Feature

Trackhouse Racing : ทีมดัง NASCAR ที่ขอซ่าใน MotoGP | Main Stand

Trackhouse Racing เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์หน้าแรกให้กับทีมในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP ได้สำเร็จ หลังจากที่ ราอูล เฟร์นานเดซ คว้าชัยชนะในการแข่งขันที่ ฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย นี่คือความสำเร็จครั้งใหญ่ของทีมน้องใหม่ที่อายุยังไม่ถึงสองขวบดีเลยด้วยซ้่ำ

 


ความน่าสนใจของทีมนี้คือเบื้องหลังอันไม่ธรรมดา พวกเขาคือทีมสัญชาติอเมริกันที่โด่งดังจากเวที NASCAR ศึกรถแข่งสี่ล้ออันดับ 1 ของแดนพญาอินทรี ก่อนจะสร้างความประหลาดใจด้วยการข้ามฟากมาลุยศึกสองล้อ แถมเป็นในเวทีระดับโลกเสียด้วย

และนี่คือเรื่องราวของทีมที่ถูกขนานนามว่าเป็น "ทีมที่แปลกที่สุด" บนกริด MotoGP ในเวลานี้

 

เสือเหลืองเมื่อชาติปางก่อน

จุดกำเนิดของทีมต้องย้อนกลับไปในปี 2014 เมื่ออดีตนักแข่งอย่าง โยฮัน สติจเฟลท์ ได้ก่อตั้งทีมของตัวเองขึ้นมาเพื่อลงแข่งขันในรุ่น Moto2 โดยใช้รถแข่ง Caterham และได้รับการสนับสนุนจากสายการบิน Air Asia ในฤดูกาลนั้น ทีม AirAsia Caterham Moto Racing จบอันดับที่ 6 ของตารางคะแนน โดยมีนักแข่งอย่าง โยฮันน์ ซาร์โก้ และ จอช แฮร์ริน อีกทั้ง "ฟิล์ม" รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดชาวไทย ยังมาลงแข่งให้กับทีมช่วงสั้น ๆ อีกด้วย

ก่อนที่ในปี 2015 ทีมจะเปลี่ยนโฉมเป็น Sepang International Circuit Racing Team (หรือ Sepang Racing Team หรือ SRT) พร้อมตัดสินใจย้ายมาลงแข่งรุ่นเล็กอย่าง Moto3 โดยมีจุดมุ่งหมายเป็นเวทีปั้นนักบิดดาวรุ่งสัญชาติมาเลเซีย ตามปณิธานของ ราซลัน ราซาลี่ CEO ของ เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สนามแข่งรถระดับโลกในแดนเสืองเหลือง และได้ Petronas บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่สัญชาติมาเลเซีย เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักในปี 2017

จนกระทั่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมาถึงในเดือนกรกฎาคม 2018 เมื่อ Sepang Racing Team ประกาศทำทีมแข่งรุ่น MotoGP ในฤดูกาล 2019 โดยได้รับการสนับสนุนจาก Yamaha ที่จะปล่อยเช่ารถแข่ง Yamaha YZR-M1 ให้เป็นเวลา 3 ฤดูกาล (2019-2021) จึงทำให้ทีมได้เซ็นสัญญากับรุกกี้ชาวฝรั่งเศส ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ นักบิดดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส ที่หลังจากนั้นไปคว้าแชมป์โลก MotoGP เมื่อปี 2021 และ ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ แชมป์ Moto2 ปี 2017

แม้จะก้าวขึ้นสู่รุ่น MotoGP แต่ทีมยังคงแข่งในรุ่น Moto3 ที่ลงแข่งมาตั้งแต่ปี 2015 และ Moto2 ที่ลงแข่งมาตั้งแต่ปี 2018 ต่อไป โดยในปี 2019 จอห์น แม็คฟี นักบิดชาวสกอตติชในรุ่น Moto3 สามารถคว้าชัยชนะครั้งแรกในประวัติศาสตร์ให้กับทีมได้ในรายการ เฟรนช์ กรังด์ปรีซ์ อีกด้วย ก่อนที่ในปี 2021 ทีมนี้จะได้ วาเลนติโน่ รอสซี่ ตำนานนักบิดดีกรีแชมป์โลก 9 สมัยชาวอิตาลี มาขี่รถแข่งให้

