Feature

ตอด แถม แสบ หนัก : เปิดตำราร่างทองของพี่ใหญ่ปืนโต "กาเบรียล มาร์กัลเญส" | Main Stand

ย้อนไปสัก 4-5 ปีก่อน หากจะให้ยกชื่อกองหลังชั้นดีในพรีเมียร์ลีก ชื่อของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, ติอาโก้ ซิลวา หรือ รูเบน ดิอาส มักจะเป็น 3 ชื่อเท่านั้นที่ถูกกล่าวถึงในฐานะกองหลังชั้นดีที่สามารถเป็นผู้บัญชาการเกมรับทั้งแผงได้

 


ทว่าเมื่อ อาร์เซน่อล ได้เจอคู่กองหลังที่ดีที่สุดในรอบ 20 ปีของพวกเขาอย่าง วิลเลี่ยม ซาลิบา และ กาเบรียล มาร์กัลเญส การเพิ่มชื่อกองหลังชั้นยอดก็ต้องมีชื่อของ 2 คนนี้ไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ 

โดยเฉพาะในรายของ กาเบรียล ที่ดูเหมือนจะเป็นพี่ใหญ่ และมีคุณสมบัติครบครัน ตั้งแต่ความแข็งแรง สมาธิ หรือแม้กระทั่งความเป็นผู้นำ ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บที่จะทำทุกอย่างให้ทีมได้เปรียบเสมอ 

เดิมทีกองหลังบราซิลไม่ได้เป็นแบบบนี้ ... และเราจะไปดูวิวัฒนาการของเขากับ Main Stand 

 

จากวันที่โดนพรีเมียร์ลีกรับน้อง

กาเบรียล มาร์กัลเญส คือนักเตะบราซิลที่ย้ายออกมาเล่นในยุโรปตั้งแต่ยังเด็ก เริ่มจากการเล่นที่โปรตุเกสกับ อาไว ตั้งแต่อายุ 13 ปี ก่อนจะได้ย้ายไปเล่นในหลาย ๆ ที่ ทั้งกับ ทรัวส์ ในฝรั่งเศส และ ดินาโม ซาเกร็บ ใน โครเอเชีย จนกระทั่งมาระเบิดฟอร์มจริง ๆ กับ ลีลล์ ทีมระดับหัวแถวของลีกเอิงในฤดูกาล 2019-20 

ในซีซั่นนั้นเขาลงเล่นทั้งซีซั่นให้ ลีลล์ ไป 34 นัดทุกรายการ ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ใช่ตัวเลขที่มากมายอะไร แต่ถือเป็นโชคดีของ อาร์เซน่อล ในวันนี้ ที่ ผอ.กีฬา ในวันนั้นอย่าง เอดู กาสปาร์ มองเขาเข้าไปลึกยิ่งกว่าตัวเลขเหล่านี้ 

เอดู เชื่อว่า กาเบรียล จะเป็นคนที่ใช่ในยุคของการเริ่มสร้างทีมใหม่ภายใต้โค้ชคนหนุ่มอย่าง มิเกล อาร์เตต้า ที่เพิ่งเข้ามารับงานกลางทางในซีซั่น 2019-20 ก่อนจะพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ มาครองและสร้างความเชื่อใจให้บอร์ดบริหารยอมลงทุนเพื่อเขาได้สำเร็จ ซึ่ง กาเบรียล ก็เป็นคนแรก ๆ ที่ เอดู และ อาร์เตต้า รวมตัวกันจิ้มเข้ามาเสริมทัพ พร้อมจ่ายเงินไปด้วยราคาราว 27 ล้านปอนด์ในตลาดซัมเมอร์ปี 2020

