"ฟังแล้วเอาไปบอกต่อกันด้วย ไอ้พวกนี้เล่นให้ทีมชาติฝรั่งเศส แต่ดันมาจากแองโกลา ทำงานขยันขันแข็ง แต่ดันชอบนอนกับคนข้ามเพศ แม่เป็นชาวไนจีเรีย พ่อเป็นชาวแคเมอรูน แต่ในพาสสปอร์ตดันเขียนว่า "ฝรั่งเศส"
อ่านแค่ประโยคดังกล่าวคุณจะรับรู้ได้การเหยียดชาติพันธ์ุกำเนิดเข้าอย่างจัง ไม่ว่าคนพูดประโยคนี้จะเป็นใครพวกเขาจะต้องรับผลกรรมที่ตามมาแน่ ๆ ... และคนที่เอ่ยประโยคนี้ผ่านบทเพลงคือ เอ็นโซ่ เฟอร์นานเดซ นักเตะเจ้าของค่าตัว 100 ล้านปอนด์ของ เชลซี ที่ฉลองชัยระหว่างที่ อาร์เจนติน่า ชาติของเขาคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา 2024
อาร์เจนติน่า โคปา อเมริกา ทวีปอเมริกาใต้ ทั้งหมดดูไม่มีเหตุผลเลยว่าทำไมถึงต้องไปเล่นแรงใส่ชาติที่อยู่ในยุโรปอย่าง ฝรั่งเศส ... ทว่าทุกอย่าล้วนมีที่มาเสมอ และฝรั่งเศสก็เกี่ยวกับเรื่องนี้เต็ม ๆ
ติดตามความบาดหมางที่เกาะกินมานานระหว่าง 2 ชาติ และต่างฝ่ายก็สุมไฟใส่กันมากเรื่อย ๆ
การเหยียดเชื้อชาติที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ทั้งฝรั่งเศส และ อาร์เจนตินา เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ฝรั่งเศสนั้น พวกเขาก็เหยียดเชื้อชาติกันเองมานานนม เพราะเป็นประเทศที่มีผู้อพยพมาจากแอฟริกามากมาย เช่นเดียวกับผู้อพยพมาจากทางอาหรับ
ว่ากันว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีสวัสดิการดี ยกตัวอย่างเช่นหากคุณมีลูกเยอะ ๆ คุณก็จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมากขึ้นไม่ว่าจะในรูปแบบของทุนต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งเงินสนับสนุนการเลี้ยงดู ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นชาวฝรั่งเศสที่มีเชื้อสายแอฟริกัน หรือเป็นอาหรับที่เป็นผู้มาทีหลัง ทำให้พวกเขาลืมตาอ้าปากได้ยากกว่า จึงใช้วิธีมีลูกเยอะ ๆ เพื่อรับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คนเชื้อสายฝรั่งเศสแท้ ๆ มองว่าชาวฝรั่งเศสที่สืบเชื้อสายจากผู้อพยพเป็นพวกกัดกร่อนทรัพยากรของชาติ พวกเขาจึงมองคนกลุ่มนี้ว่าเป็นคนนอก หรือว่าง่ายก็คือเป็นฝรั่งเศสเก๊นั่นเอง
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมฝรั่งเศส ครั้งหนึ่ง โลรองต์ บลองค์ ที่เคยคุมทีมชาติฝรั่งเศสในปี 2011 ก็เคยโดนต่อต้านจากแนวคิดที่ถูกมองว่า "เหยียดเชื้อชาติ" เช่นกัน โดย บล็องค์ นั้นเป็นชาวฝรั่งเศสแบบไม่มีเชื้อสายอื่นปน และเจ้าตัวดันออกนโยบายให้ทีมชาติฝรั่งเศสจำกัดโควต้านักเตะเยาวชนที่มีเชื้อสายแอฟริกันและเชื้อสายอื่น ๆ เอาไว้ที่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และอีก 70 เปอร์เซ็นต์จะเปิดโอกาสให้กับคนฝรั่งเศสจริง ๆ ทำให้สุดท้ายแล้ว บล็องก์ ถูกมองว่าเหยียดเชื้อชาติและเลือกปฏิบัติกับคนที่มีเชื้อชาติอื่นนอกจากฝรั่งเศส ... แม้เขาจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจเหยียด แต่สุดท้าย บล็องค์ ก็ออกจากตำแหน่งนั้นไม่นาน
ขณะที่ฝั่ง อาร์เจนติน่า ก็มีความหลากหลายทางเชื้อชาติโดยเฉพาะเชื้อชาติ สเปน, เยอรมัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ อิตาลี ที่คนอิตาลีจากตอนใต้ในยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมจำนวนมากอพยพกันมาอยู่ที่ อาร์เจนติน่า จากปัญหาความแร้นแค้น