อย่างไรก็ตาม ผู้สนับสนุนอย่าง Petronas ได้ประกาศยุติการสนับสนุนทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2021  ส่งผลให้ SRT ต้องยุติการดำเนินงานทั้งหมดในทุกคลาส ทีมในรุ่น Moto2 และ Moto3 จึงถูกยุบไป โดยส่วนงานของ Moto3 ถูกขายต่อให้กับอดีตนักแข่ง MotoGP อย่าง ไมเคิล ลาเวอร์ตี้ เพื่อไปทำทีมใหม่ในชื่อ Vision Track Honda (หรือ MLav Racing ในปัจจุบัน)

แต่สิทธิ์การเข้าร่วมแข่งขันในรุ่น MotoGP ยังคงอยู่ ทำให้ ราซลัน ราซาลี ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บริหารทีม SRT และ CEO ของสนามเซปัง พร้อมด้วย โยฮัน สติจเฟลท์ ได้เข้าซื้อสิทธิ์และสินทรัพย์ของทีมต่อ เพื่อก่อตั้งทีมใหม่ในชื่อ RNF Racing 

โดยชื่อ RNF มาจากอักษรตัวแรกของชื่อสมาชิกในครอบครัวของราซาลี ได้แก่ ราซาลี (R), นาเดีย (N) และ ฟารุค (F) ซึ่งพวกเขาได้รับสิทธิ์ในการทำทีมจาก Dorna Sports ผู้จัดการแข่งขัน จนถึงปี 2026 (แม้ว่าในเวลาต่อมา สติจเฟลท์ จะแยกทางกับทีมในเดือนตุลาคม 2021)

RNF Racing เริ่มต้นเส้นทางอย่างจริงจังในฤดูกาล 2022 โดยยังคงใช้รถ Yamaha YZR-M1 ภายใต้ชื่อทีม WithU Yamaha RNF MotoGP Racing พร้อมได้ อันเดรีย โดวิซิโอโซ่ และ ดาร์ริน บินเดอร์ มาร่วมทีม

แต่ความร่วมมือกับ Yamaha ก็สิ้นสุดลงเพียงปีเดียว เมื่อ RNF ได้ประกาศว่าจะเปลี่ยนไปใช้รถแข่งของ Aprilia ตั้งแต่ฤดูกาล 2023 ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ก่อนที่อีก 5 เดือนต่อมา CryptoDATA บริษัทบล็อกเชนสัญชาติโรมาเนีย ได้ประกาศเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของทีม ทำให้ทีมเปลี่ยนชื่อเป็น CryptoDATA RNF MotoGP Team รวมถึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวนักแข่งใหม่ทั้งหมดเป็น มิเกล โอลิเวร่า และ ราอูล เฟร์นานเดซ ซึ่งระหกระเหินจากความเจ็บช้ำที่ KTM

เมื่อลองอ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้มันช่างดูสดใสสำหรับทีมอิสระหนึ่งทีมที่กำลังจะไปได้สวย จนกระทั่ง … 

 

ฝันนั้นก็สลายหายไปในพริบตา

ภาพวาดฝันของทีม RNF Racing ต้องพังทลายลง เมื่อความเป็นจริงปรากฏว่า ความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ CryptoData เต็มไปด้วยปัญหาที่ซับซ้อน โดยจุดเริ่มต้นของรอยร้าวมาจากวิสัยทัศน์ของทั้งสองฝ่ายที่ไม่ตรงกัน ซึ่งนำไปสู่การโต้เถียงที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดก็บานปลายเป็นปัญหาด้านการเงิน

ด้าน ราซลัน ราซาลี ผู้บริหารทีม ได้ยอมรับกับ Motorsport.com ถึงความขัดแย้งนี้ว่า "ผมมีปัญหากับ CryptoData ผมคิดว่าช่วงปีที่ผ่านมาวิสัยทัศน์ของเราเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการจากทีมนั้นได้เปลี่ยนไป" 

เขามองว่า "ตัวแทนจากฝั่ง CryptoData พวกเขามองในเชิงธุรกิจมากกว่า นี่คือสาเหตุทำให้เกิดความผิดพลาดเล็กน้อย และนั่นเราเดินมาสู่สถานการณ์ในตอนนี้"

แม้ว่าทางทีมจะพยายามออกมาปฏิเสธ และแก้ต่างผ่านแถลงการณ์อันยาวเหยียด แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ถูกตัดสินว่าได้ทำการ "ละเมิดข้อตกลงการมีส่วนร่วมกับ MotoGP ซ้ำแล้วซ้ำเล่า"

จุดแตกหักมาถึงเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2023 หลังผ่านพ้นสนามสุดท้ายของการแข่งขันฤดูกาลดังกล่าวเพียงหนึ่งวัน เมื่อคณะกรรมการคัดเลือกทีมของโมโตจีพี ซึ่งประกอบด้วย FIM หรือ สหพันธ์จักรยานยนต์นานาชาติ, IRTA หรือ สมาคมทีมแข่งจักรยานยนต์นานาชาติ และ Dorna Sports ผู้ถือลิขสิทธิ์จัดการแข่งขัน ได้ประกาศการตัดสินใจที่จะถอดชื่อของ CryptoDATA RNF MotoGP Team ในการมีส่วนร่วมกับการแข่งขันในปีถัดไป

การตัดสินใจดังกล่าว ประกอบกับการประกาศลงจากตำแหน่งของ ราซลัน ราซาลี ถือเป็นการปิดฉากทีมดังสัญชาติมาเลเซียทีมนี้ลงโดยปริยาย

 

ถือกำเนิดนายทุนรายใหม่

หากจะทำความเข้าใจความเป็น "บ้าน" ของ Trackhouse ใน MotoGP เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของพวกเขาในฐานะทีม NASCAR ซึ่งเป็นตำนานบทแรกที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2020

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของ จัสติน มาร์คส์ อดีตนักแข่ง NASCAR ที่มองว่าในช่วงเวลาที่ทีมแข่งขนาดเล็กต่างทยอยขายทีมเพราะไม่คุ้มทุน แต่เขามองเห็นโอกาสในวิกฤตนั้น โดยวิเคราะห์ว่ากฎใหม่ของรถแข่ง Next Gen ที่กำลังจะบังคับใช้ในปี 2022 จะช่วยให้ทีมเล็กมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น

มาร์คส์จึงตัดสินใจก่อตั้งทีม โดยเริ่มต้นจากการเข้าซื้อสิทธิ์การทำทีมในรุ่นใหญ่สุด Cup Series มาจาก Leavine Family Racing ในฤดูกาล 2021 เริ่มต้นด้วยงบประมาณที่จำกัด ซึ่งเขาต้องเช่าทรัพยากร ทั้งบุคลากร รถ และอุปกรณ์จาก Spire Motorsport ก่อนทาบทาม แดเนียล ซัวเรส มาเป็นนักขับภายใต้หมายเลข 99

แน่นอนว่าทีมใหม่ต้องการเงินทุนมหาศาล มาร์คส์พยายามอย่างหนักเพื่อหาสปอนเซอร์ และนั่นนำพาเขาไปพบกับ "Mr. Worldwide" หรือ พิทบูล (อาร์มาโด้ คริสเตียน เปเรซ) แรปเปอร์ชื่อดังระดับโลก ที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในฐานะนักธุรกิจ

การเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี วงสนทนาระหว่าง มาร์คส์, พิทบูล และซัวเรส มีความคิดไปในทิศทางเดียวกัน พิทบูลตัดสินใจมอบเงินก้อนโตและก้าวเข้ามาเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญ เขามองว่าดนตรีและมอเตอร์สปอร์ตต่างก็เป็น "ภาษาสากล" ที่สามารถรวมผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวได้

พิทบูลกล่าวว่า "ความคิดริเริ่มของเราคือ การรวมผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และสร้างความตระหนักรู้ให้กับแบรนด์ Trackhouse และกีฬา NASCAR ... ผมรู้สึกว่ากีฬามอเตอร์สปอร์ตมันก็เหมือนดนตรีที่เป็นภาษาสากล มันสามารถทำให้คนเข้ากันได้โดยไม่แบ่งแยก"

เมื่อได้เงินทุนก้อนแรก จัสติน มาร์คส์ ก็ไม่รอช้า เขาทำการตัดสินใจทางธุรกิจครั้งใหญ่ ด้วยการเข้าซื้อกิจการทีม Chip Ganassi Racing ในส่วนของ NASCAR ทั้งหมด นี่คือโอกาสทอง เพราะ ชิป กนาสซี่ เจ้าของทีม กำลังต้องการโฟกัสกับการทำทีม IndyCar พร้อมทั้งโปรเจกต์ใหม่ในการแข่งขันเอนดูรานซ์ ทั้งศึกชิงแชมป์โลก WEC และชิงแชมป์สหรัฐอเมริกา IMSA กับทาง Cadillac ที่ทำคู่ขนานกัน

การซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้ Trackhouse Racing ในปี 2022 มีสล็อตแข่งขันเพิ่มเป็น 3 คัน ได้ทีมงานและทรัพยากรทั้งหมดมาเป็นของตัวเองโดยไม่ต้องเช่าอีกต่อไป พร้อมยังได้นักขับคนสำคัญอย่าง รอส แชสเทน มาร่วมทีม

ผลงานในสนามก็สวยงามไม่แพ้ผลงานนอกสนาม สองนักขับหลักอย่าง รอส แชสเทน และ แดเนียล ซัวเรส ต่างพาทีมเข้ารอบเพลย์ออฟลุ้นแชมป์ โดยเฉพาะในปี 2022 ที่ รอส แชสเทน สร้างตำนาน "Video Game Move" (ท่าไต่กำแพง) ในการต่อลมหายใจเข้าสู่รอบ Championship 4 และจบฤดูกาลในฐานะรองแชมป์

ขณะเดียวกัน สล็อตที่เหลือของทีมถูกนำไปทำโปรเจกต์พิเศษในชื่อ "Project 91" เพื่อดึงดูดนักแข่งระดับโลกมาทดลองขับ NASCAR ไม่ว่าจะเป็น คิมี่ ไรโคเนน แชมป์โลก F1 ปี 2007 ชาวฟินแลนด์ รวมถึง เชน ฟาน กริสเบอร์เกน หรือ SVG นักซิ่งชาวนิวซีแลนด์ แชมป์ Supercars ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่ง SVG สามารถคว้าชัยชนะได้ตั้งแต่การแข่ง NASCAR ครั้งแรก ในสนาม ชิคาโก้ สตรีท เซอร์กิต เมื่อปี 2023 ก่อนที่จะกลายเป็นนักขับแบบเต็มเวลาในปี 2025

แม้ พิทบูล แรปเปอร์คนดังจะยุติความสัมพันธ์กับทีมไปแล้วในช่วงต้นปี 2025 แต่ความสำเร็จอันท่วมท้นทั้งในและนอกสนามนี้เอง ผลักดันให้มาร์คส์ต้องการขยายแบรนด์ Trackhouse ไปสู่เวทีระดับโลก และการตัดสินใจไปชมการแข่งขัน MotoGP ที่สนาม เรดบูล ริง ประเทศออสเตรีย ในปี 2023 ก็คือจุดเริ่มต้นของบทต่อไปในชีวิตของพวกเขา

 

จากสี่ล้อสู่สองล้อ

ความสำเร็จอันท่วมท้นทั้งในและนอกสนาม NASCAR ตลอดปี 2021-2023 โดยเฉพาะการคว้ารองแชมป์ปี 2022 พร้อมชัยชนะ 6 ครั้ง และตำแหน่งโพลอีก 2 ครั้ง ทำให้ Trackhouse Racing มีสปอนเซอร์หลั่งไหลเข้ามาเกินความคาดหมาย 

นั่นผลักดันให้ จัสติน มาร์คส์ เจ้าของทีม ไม่ต้องการหยุดความสำเร็จไว้แค่ในแดนพญาอินทรี เขาจึงเริ่มมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายแบรนด์และฐานแฟนคลับไปสู่เวทีระดับโลก

ความทะเยอทะยานนี้สอดคล้องอย่างสมบูรณ์แบบกับความหลงใหลส่วนตัวในกีฬาสองล้อของเขา โดยเฉพาะ MotoGP จากพื้นเพของมาร์คส์ที่เติบโตทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีโอกาสไปดูการแข่งขันที่สนาม ลากูน่า เซก้า ซึ่งเขายกย่องว่าเป็น "งานแข่งที่ใหญ่สุด" ที่เคยไปมา 

เขาได้เห็นฮีโร่ชาวอเมริกันในตำนานอย่าง เวย์น เรนนี่ย์, เควิน ชวานซ์, เอ็ดดี้ ลอว์สัน รวมถึง นิคกี้ เฮย์เดน แชมป์โลกปี 2006 ตำนานผู้ล่วงลับ ที่จากไปก่อนวัยอันควรจากอุบัติเหตุเมื่อปี 2017 ซึ่งอยู่ในใจของชาวอเมริกันเสมอมา

จังหวะเวลานั้นพอเหมาะพอเจาะ ได้เกิดขึ้นในปี 2023 ระหว่างที่มาร์คส์ตัดสินใจไปชมการแข่งขัน MotoGP ที่ เรดบูล ริง เพื่อมองหาลู่ทาง ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทีม RNF กำลังประสบปัญหาอย่างหนักกับผู้จัดการแข่งขัน เมื่อโอกาสเปิดกว้าง Trackhouse จึงนำเม็ดเงินก้อนใหม่เข้าซื้อสิทธิ์การทำทีมจาก RNF อย่างทันทีทันควัน

ในการเปิดตัว Trackhouse Racing MotoGP Team จัสติน มาร์คส์ ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของเขาว่า "การเข้าร่วมการแข่งขัน MotoGP ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับทีมเล็ก ๆ ของเรา ... การเข้ามาในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายขนาดทีม เราเชื่อมั่นในภารกิจของ Dorna ที่มุ่งมั่นจะนำสิ่งใหม่และน่าตื่นเต้นมาสู่การแข่งขัน ในขณะเดียวกันก็ทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยให้เติบโต พร้อมขยายกีฬาที่น่าทึ่งนี้ไปสู่แฟน  ๆ หน้าใหม่หลายล้านคนในอเมริกาเหนือและที่อื่น ๆ"

การเทคโอเวอร์ครั้งนี้ ทำให้ทีมงานปฏิบัติการ รวมถึงสองนักขับของ RNF ทั้ง ราอูล เฟร์นานเดซ และ มิเกล โอลิเวร่า ได้ไปต่อบนเวทีสูงสุด นอกจากนี้ ทีมยังตั้งใจที่จะสานต่อความภาคภูมิใจของชาวอเมริกัน ด้วยการทำรถลายธงชาติสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นเกียรติแก่ นิคกี้ เฮย์เดน หนึ่งในฮีโร่ในดวงใจของมาร์คส์

นี่จึงเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการมอเตอร์สปอร์ต ในฐานะทีม NASCAR ทีมแรกที่มีเจ้าของคนเดียวกับทีม MotoGP แต่หากคิดว่านี่คือความยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ดูเหมือนว่า จัสติน มาร์คส์ ยังมีแผนการที่ใหญ่กว่านั้นรออยู่

 

ทีมน้องใหม่ที่ไม่ได้มาเล่น ๆ

แผนการที่ว่าของ มาร์คส์ คือ เขาเลือกที่จะ "เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ทำ" สร้างความฮือฮา ด้วยการดึงตัว ดาวิเด บริวิโอ้ สุดยอดทีมบอสชาวอิตาเลียน ผู้มีประวัติศาสตร์พาค่ายรถอย่าง Yamaha และ Suzuki คว้าแชมป์โลกมาแล้ว ให้เข้ามาเป็นผู้นำทัพ

จัสติน มาร์คส์ เจ้าของทีม มองว่า บริวิโอ้ ไม่ใช่แค่ผู้มีประสบการณ์สูง แต่คือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ "วัฒนธรรม Trackhouse" และเชื่อมั่นว่าเขาคือบุคลากรที่จะช่วยสร้างรากฐานอันมั่นคงเพื่อพาทีมมุ่งไปข้างหน้า

"เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่มีคนที่มีความสามารถและประสบการณ์อย่าง ดาวิเด เป็นผู้นำทีม Trackhouse MotoGP" มาร์คส์กล่าว 

"ผมรู้สึกเป็นเกียรติกับความมุ่งมั่นที่เขามีให้ เห็นได้ชัดในวินาทีที่ผมได้พบกับ ดาวิเด ว่าเขาจะเป็นคนที่เข้ากับวัฒนธรรม Trackhouse ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และผมรู้ว่าเขาจะนำพาเราไปสู่สิ่งที่ยอดเยี่ยมทั้งในและนอกสนามแข่ง"

แน่นอนว่าการชักชวน บริวิโอ้ เข้ามาทำงาน คือ จังหวะที่พอเหมาะพอเจาะไม่ต่างจากการเข้าซื้อทีมของเขา กล่าวคือ บริวิโอ้ ก็ต้องการไฟในการกลับมาทำงานอีกครั้ง อันเป็นผลสืบเนื่องจากการตัดสินใจอำลากริด MotoGP หลังพา Suzuki คว้าแชมป์โลกเมื่อปี 2020

ทีมบอสชาวอิตาเลียนเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการแข่งขันของทีม Alpine ในศึก F1 เมื่อปี 2021 เพื่อใช้ศักยภาพของตัวเองพัฒนาทีม Alpine ให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ปัญหาที่สำคัญคือ ทีมดังจากฝรั่งเศสนั้นมีผังองค์กรที่ "ซับซ้อนเกินไป" กว่าที่จะกระทำการตัดสินใจใด ๆ ด้วยตัวเอง 

เหตุการณ์ในลักษณะนี้มักเกิดขึ้นในองค์กรใหญ่ที่มีรากฐานหยั่งลึก ซึ่งดับไฟคนทำงานให้มอดลงไป และยอมแพ้ให้กับระดับศักดินา ก่อนที่จะหันหลังให้องค์กรไปด้วยภาวะที่เศร้าซึม แม้กระทั่งบริวิโอ้เองก็ประสบพบเจอกับฝันร้ายเฉกเช่นนี้

การทาบทามมาของ Trackhouse ที่ทำให้เขาได้กลับสู่ MotoGP ครั้งนี้ ก็เหมือนเป็นการจุดไฟในการทำงานอีกครั้ง

"ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา" บริวิโอ้ กล่าวด้วยความตื่นเต้น 

"จัสตินขอให้ผมช่วย Trackhouse ในการแข่งขัน MotoGP ผมตื่นเต้นมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ใหม่นี้ตั้งแต่เริ่มต้น ... มันอาจเป็นการผสมผสานที่ยอดเยี่ยมของสองโลก (ระหว่างวิสัยทัศน์ที่ประสบความสำเร็จของ Trackhouse ในกีฬาอื่น กับโลกของ MotoGP) และเราจะเริ่มทำงานทันที"

การมี บริวิโอ้ เป็นบอส ก็เหมือนกับการติดปีกให้ Trackhouse Racing "มีสูตรลัด" ให้ค้นพบ "เส้นทางที่ถูกต้อง" อย่างรวดเร็ว วิถีการทำงานของทีมบอสชาวอิตาเลียน คือ การทำให้ทีมค่อย ๆ เติบโต ไม่สร้างความกดดันด้วยการเสาะหาผลงานแบบเร็ว ๆ แต่ให้ทีมหาจุดแข็งของตัวเองแบบช้า ๆ มั่นคง

แสงสว่างแรกของทีมเริ่มเฉิดฉายขึ้น หลังจาก มิเกล โอลิเวร่า และ ราอูล เฟร์นานเดซ คว้ากริดสตาร์ท อันดับ 2 และ 3 ที่ ซัคเซ่นริง ประเทศเยอรมนีรวมถึง การคว้าโพเดียม สปรินทร์ เรซ ของ มิเกล โอลิเวียร่า ซึ่งเป็นผลงานที่ที่ที่สุดในฤดูกาล 2024 สร้างขวัญ และกำลังใจให้ทีมงานหลังจากเจอปัญหามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุค RNF

 

จอมเซอร์ไพรส์ในฤดูกาล 2025

แม้ว่าในฤดูกาล 2025 ทุกสายตาจับจ้อง มาร์ก มาร์เกซ กับชุดสีแดงแรงฤทธิ์ของ Ducati Lenovo Team แต่หลายคนอาจลืมเซอร์ไพรส์ที่ Trackhouse Racing ได้สร้างขึ้นตั้งแต่ตลาดนักบิดฤดูกาล 2025

พวกเขาเริ่มต้นจากการเซ็นสัญญา ไอ โอกุระ แชมป์ Moto2 ชาวญี่ปุ่น และปฏิเสธ โจ โรเบิร์ตส ดาวบิดชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการ "แหกกรอบ" ความเป็น "ชาตินิยม" ที่หลายคนคาดหวังจากทีมสัญชาติอเมริกัน

แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะสร้างความไม่พอใจให้กับแฟนมอเตอร์ไซค์ชาวอเมริกันจำนวนมาก ที่ต้องการเห็นนักบิดคนบ้านเดียวกันบนเวที MotoGP อีกครั้ง หลังจากที่ นิคกี้ เฮย์เดน เป็นคนล่าสุดที่ขี่แบบเต็มเวลาเมื่อปี 2015 แต่สำหรับทีม นี่คือการเลือกนักบิดที่มีความสามารถและประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อมาคว้าคะแนนสำคัญให้กับทีม

บริวิโอ้ อธิบายถึงเหตุผลในการเลือกโอกุระว่า "เราเชื่อว่าสไตล์การขับขี่ของ โอกุระ จะเข้ากันได้ดีกับรถ RS-GP ของเรา และมั่นใจว่าเขามีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่ง MotoGP ชั้นนำได้อย่างแน่นอน เราจะพัฒนา Trackhouse ควบคู่ไปกับการสนับสนุน และมอบโอกาสให้ไอได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่"

จากคำพูดของ บริวิโอ้ ทำให้เราได้เห็น "ความน่าตื่นเต้น" ตั้งแต่สนามเปิดฤดูกาลที่ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย โอกุระ คว้าอันดับ 4 ในการแข่งขันสปรินท์เรซ และ คว้าอันดับ 5 ในการแข่งขันเมนเรซ โดยที่นักบิดชาวญี่ปุ่นสามารถต่อกรกับ ฟรานเชสโก้ บัญญาญ่า แชมป์โลกสองสมัย รวมถึง ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ ได้อย่างสูสี และยังสามารถทยอยเก็บแต้มได้ตลอดการแข่งขันฤดูกาล 2025

ในส่วนของเพื่อนร่วมทีมอย่าง ราอูล เฟร์นานเดซ แม้ช่วงต้นฤดูกาลจะมีปัญหากับการปรับตัวเข้าหารถ กับมีปัญหาเรื่องแรงกดดัน แต่ บริวิโอ้ ยังคงให้ความเชื่อมั่นกับนักบิดชาวสเปนจนสามารถทำผลงานได้ดีขึ้น จนสามารถคว้าโพเดียมสปรินท์เรซที่ มันดาลิกา ประเทศอินโดนีเซีย และความมั่นใจนั้นทำให้เหมือนจะมี "พลังงานบางอย่าง" เกิดขึ้นในสนามต่อมา ที่ประเทศออสเตรเลีย

 

ยามอาทิตย์ที่ ฟิลลิป ไอส์แลนด์ อัสดง

สุดสัปดาห์ที่แดนจิงโจ้นั้น ทีแรกดูเหมือนจะเงียบเหงา หลังจากที่ มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โลก 9 สมัย ประสบปัญหากับอาการบาดเจ็บ จากการโดน มาร์โก เบซเซคคี่ ชนที่ มันดาลิกา จนไม่สามารถทำการแข่งขันในสนามที่เหลือได้ กระทั่งผลรอบคัดเลือกได้ปรากฏให้สายตาชาวโลกได้เห็น

ผลในวันนั้น ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ คว้าตำแหน่งโพล ส่วน มาร์โก เบซเซคคี่ ของ Aprilia และ แจ็ค มิลเลอร์ นักบิดเจ้าบ้านของทีม Pramac Yamaha คว้าตำแหน่งแถวหน้า โดยมีคนที่รออยู่ข้างหลังในอันดับที่ 4 นั่นคือ ราอูล เฟร์นานเดซ 

การออกสตาร์ทวันอาทิตย์นั้น เริ่มต้นด้วยการที่ เฟร์นานเดซ อาศัยการออกตัวที่ดีขึ้นไปในอันดับที่ 2 ตามหลัง เบซเซคคี่ ที่มีโทษ Double Long Lap ติดตัว จากการแข่งขันเรซก่อนหน้า ทำให้นักบิดชาวสเปนใช้สติ และสมาธิทั้งหมดที่มี เพื่อให้ผิดพลาดน้อยที่สุดเมื่อเขาได้ขึ้นนำ

ที่ต้องเล่าแบบนี้ เป็นเพราะในฤดูกาล 2024 เฟร์นานเดซ เคยขึ้นนำการแข่งขันสปรินท์เรซ ในรายการ คาตาลัน กรังด์ปรีซ์ จนสร้างเซอร์ไพรส์ให้ผู้ชมทั้งโลก แต่ท้ายสุดก็ล้มในอีกรอบต่อมา เนื่องจากความผิดพลาดจากการกดดันตัวเอง ซึ่งส่งผลต่อฟอร์มการขี่ของเขาหลังจากนั้น

แต่ที่ ฟิลลิป ไอส์แลนด์ ไม่ได้เป็นแบบนั้น ความนิ่ง ความสุขุม ความรอบคอบ ทำให้เขาขึ้นนำ และทิ้งห่างคันอื่นออกไปเป็นเวลาถึง 3 วินาที ก่อนที่จะค่อย ๆ นับถอยหลังเวลาไปเรื่อย ๆ จนพาตัวเอง พร้อมกับทีมคว้าชัยครั้งแรกใน MotoGP ได้สำเร็จ

"ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลย" เฟร์นานเดซ กล่าว 

"เมื่อวานในสปรินต์เรซ มาร์โก (เบซเซคคี่) มีความเร็วที่น่าทึ่งมาก รวมถึง ดิจเจีย (ดิ จานนันโตนิโอ) ในช่วงท้ายด้วย เช้านี้ตอนประชุมกับทีม เราคิดว่าโพเดียมคือเป้าหมายที่เป็นไปได้ แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าเราจะมีโอกาสคว้าชัยชนะ"

"ในช่วงสี่รอบสุดท้าย ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำพลาด แต่แล้วผมก็ดึงแผ่น Tear-off (แผ่นฟิล์มหน้าหมวก) ออก และจังหวะนั้นผมกลับคว้าแฮนด์ไม่ถนัด"

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เกือบพลาดนั้นกลับช่วยดึงสติของเขากลับมา "มันช่วยให้ผมมีสมาธิและบอกตัวเองว่า 'นายต้องใจเย็น ๆ ถ้าอยากจะชนะ'"

"บนหน้าปัดรถ เรามีเวลาในแต่ละเซกเตอร์ ผมแค่พยายามขับให้คงที่ที่สุด สามสี่รอบสุดท้าย ยางผมดรอปหนักมาก และผมแค่พยายามเอาตัวรอด แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ ... ผมร้องไห้ในหมวกกันน็อกตลอดทั้งรอบสุดท้ายเลย เพราะผมไม่เคยคิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่ผมคว้าชัยชนะได้"

ชัยชนะครั้งนี้เหมือนมีใครบางคนได้ลิขิตขึ้นมาให้เกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงนั้น มันคือการทำงานอย่างหนักในทุกภาคส่วนตั้งแต่การถือกำเนิด Trackhouse Racing MotoGP ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา

เรื่องราวของ Trackhouse Racing ทีมดังของ NASCAR ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่แตกต่าง เพื่อมาขอซ่าในเวที MotoGP คงไม่ได้เป็นคำโปรยที่เกินจริงแต่อย่างใด และจากนี้ เราคงได้เห็นตำนานบทใหม่ให้คอยติดตามต่อไปบนเส้นทางสองล้อในอนาคตข้างหน้า

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.motorsport.com/motogp/news/rnf-motogp-team-boss-opens-up-on-teams-collapse/10552748/
https://www.forbes.com/sites/gregengle/2023/12/05/nascar-team-trackhouse-racing-moving-to-two-wheels/?sh=2005458e54bd
https://www.motogp.com/en/news/2023/12/05/trackhouse-racing-lands-in-motogp/486538
https://www.crash.net/motogp/news/1084701/1/raul-fernandezs-first-motogp-win-tear-scare-tears-helmet

Author

พงศ์ปณต ตั้งตราชู

นักเล่ามอเตอร์สปอร์ตในคราบพนักงานออฟฟิศ