อย่างไรก็ตาม นักเตะบราซิลมาพรีเมียร์ลีกปีแรก ส่วนใหญ่พวกเขาจะได้เจอกับบทเรียนสำคัญที่ทุกคนพูดเหมือนกันหมด ซึ่งหลัก ๆ มีสามอย่าง ได้แก่ ฟุตบอลที่เล่นกันเร็วมาก, ลูกกลางอากาศเป็นทีเด็ดของทุกทีม และ การเล่นหนักแบบถึงเนื้อถึงตัว เหลี่ยมดีกว่าเท่านั้นจึงจะเป็นผู้อยู่รอด 

กาเบรียล โดนบทเรียนนั้นเล่นงานตั้งแต่ปีแรก แม้เขาจะเริ่มต้นได้เหมือนจะดีด้วยการยิงประตูแรกในเกมเปิดสนามที่บุกชนะ ฟูแล่ม 3-0 แต่หลังจากนั้น บทเรียนทั้ง 3 ข้อก็เล่นงานเขาในฐานะกองหลังตัวหลักของ อาร์เซน่อล เข้าอย่างจัง

เรียกได้ว่าหลังจากผ่านเกมนัดที่ 3 ในลีกที่แพ้ ลิเวอร์พูล 1-3 อาร์เซน่อล ชนะคู่แข่งได้แค่ 2 เกมจาก 11 นัดในลีก และยังเป็นการแพ้ถึง 8 เกม การแพ้มากขนาดนี้หมายความว่าเกมรับหละหลวม และมีปัญหาโดยที่ไม่ต้องอ้างอิงสถิติใด ๆ เลยด้วยซ้ำ ซึ่ง กาเบรียล เองก็ยอมรับว่าเขาเล่นได้ไม่ดีนักสำหรับซีซั่นแห่งการเริ่มต้นกับฟุตบอลอังกฤษของเขา 

"มันเป็นปีแห่งการเรียนรู้จริง ๆ ผมอาจจะยิงได้ต้้งแต่เกมแรก แต่ทีมมีผลงานย่ำแย่ ผมใช้เวลาเรียนรู้กับความผิดพลาดมากมาย เพื่อที่วันหนึ่งผมหวังว่าจะได้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่ออยู่ในสนาม ผมยังต้องเรียนรู้จากลีกนี้ และหวังว่าวันนั้นจะมาถึง" กาเบรียล ยอมรับถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เขามีความผิดพลาดง่าย ๆ ประจำทั้งการทำเสียจุดโทษหรือใบแดงก็ตาม 

อย่างไรก็ตาม แผนการผ่าตัดทีมของ มิเกล อาร์เตต้า มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงทีมที่เล่นพลาดในเกมรับบ่อย ๆ ทีมนี้ ให้กลายเป็นทีมที่เหนียวแน่น แพ้ยากขึ้นมาอีกหลายเท่า ... ซึ่งการผ่าตัดทีมนี้ก็ทำให้ กาเบรียล กลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้นด้วยในเวลาเดียวกัน 

 

ยิ่งโต ยิ่งเก่ง

อย่างที่หลายคนรู้กัน มิเกล อาร์เตต้า ใช้เวลาในช่วง 1-2 ปีแรก พาทีมผลงานลุ่ม ๆ ดอน ๆ และถอดนักเตะที่ใช้ไม่ได้ออกไปหลายคน แต่ กาเบรียล ไม่เคยอยู่ในลิสต์เททิ้งของเขาเลยสักครั้ง เพราะ อาร์เตต้า เชื่อว่าต่อให้ กาเบรียล จะเล่นพลาดบ่อยในช่วงแรก แต่ในระยะยาว หากมีประสบการณ์ที่มากขึ้นเขาจะกลายเป็น "นักเตะที่มีอนาคตตอันเหลือเชื่อ" 

ซีซั่นต่อมา 2021-22 เป็นปีที่ กาเบรียล ไม่มีอาการบาดเจ็บ และไม่มีปัญหาเรื่องการปรับตัว เรื่องการต้องห่างไกลบ้านอีกแล้ว กาเบรียล เล่าว่าพอเข้าขวบปีที่ 2 กับทีม เขาก็เริ่มรู้สึกว่าสโมสรนี้เป็นเหมือนกับบ้าน และเมื่อเขารู้สึกเช่นนั้น มันทำให้หลายอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และมันทำให้เขากล้าที่จะทำอะไรแบบที่เป็นตัวเองที่สุดออกมา 

กาเบรียล เล่าต่อว่านักเตะบราซิลอย่าง ดาวิด ลุยซ์ และ ปาโบล มารี คือคนที่ทำให้เขาพูดภาษาอังกฤษได้เก่งขึ้น ขณะที่ อาร์เตต้า คือคนที่เขาให้เครดิตมากที่สุด เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อาร์เตต้า จะเชื่อใจเขาเสมอ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอยากจะทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทน อาร์เตต้า ที่คอยช่วยเหลือเขาเสมอมา 

"อาร์เตต้า เป็นคนที่เก่งและคอยช่วยเหลือนักเตะในทีมเสมอ เขาจะอยู่กับเราในวันที่ยากลำบาก และสนับสนุนเราในวันที่เราขาดความเชื่อมั่น ผมมีความสุขที่มีเขาเป็นโค้ช และผมเชื่อว่าทีมก็อยากจะทำสิ่งดี ๆ ให้กับเขา เพราะมันคือสิ่งที่เขาสมควรได้รับ" กาเบรียล กล่าว

มันเป็นช่วงเวลาที่ต่างคนต่างเรียนรู้กันและกัน ตัวของ กาเบรียล เข้าใจมากขึ้นว่าเซ็นเตอร์แบ็กในแบบที่ อาร์เตต้า ต้องการคืออะไร ต้องทำอะไรบ้าง ยิ่งเรื่องการสื่อสารดีขึ้น สไตล์การเล่นของ กาเบรียล ก็ยิ่งชัดขึ้น และมันสดใสอย่างกับที่ อาร์เตต้า บอก

"การพัฒนาเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรามีความเข้าใจ ผมรู้ว่าบอสอยากจะได้อะไรจากนักเตะในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง มันคือเรื่องของการรู้จักจังหวะของเกม รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราควรเติมขึ้นไปบุก และขึ้นไปช่วยแย่งบอลจากคู่แข่ง เช่นเดียวกันกับเมื่ออยู่ในโหมดเกมรับ เราต้องเข้าใจตรงกันว่าเมื่อไหร่ที่เราจะถอยลงต่ำ"

"เรื่องของจังหวะนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญมาก เราพูดคุยกันเรื่องนี้บ่อย ๆ เราคุยกันให้มากที่สุดเพราะเรารู้ว่าคู่แข่งที่จะต้องรับมือในแต่ละสัปดาห์มีจุดแข็งจุดอ่อนแตกต่างกันไป ถ้าเราสื่อสารกันดี เราก็จะสามารถจัดการกับพวกเขาได้ง่ายขึ้น เพราะในบางครั้งถ้าเราทำงานร่วมกันได้ดี การรุมกินโต๊ะแล้วเอาบอลกลับมาเล่นก็จะทำได้ง่ายขึ้นด้วย" 

กาเบรียล เจอกับคู่หูอย่าง วิลเลี่ยม ซาลิบา ที่โดนปล่อยยืมตัวไปเล่นในฝรั่งเศสอยู่พักใหญ่ และการจับคู่ของทั้ง 2 ก็ถือว่าลงล็อก ต่างคนต่างสอดประสานช่วยกันได้ดี นอกจากนี้พวกเขายังมีความสัมพันธ์นอกสนามที่ดีมากอีกด้วย ผลงานจึงยกระดับอย่างรวดเร็ว และคำชมก็ไหลมาเทมาไม่ขาดสาย

ยกเว้นเสียแต่ว่าในฐานะนักเตะรุ่นพี่ กาเบรียล รู้ดีว่า อาร์เตต้า คาดหวังให้เขากลายเป็นพี่ใหญ่ในแนวรับ และคอยจัดการกับแท็คติกต่าง ๆ ทั้งศาสตร์ขาวและศาสตร์มืดที่คู่แข่งเตรียมมาเล่นงาน เพราะบนเวทีแห่งความเป็นเลิศนี้ ทุกคนล้วนทำทุกอย่างให้ทีมได้ผลลัพธ์ที่ดี ดังนั้น กาเบรียล จึงค่อย ๆ เริ่มตั้งตัวเป็นพี่ใหญ่ที่ไม่กลัวใคร และคอยยกระดับจิตใจของทีมให้แข็งแกร่งขึ้นเมื่อช่วงเวลาของความกดดันมาถึง 

 

ทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ 

กาลเวลาผ่านมาตอนนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 6 ของ กาเบรียล กับ อาร์เซน่อล แล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นรุ่นใหญ่เต็มตัว พร้อมที่จะดวลกับคู่แข่งทั้งความเร็ว ความแข็งแรง จิตวิทยา หรือแม้แต่เหลี่ยมฟุตบอล โดย กาเบรียล บอกว่า วิธีเอาชนะคู่แข่งของเขา ต้องทำแบบสามารถทำคู่แข่งหงอหรือมั่นใจน้อยลงให้ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์การประกบตัวของเขา และกับเพื่อนร่วมทีม 

"เวลาคุณเจอกองหน้าที่มั่นใจมาก ๆ สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือ ทำให้เขารู้ว่าวันนี้เขาจะต้องเจอกับคุณทั้งวันแน่นอน" กาเบรียล ว่าแบบนั้น ซึ่งในความหมายก็คือเมื่อเจอคนที่มั่นใจมาก ๆ ต้องเล่นหนักตั้งแต่ต้นเพื่อให้คู่แข่งไม่กล้าเล่นตามถนัด เป็นการขู่ในทางอ้อมว่า ถ้าผ่านมาเข้าล็อกของเขาเมื่อไหร่ รับรองว่าเขาเอาตายแน่นอน 

ขยายความในส่วนของการเล่นหนักของ กาเบรียล อีกนิดก็คือ อันที่จริงมันไม่ใช่แค่การหลับหูหลับตาเตะหนักอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นคงโดนใบแดงแน่ แต่มันคือการเตรียมพร้อมตั้งแค่ก่อนลงสนาม เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเล่นหนักของเขาจะอยู่ในเกม และจะไม่สร้างผลเสียให้กับทีม 

ว่ากันว่าทีมโค้ชอาร์เซน่อลมักให้ข้อมูลว่ากองหน้าคู่แข่งถนัดยิงด้วยเท้าไหน, ชอบเลี้ยงเข้าในหรือออกข้าง, และช่วงเวลาไหนที่ฟอร์มตก เช่น นาทีท้ายเกม ความฟิตเริ่มดร็อป ซึงนั่นทำให้งานของ กาเบรียล ง่ายขึ้น และสามารถแบ่งเวลาไปเล่นเกมจิตวิทยากับคู่แข่งได้มากขึ้น 

อีกทั้งร่างกายของ กาเบรียล ก็พัฒนาขึ้นมากความแข๋งแกร่งของเขาโดดเด่น คุณน่าจะได้เห็นบ่อย ๆ ในเกมการแข่งวันว่าเขามักจะเป็นคนที่ใช้ร่างกายของตัวเองชนคู่แข่งเต็มแรง ก่อนที่นักเตะคู่แข่งจะได้เร่งสปีดเต็มฝีเท้า เหมือนกับการตัดไฟแต่ต้นลม นอกจากนี้ กาเบรียลไม่รอให้กองหน้าหมุนตัวก่อน เขามักเข้าถึงบอลตั้งแต่สัมผัสแรก เพื่อลดโอกาสที่อีกฝ่ายจะได้ลากบอลเล่นงาน ทุกสัมผัสจะต้องหนัก และแม่น เพื่อให้แย่งบอลได้ และไม่เสียฟาวล์ในระยะอันตราย 

เหนือสิ่งอื่นใดในช่วง 1-2 ปีหลัง กาเบรียล พัฒนาเหลี่ยมฟุตบอลขึ้นมามากอีกหลาย ๆ ด้าน แบบที่หลายคนชอบเรียกกันว่า "ศาสตร์มืด" ซึ่งเป็นวิธีที่เขาใช้เล่นงานคู่แข่งได้ดีไม่แพ้วิธีอื่น 

กาเบรียล ถือเป็นนักเตะที่มักจะมีจังหวะ ดึง-เหนี่ยวเล็ก ๆ เสมอเวลาดวลกับกองหน้าแกร่ง ๆ หรือสปีดจัด ๆ เขาจะใช้มือเกี่ยวเสื้อนิด ๆ หรือดันหลังนิด ๆ เพื่อให้คู่แข่งเสียสมดุล ซึ่งกรรมการมักมองไม่เห็น และแน่นอนว่าต้องยกผลประโยชน์ให้เขาที่ทำได้อย่างแนบเนียน และดูเป็นธรรมชาติแบบสุด ๆ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ สำหรับการดึงหรือการเหนี่ยวแบบไม่เสียฟาวล์ 

นอกจากนี้ กาเบรียล ยังเป็นนักเตะของ อาร์เซน่อล ที่กดดันด้วยภาษากายเก่งมาก บางครั้งเขาจะเข้าใกล้คู่แข่งตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้ได้หายใจ ทำให้กองหน้าหงุดหงิดและเสียสมาธิ นอกจากนี้ยังพร้อจะเล่นสงครามประสาทตลอดเวลา เช่น การถ่วงเวลา การทำลายจังหวะ ที่หากคู่แข่งจิตไม่แข็งพอ หรือร่างกายไม่ดีพอ พวกเขาจะกลายเป็นเหยื่อของ กาเบรียล ได้โดยง่าย 

โดยรวมแล้ว ณ ตอนนี้ตำแหน่งพี่ใหญ่ในทีม อาร์เซน่อล ของ กาเบรียล ค่อนข้างชัดขึ้นทุกวัน คุณอาจจะบอกว่าเขาชอบเล่นตุกติกหรือเล่นแรง แต่นี่คือเกมที่ทุกคนต้องการชัยชนะ ดังนั้นการพยายามทำทุกอย่างให้อยู่กรอบกติกา เพื่อทำให้ทีมสามารถมีโอกาสเอาชนะมากที่สุด จึงเป็นสิ่งที่ใครก็ทำกันทั้งนั้น ส่วนจะเนียนไม่เนียน ได้ผลหรือไม่ได้ผล มันไม่ใช่เรื่องของดวง แต่มันคือเรื่องของฝีมือ และการเตรียมพร้อมล้วน ๆ 

ท้ายที่สุด ณ ตอนนี้เราพบว่า กาเบรียล ไม่ได้พึ่งพาแค่ความแข็งแรง แต่ผสมทั้ง การอ่านเกม, การใช้ร่างกาย และเล่ห์เหลี่ยม ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นสไตล์กองหลังที่ “ครบเครื่อง” และเข้ากับพรีเมียร์ลีกที่เต็มไปด้วยกองหน้าประเภทสปีด + พลังสูง  ... ตอนนี้คู่ของเขากับ ซาลิบา ถือว่าเป็น No.1 แห่งพรีเมียร์ลีกเลยก็ว่าได้  

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.skysports.com/football/news/11095/12420625/gabriel-magalhaes-exclusive-interview-arsenal-centre-back-ready-to-achieve-great-things-under-mikel-arteta
https://www.skysports.com/football/news/11661/12670393/gabriel-magalhaes-exclusive-interview-brazilian-defender-on-arsenal-project-and-telling-gabriel-jesus-to-join
https://www.tntsports.co.uk/football/premier-league/2021-2022/the-language-was-the-biggest-difficulty-for-me-gabriel-magalhaes-has-high-hopes-for-future-at-arsena_sto8566057/story.shtml

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