มองจากความแตกต่างทางเชื้อชาติแล้ว ดูเหมือนกับว่าทั้ง 2 ประเทศจะเป็นเส้นขนานที่ไม่มีอะไรเกี่ยวพันกันได้ เพราะย้อนหลังทางประวัติศาสตร์ ทั้งคู่ดูจะไม่มีความหลังฝังใจต่อกัน คนอาร์เจนตินา ก็ไม่ได้มีความแค้นกับคนฝรั่งเศสอะไร เพียงแต่ว่าเรื่องนี้มันปะทุขึ้นได้ ก็เพราะจุดเริ่มต้นจากฟุตบอล
ครั้งแรกในฟุตอบโลก 2018
ก่อนที่ฟุตบอลโลก 2018 จะเริ่มชึ้น อาร์เจนตินา กับ ฝรั่งเศส เจอกันในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ครั้งสุดท้ายต้องย้อนกลับไปในปี 1978 หรือถ้าตีเป็นเวลาก็ 40 ปีผ่านมา ดังนั้นความแค้นทั้งหมดในเรื่องของฟุตบอลจึงไม่หนาแน่นระดับเป็นไฮไลต์ที่ต้องพูดถึงเท่ากับคู่กัดในโลกฟุตบอลอื่น ๆ อาทิ อังกฤษ กับ อาร์เจตินา อังกฤษ กับ เยอรมัน, หรือ อาร์เจนตินา กับ บราซิล ที่แข่งขันเมื่อไหร่มักจะมีประเด็นเกิดขึ้นเสมอ
เพียงแต่ในฟุตบอลโลก 2018 อาร์เจนตินา เข้ามาเจอกับ ฝรังเศส ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย มันเป็นช่วงเวลาของความบังเอิญจริง ๆ ที่ ณ เวลานั้นทั้ง 2 ทีมมีอะไรให้เปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวของสุดยอดนักฟุตบอลแห่งอนาคตคนใหม่อย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ และ หนึ่งนักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่โลกฟุตบอลเคยมีอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ทีก่ำลังเดินทางเข้าสู่วัยเลข 3
ณ เวลานั้นนักเตะในช่วงวัย 30 กว่า ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นนักเตะที่ใกล้ถึงวัยแขวนสตั๊ดแล้ว ดังนั้นหลายฝ่ายจึงคาดว่าเกม ๆ นี้จะเป็นเหมือนการส่งต่อยุคสมัยจาก เมสซี่ สู่ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่อายุแค่ 19 ปี ในทัวร์นาเมนต์นั้น แต่กลับโชว์ฟอร์มร้อนแรงมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ขณะที่ อาร์เจนติน่า ของ เมสซี่ กระเสือกกระสนจนนาทีสุดท้ากว่าคว้าตั๋วเข้ารอบน็อคเอาต์
และเมื่อต้องมาเจอกันในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และ ฝรั่งเศส เอาชนะ อาร์เจนตินา ไปได้ 4-3 โดย เอ็มบัปเป้ ยิงไป 2 ประตู มันจึงทำให้หลังจากเกมนั้นจบเกิดกระแสการแซวและการล้อเลียนในแนวที่จะสื่อว่า "เมสซี่หมดแล้ว" จากแฟนบอลชาวฝรั่งเศสชาติสนิทมิตรสหายของนักเตะฝรั่งเศส หรือแม้การเฉลิมฉลองของนักเตะฝรั่งเศสที่เป็นชนวนของเรื่องนี้
โดยในการฉลองแชมป์ที่โลกในกรุงปารีส กลุ่มนักเตะฝรั่งเศส ร่วมร้องเพลงบนเวทีที่เกี่ยวกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ แต่ดันไปสะกิดใส่ เมสซี่ โดยเนื้อความในเพลงมีอยู่ว่า "เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เขาตัวเล็กน่ารักแต่จัดการ เมสซี่ ได้อยู่หมัด" มองดูเนื้อหาแล้วอาจจะไม่แรงนัก แต่สำหรับคนแพ้ เท่านี้ก็อาจจะมากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอากัปกิริยาของนักเตะฝรั่งเศสที่กอดคอร้องเพลงนี้ พลางหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการเติมไฟทีละเล็กทีละน้อย เช่น ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ บอกว่า การชนะ อาร์เจนตินา คือจุดเปลี่ยนของนักเตะฝรั่งเศสชุดนี้ที่บั้นปลายกลายเป็นแชมป์โลก ขณะที่พิธีกรสายเสี้ยมที่ชอบให้สัมภาษณ์ล่อทัวร์อย่าง เพีร์ซ มอร์แกน ยังเติมไฟให้ดูเหมือนกับว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัว โดยมุ่งเป้าไปที่ เอ็มบัปเป้ โดยบอกว่า "เอ็มบัปเป้ ไม่ได้คิดแม้แต่จะห้ามเพื่อนของเขาที่กำลังสนุกกับการล้อเลียน เมสซี่ เลย .. เขากำลังทำให้ เมสซี่ ต้องอับอาย" ... เท่านี้คงมากพอแล้วสำหรับชาวอาร์เจนไตน์ ที่รัก เมสซี่ ไม่แพ้กับพระเจ้าเบอร์ 1 ของพวกเขาอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า
ความแค้นระหว่างทั้ง 2 ชาติได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ และจากสงครามโซเชี่ยล ใครเลยจะรู้ว่าเรื่องนี้ได้ลุกลามไปยังกลุ่มนักเตะของทั้ง 2 ประเทศที่มองอีกฝั่งเป็นคู่แค้นไปแล้ว จากที่ไม่เคยมีปมอะไรกันมาก่อนในอดีต
แค้นแค่ไหน...ให้ดูที่การเอาคืน
ในโลกฟุตบอลมี 1 ประโยคคลาสสิกในแนวที่ว่า "วันพระไม่ได้มีหนเดียว" และมันเป็นเช่นนั้นเสมอเพราะไม่มีใครยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าและเป็นผู้ชนะไปเสียทุกครั้ง และถ้าคุณจะดูว่านักเตะและแฟนบอลอาร์เจนติน่าโกรธแค้นจำไม่ลืมในกรณีกับ ฝรั่งเศส ในปี 2018 มากแค่ไหนให้ดูที่การเอาคืนของพวกเขา
ในฟุตบอลโลก 2022 ฝรังเศส และ อาร์เจนตินา กลับมาให้ได้สะสางล้างแค้นกันอีกครั้ง และหนนี้มันเป็นการเจอกันในรอบชิงชนะเลิศ เอ็มบัปเป้ พิสูจน์ตัวเองในฐานะนักเตะระดับโลกที่แฟน ๆ ไม่สงสัยในฝีเท้า ขณะที่ เมสซี่ ในวัย 35 ปี ถูกมองว่าจะเล่นฟุตบอลโลกเป็นหนสุดท้าย ... สำหรับแฟนบอลอาร์เจนตินากระแสทุกอย่างไปทิศทางเดียวกัน พวกเขาอยากให้ทีมชนะเพื่อให้ เมสซี่ ปลดแอกทุกอย่างที่แขวนเอาไว้ที่คอของเขาว่าเป็นนักเตะที่ห่างไกลกับมาราโดน่า เพราะขาดแชมป์โลก และแน่นอนใครก็ตามที่เคยล้อเขาว่า "หมดแล้ว" เมือ 4 ปีก่อนจะต้องกลืนคำดูถูกนั้นลงไป ... หากชัยชนะในเกมนัดชิงตกเป็นของ อาร์เจนติน่า
ราวกับว่าเรื่องนี้มันถูกลิขิตความเดือดเอาไว้ เพราะก่อนเกมนัดชิงไม่กี่วันคำพูดของนักเตะฝรั่งเศส ที่บอกว่า “ข้อได้เปรียบที่พวกเราชาวยุโรปมีก็คือเราจะได้เล่นกับทีมเก่ง ๆ ในระดับทวีปเสมอ เสมอและเราก็มีการแข่งขันขณะที่ในละติน อาร์เจนตินาและบราซิลไม่มีการแข่งขันในระดับที่พวกเราเจอ... ฟุตบอลอเมริกาใต้ไม่ได้พัฒนาเท่าในยุโรป นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแชมป์ฟุตบอลโลกล่าสุดส่วนใหญ่จึงเป็นชาวยุโรป”
บังเอิญจริง ๆ ว่าคนพูดคำนี้ดันเป็น เอ็มบัปเป้ คนที่แฟน อาร์เจนติน่า และอาจจะรวมนักเตะอาร์เจนติน่าชุดนั้นมองว่าเป็นโจทย์ตัวเอ้ ... ทุกคนรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น อาร์เจนติน่า เอาชนะ ฝรังเศส ได้ในการดวลจุดโทษ หลังเสมอกันในเกม 2-2 แม้ เอ็มบัปเป้ จะเล่นในฟอร์มที่เรียกว่า "แบกทั้งทีมเอาไว้" แต่เมื่อถึงเวลาที่นักเตะ อาร์เจนติน่า ได้ฉลองกับแฟนบอลในประเทศของเขา สิ่งต่าง ๆ ก็พรั่งพรูออกมาไม่หยุด
แน่นอนว่าเรื่องนี้ เมสซี่ อาจจะไม่เกี่ยว เพราะเขาเองก็ไม่ได้ตอบโต้หรือทำกิริยาอะไรที่น่ารังเกียจใส่ฝรั่งเศส แต่เพื่อนร่วมทีมของเขาต่างร้องเพลงล้อเลียนนักเตะฝรั่งเศส และ เอ็มบัปเป้ อย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะ เอมี่ มาร์ติเนซ ที่เลยเถิดถึงการเอาตุ๊กตาเด็กติดหน้าของ เอ็มบัปเป้ มาล้อเลียน และนอกจากนี้ยังพูดออกมาว่า "โปรดอยู่ในความสงบไว้อาลัยให้การจากไปของ เอมบัปเป้" จากคลิปหลุดที่ฉลองกันในห้องแต่งตัวของนักเตะอาร์เจนติน่าหลังเกมจบ และหลังจากที่เขาพูดจบทุกคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
จริง ๆ มาร์ติเนซ อาจไม่ได้ผิดอะไรในการล้อเลียนคู่แข่งในห้องแต่งตัว ตราบใดที่เขาไม่โดนจับได้ว่าทำแบบนั้น เพียงแต่ว่ายุคนี้มันไม่มีความลับทุกอย่างถูกตีแผ่ลงโซเชี่ยลอย่างรวดเร็ว และการกระทำของ มาร์ติเนซ รวมถึงนักเตะอาร์เจนติน่าหลายคน กลายเป็นการสร้างสงครามโซเชี่ยลของแฟนบอลทั้ง 2 ประเทศ
แน่นอนว่าเมื่อมันเป็นเรื่องของคนส่วนมาก และอยู่บนโซเชี่ยลมีเดีย สารพัดมุกที่เจ็บแสบทุกขุดขึ้นมามากมาย แน่นอนว่มมันต้องมีกาเรหยียดกันบ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องผ่านหูผ่านตานักเตะทั้ง 2 ฝั่งไม่มากก็น้อย ดังนั้นความแค้นของทั้ง 2 ชาติก็เริ่มถูกยกเป็น "ความบาดหมางระดับคู่แค้นหมายเลข 1 ตั้งแต่วันนั้น"
แฟนบอล อาร์เจนติน่า ล้อ ฝรั่งเศส และ เอ็มบัปเป้ แรงแค่ไหน แฟนบอล ฝรั่งเศส ก็ล้อเลียน อาร์เจนตินา และ เมสซี่ กลับแรงแค่นั้น ... เรื่องมันง่าย ๆ แบบนี้นี่เอง และเราก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าความเกลียดชังนี้ส่งไปถึงนักเตะของพวกเขาด้วยแน่ ๆ จากสิ่งที่ เอ็นโซ่ เฟอร์นันเดซ ทำออกมาในการฉลองแชมป์โคปา 2024 จนต้องตามมาขอโทษขอโพยกันยกใหญ่
หนนี้ดูจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าปกติเพราะมันเป็นการเหยีดยเชื้อชาติกันเต็ม ๆ และพูดผ่านปากของตัวนักเตะเองด้วย ไม่ใช่แฟนบอลในโซเชี่ยลอีกแล้ว .. .การกระทำนี้คือการสาดน้ำมันเข้ากองเพลิง ซึ่งจะทำให้ต่างฝ่ายต่าวเกลียดกันหนักขึ้นหลายเท่า แม้ว่าที่สุดแล้ว เอ็นโซ่ จะต้องรับผิดชอบกับคำพูดของเขาที่เอ่ยมาก็ตาม
ณ ตอนนี้โลกเราได้ถือกำเนิดคู่แค้นอย่างเป็นทางการแล้ว จากนี้ไปหากฝรังเศส เจอกับ อาร์เจนติน่า เรื่องราวจะลุกลามเพิ่มเติมไปกว่านี้หรือไม่ ... โปรดติดตามตอนต่อไป ไม่เร็วก็ช้า เราจะได้รู้กันแน่นอน
แหล่งอ้างอิง :
https://www.newsweek.com/france-team-mocking-lionel-messi-resurfaces-after-argentina-world-cup-win-1769023
https://www.goal.com/en-om/lists/martinez-arrogant-jealous-mbappe-hat-trick-france-vs-argentina-only-messi-can-mock-him-fans/blt0322a471cc9020e8
https://www.eurosport.com/football/world-cup/2018/he-must-think-i-am-his-toy-baby-emiliano-martinez-denies-mocking-kylian-mbappe-in-world-cup-celebrat_sto9385592/story.shtml
https://www.sportbible.com/football/football-news/lionel-messi-kylian-mbappe-euros-world-cup-691344-20240612
https://www.independent.co.uk/sport/football/world-cup/world-cup-2018-cristiano-ronaldo-lionel-messi-kylian-mbappe-watch-highlights-russia-next-generation-a8425291.html
https://www.11v11.com/teams/argentina/tab/opposingTeams/opposition/France/