจับตามอง

ปี 2010 เจมี วาร์ดี้ ได้ย้ายมาอยู่ในทีมระดับที่สูงขึ้นอย่าง ฮัลลิแฟ็กซ์ ทาวน์ ทีมในดิวิชั่น 7 ตอนนั้น และพาทีมเลื่อนชั้นได้สำเร็จทันทีในฤดูกาลแรกที่เขามาถึง ฟลีตวูด ทาวน์ จึงทำการชักชวนเขามาล่าตาข่ายให้ทีมในฤดูกาล 2011-12 และเป็นอีกครั้งที่ เจมี วาร์ดี้ สามารถพาต้นสังกัดเลื่อนชั้น ซึ่งเป็นการเลื่อนชั้นสู่ฟุตบอลลีกทางการครั้งแรกของสโมสร ขณะที่ วาร์ดี้ ครองตำแหน่งดาวซัลโว ยิงไป 31 ประตู

กระทั่งหน้าร้อนปี 2012 สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่อยู่ใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ก็ประกาศคว้าตัว เจมี่ วาร์ดี้ แบบเงียบ ๆ ถึงขนาดที่ช่างภาพและทีมงานของสโมสร ไม่ได้เตรียมชุด เครื่องแต่งกาย หรืออุปกรณ์ใด ๆ สำหรับถ่ายรูปเปิดตัวเขา ซึ่งว่ากันว่า เลสเตอร์ ซิตี้ จ่ายค่าตัวของ เจมี่ วาร์ดี้ ณ เวลานั้น เพียง 1 ล้านปอนด์เท่านั้น แต่ก็นับเป็นตัวเลขที่เยอะสำหรับผู้เล่นที่มาจากทีมนอกลีก

ซีซั่นแรกของ เจมี่ วาร์ดี้ ภายใต้ ยูนิฟอร์ม "จิ้งจอก" นั้นไม่ได้สวยหรูและหนักหนาสาหัสสำหรับเขามากเนื่องจากเขาทำได้เพียง 5 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ จาก 29 เกมที่เขาลงสนาม และเจ้าตัวเองก็ไม่ค่อยแฮปปี้สักเท่าไร ถึงขั้นที่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าอยากกลับไปค้าแข้งกับ ฟลีตวูด ทาวน์ อย่างไรก็ตามทั้งผู้จัดการทีมรวมถึงทีมงานสตาฟฟ์ก็ช่วยกันกล่อมเขาให้อยู่กับทีมต่อได้สำเร็จ

และในฤดูกาล 2013-14 กองหน้าลูกทุ่งรายนี้ก็ไม่ทำให้สโมสรผิดหวัง พา เลสเตอร์ ซิตี้ เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ในฐานะแชมป์ แต่ในฤดูกาล 2014-15 เจมี วาร์ดี และผองเพื่อนกลับต้องเจองานแข็งทำภารกิจหนีตกชั้นจากลีกสูงสุด จนช่วยให้สโมสรอยู่รอดได้

อย่างไรก็ดีในปีถัดมาถือเป็นเทพนิยาย "จิ้งจอกสยาม" เพราะ เจมี วาร์ดี เป็นส่วนสำคัญในการพาทีมชูถ้วยแชมป์พรีมียร์ ลีก อังกฤษ ครั้งประวัติศาสตร์ ในฤดูกาล 2015-16 ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี กุนซือชาวอิตาลี และยังช่วยใแฟนบอลชายคนหนึ่งที่กล้าเดิมพันอัตรา 5000/1 หาก "จิ้งจอกสยาม" ได้ชูถ้วย ให้กลายเป็นเศรษฐีอีกด้วย

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อของ เจมี วาร์ดี้ ก็เข้าไปอยู่ในสารบบทีมชาติอังกฤษ พร้อมเข้าไปนั่งอยู่ในใจแฟนบอลเลสเตอร์ ด้วยสไตล์การเล่นแบบกล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวใคร แถมยังรักสโมสรสุดหัวใจ โดยเครื่องหมายการค้าที่หลายคนจำเป็นภาพติดตาคงหนีไม่พ้นการกระดกเครื่องดื่มชูกำลังก่อนลงสนาม ซึ่งเขาให้เหตุผลกับการกระทำนี้ของตนเองว่า

"ผมอาจลดการดื่มเครื่องดื่มแบบนี้ลง เพราะเมื่อก่อนตอนผมเล่นอยู่กับ ฟลีดวู้ด ทาวน์ ผมเคยพกเครื่องดื่ม Monster ติดตัวมาก่อน ผมเคยดื่มหนักถึงวันละ 2 กระป๋องด้วยนะ"

"แต่ผมก็ตอบไม่ได้ว่าผมเริ่มติดมันตอนไหน เพราะผมไม่รู้จริง ๆ แต่เท่าที่จำได้คือผมเตัดสินใจเริ่มดื่ม ProPlus Red Bull ในฤดูกาล 2015-16 ปกติแล้วผมไม่ได้เป็นคนเชื่อโชคลาง แต่ตั้งแต่วินาทีที่ผมยิงประตูในเกมกับ ซันเดอร์แลนด์ ในวันเปิดฤดูกาล 2015-16 ผมไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร" เจมี วาร์ดี ระบุไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตนเอง

หลังจากนั้นแม้ เลสเตอร์ ซิตี้ จะไม่ได้มีถ้วยแชมป์ติดมือหรือประสบความสำเร็จอะไรมากนัก แต่ เจมี วาร์ดี้ ก็ยังเป็นแข้งที่ทุ่มเทและเป็นที่รักของแฟนบอลอยู่เสมอ ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเมื่อซีซันที่แล้วที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ตกชั้นและมีนักเตะย้ายออกค่อนทีม ทว่า เจมี่ วาร์ดี้ ประกาศกร้าวว่าจะขออยู่สู้เพื่อสโมสรต่อไป

และในวัย 37 ปี เจมี วาร์ดี ก็ยังไม่หยุดทำให้แฟน ๆ หลงรัก เพราะเขาพาทีมกลับมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งหลังตกชั้นไปเพียงปีเดียว ยิงให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปทั้งสิ้น 20 ประตู 4 แอสซิสต์ จาก 36 เกมรวมทุกรายการในฤดูกาล 2023-24

และในซีซัน 2024-25 เราจะได้เห็น เจมี วาร์ดี กลับมาโลดแล่นในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ แน่นอน หลังเจ้าตัวให้สัมภาษณ์แบบสั้น ๆ คม ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า "ผมยังไม่มีแผนสำหรับแขวนสตั๊ดเลยนะตอนนี้"

สุดท้าย หลายคนอาจมองว่าตอนนี้เป็นขาลงของ เจมี่ วาร์ดี้ แต่หากดูจากตัวเลขสถิติการทำประตูใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ระหว่าง ฤดูกาล 2013-14 (16 ประตู) และ 2023-24 (18 ประตู) จะเห็นได้ว่า เจมี่ วาร์ดี้ ยิงได้มากกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วเสียอีก

Author

รณกฤต ตุลยะปรีชา

วัยรุ่นคู้บอน

Graphic

วิสุทธา วงค์หน่อแก้ว

หนุ่มน้อยผู้คลั่งรัก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดหัวใจ