Feature

Carcult : ทีมช่างภาพคนไทย ผู้อยู่เบื้องหลังคลิป เซอร์ ลูอิส แฮมิลตัน ซิ่ง GT-R | Main Stand

นับเป็นโปรเจ็กต์ที่สร้างเซอร์ไพรส์และความตื่นเต้นให้กับแฟนรถซิ่งทั่วโลกรวมถึงชาวไทยอยู่ไม่น้อย เมื่อ เซอร์ ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลกรถสูตรหนึ่ง 7 สมัย ชาวอังกฤษ ได้โพสต์คลิปขับรถสปอร์ตในตำนานอย่าง Nissan Skyline GT-R R34 รอบสถานที่สำคัญในประเทศญี่ปุ่น และยังโชว์ลวดลายดริฟต์ ขณะที่เดินทางมาเพื่อแข่งขัน F1 รายการ เจแปนีส กรังด์ปรีซ์ เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

 


ภาพเบื้องหน้าอาจเห็นได้ว่า คลิปที่ถูกตัดออกมาร่วมนาทีกว่า ๆ อัดแน่นไปด้วยฟีลลิ่งความตื่นเต้นของ ลูอิส แฮมิลตัน ที่อยู่หลังพวงมาลัยของรถซิ่งระดับตำนาน 

แต่กว่าที่จะกลายมาเป็นคลิปสุดโด่งดังเช่นนี้ หนึ่งในฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนการถ่ายทำเกิดมาจากฝีมือของ Carcult ช่างภาพอิสระชาวไทยผู้อยู่เบื้องหลังการถ่ายทำทั้งหมด 

Main Stand มีโอกาสพูดคุยกับ "เชียร์" ชินกฤต รัตนศรีทอง หนึ่งในช่างภาพจาก Carcult ที่รังสรรค์โปรเจ็กต์สุดอลังการนี้ ความสนุกและน่าตื่นเต้นกับการร่วมงานนักแข่งชื่อดังระดับโลกครั้งแรก มีที่ไปที่มาอย่างไร ? ติดตามบทสัมภาษณ์ของ เชียร์ ได้พร้อมกันที่นี่กับ Main Stand

 

Carcult สร้างสตอรี่รถซิ่งด้วยรูปภาพ

เมื่อกล่าวถึงวงการรถแต่งหรือรถซิ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในสิ่งที่อยู่คู่กับวงการเหล่านี้ก็คือ ช่างภาพรถซิ่ง ผู้ถ่ายทอดความสวยงามของตัวรถออกมาผ่านรูปภาพ ซึ่งในประเทศไทยเองมีช่างภาพประเภทนี้อยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือ Carcult 

Carcult เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ "เชียร์" ชินกฤต รัตนศรีทอง และ "ตูมตาม" ธนพล ดำขำ สองช่างภาพอิสระที่มีแพชชั่นและความชื่นชอบในรถยนต์ แต่ก่อนที่จะเบนเข็มเปิดเพจดังกล่าวและมาถ่ายรูปรถซิ่งอย่างเต็มตัว ทั้งคู่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 ทำให้งานทุกอย่างถูกยกเลิก 

การเป็นช่างภาพรถดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ถ่ายรูปเหล่ารถซิ่งที่ถูกดัดแปลงตกแต่งออกมาอย่างสวยงาม แต่สิ่งที่ทำให้ Carcult นั้นแตกต่างก็คือ การถ่ายทอดเรื่องราวของทั้งสถานที่และรถยนต์

"เพจนี้ก็เป็นเหมือนคอนเทนต์ครีเอเตอร์หรือช่างภาพที่เกี่ยวกับรถยนต์ เรียกอีกอย่างว่า Car Culture ความตั้งใจของเราคืออยากให้ภาพของรถซิ่งในมุมมองอื่น ๆ ที่มากกว่าเดิม"

"หลายคนอาจจะชอบมองว่าไอ้พวกนี้แค่ถ่ายรถซิ่ง แต่ผมพยายามให้ภาพและวิดีโออธิบายว่า รถซิ่งก็มีเสน่ห์ มันคืออีกอย่างที่ไทยเราก็เป็นระดับท็อป"

"เราเลือกโจทย์การทำงานในแบบโปรดักชั่นเฮาส์ ด้วยการลงพื้นที่ไปดูองค์ประกอบโดยรอบ ก่อนที่จะเลือกว่ารถคันไหนตอบโจทย์โลเคชั่นของเรา นั่นคือจุดเด่นของเพจผมที่เน้นคอนเซปต์เล่าสถานที่ 50 เปอร์เซ็นต์ และรถอีก 50 เปอร์เซ็นต์" เชียร์ เผยถึงตัวตนของเพจ Carcult

เป็นระยะเวลานับปีที่ทั้ง เชียร์ และ ตูมตาม ตระเวนถ่ายภาพรถซิ่งในประเทศไทยเพื่อนำเสนอรูปแบบและวัฒนธรรมการแต่งรถซิ่งในบ้านเรา ซึ่งการลงพื้นที่ถ่ายทำทั้งหมด เชียร์ และ ตูมตาม ต่างลงทุนลงแรงด้วยตัวเองทั้งหมด

 

ความ (ไม่) บังเอิญจากผลงาน

การเป็นช่างภาพรถซิ่งนั้น คงไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะดีไปกว่าการพาตัวเองออกไปยังสถานที่ใหม่ ๆ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และนับตั้งแต่เริ่มทำเพจอย่างจริงจัง Carcult เดินทางออกไปถ่ายภาพมาแล้วหลายสิบประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป อาทิ มาเลเซีย, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส, เบลเยียม และ สหรัฐอเมริกา

โดยรูปภาพหรือผลงานที่ถ่ายเอาไว้ก็จะมาปรากฏอยู่ที่โซเชียลมีเดียของ Carcult สิ่งที่เป็นจุดเด่นของการเป็นช่างภาพรถซิ่งในสไตล์ Carcult ก็คือวิธีการถ่ายทอดแนวคิดทำให้ Carcult กลายเป็นที่รู้จักในหมู่ช่างภาพรถซิ่ง

แต่แล้วเรื่องราวที่เกินฝันของช่างภาพคนหนึ่งก็เกิดขึ้น … เมื่อ ทิมมี่ (Timothy McGurr) ช่างภาพส่วนตัวของ เซอร์ ลูอิส แฮมิลตัน ได้ติดต่อเข้ามายังข้อความใน อินสตาแกรม โดยที่เชียร์ไม่คาดคิดมาก่อน

"เขา (ทิมมี่) ทักอินบ็อกซ์มาในข้อความ IG แต่จริง ๆ แล้วผมกับเขาไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว"

"เขาทักมาว่า 'เป็นยังไงบ้าง เรามีแผนจะไปโตเกียวกับ ลูอิส และมีแผนทำวิดีโออีกครั้ง' เขาพิมพ์มาแค่นี้เลย แล้วผมก็เปิดอ่านแต่ไม่ได้ตอบกลับไป"

เมื่อได้เห็นข้อความนี้ เชียร์ เกิดความรู้ประหลาดใจเพราะยังไม่แน่ใจว่าบัญชีดังกล่าวเป็นของทิมมี่จริง ๆ 

"พอเข้าไปดูโปรไฟล์ของทิมมี่แล้ว เฮ้ย ! มันของจริงว่ะ เขาคือช่างภาพที่เราติดตามอยู่ด้วย ไม่น่ามั่วแล้ว" 

"ผมก็เลยตัดสินใจตอบกลับไปว่า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงใช่ไหม หรือ อยากให้เราทำอะไร ซึ่งผมกับน้องเราก็ดูแข่ง F1 กันตลอด แค่เป็นนักขับใน F1 ก็ดีใจมากแล้ว แต่นี่คือ ลูอิส แฮมิลตัน มันเกิดฝันไปมาก ๆ" 

เซอร์ ลูอิส แฮมิลตัน มีคิวเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นเพื่อลงทำการแข่งขัน F1 รายการ เจแปนนิส กรังด์ปรีซ์ ในช่วงระหว่างวันที่ 5-7 เมษายน ซึ่งแน่นอนว่าการมาเยือนที่ประเทศนี้อีกครั้ง แฮมิลตัน ต้องการถ่ายทำคลิปขับรถเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา

หากยังจำกันได้ ลูอิส แฮมิลตัน เคยโพสต์คลิปวิดีโอที่เจ้าตัวขับรถ Nissan Skyline GT-R R34 สีขาว ออกซิ่งในประเทศญี่ปุ่นยามค่ำคืน เมื่อปลายปี 2022 แต่การถ่ายทำดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ซึ่ง แฮมิลตัน เพียงแค่ให้ทีมงานเช่ารถ (และหากจำกันได้อีกครั้ง รถคันดังกล่าวเพิ่งถูกขโมย ก่อนตามกลับคืนมาได้ช่วงต้นปี 2024 นี้เอง) ติดตั้งกล้อง GoPro และนำออกมาซิ่ง จนคลิปที่ปรากฏออกมายังไม่มีความอลังการเท่าไรนัก

"ปีนี้เขา (ลูอิส แฮมิลตัน) ต้องการบรรยากาศเพิ่มขึ้น ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ทิมมี่ เลยเสนอเรา (Carcult) ให้กับ ลูอิส เขาก็รู้สึกตรงใจกับเรามาก เราก็ยิ่งดีใจที่เขาชอบผลงานเรา เขาพูดถึงเรา มันเกินกว่าที่เราคิดไว้มาก ๆ !"

ท้ายที่สุดแล้ว เชียร์ ไม่ปิดโอกาสตัวเอง พร้อมตอบรับการทำงานในโปรเจ็กต์ดังกล่าว แม้ว่าเขาจะยังไม่เชื่อสายตาของตัวเองกับเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น 

 

การร่วมงานระดับโลกไม่ใช่เรื่องง่าย

เมื่อเป็นการร่วมงานกับนักกีฬาภายใต้สังกัดทีมแข่งระดับโลก แทบมองไม่เห็นถึงความง่ายในการเริ่มโปรเจ็กต์นี้เลยแม้แต่น้อย เพราะแน่นอนว่า ตัวนักแข่งอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน เองย่อมมีลิขสิทธิ์มากมาย ซึ่งก่อนที่จะเริ่มงานทั้งหมด ได้มีการเซ็นสัญญาการทำงานอย่างจริงจัง และที่สำคัญ การถ่ายทำทุกอย่างจะต้องเป็นความลับ 

ทีมงานที่เข้ามาดูแลโปรเจ็กต์นี้ประกอบไปด้วยหลายฝ่าย ทั้ง ครีเอทีฟ (Carcult กับ ทิมมี่), ลูอิส แฮมิลตัน, ทีมเมอร์เซเดส, ทีมกฎหมาย และทีมรักษาภาพลักษณ์ ที่ดูแลเรื่องการทำงานต่าง ๆ และเมื่อมีหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมมีเงื่อนไขหรือข้อห้ามเต็มไปหมด 

แต่เพื่อความสะดวก ทาง เชียร์ และ ทิมมี่ ได้มีการสร้างกลุ่มแยก เพื่อพูดคุยเงื่อนไขต่าง ๆ แบบลับเฉพาะ

"ทุกอย่างที่เราคุยกันในฝั่งครีเอทีฟเรา ไม่มีการอัปเดตฝั่งนู้นเลย เพราะว่าหากผมอัพเดทจากฝั่งนู้นเมื่อไหร่ ทุกอย่างจะต้องถูกตัดทิ้งแน่นอน"

"ผมได้โจทย์มาว่า การถ่ายตึกในเมือง ห้ามเห็นแบรนด์โฆษณาอื่น ๆ การถ่ายรถต้องถ่ายมุมกว้าง ห้ามเห็นโลโก้ของรถ และต้องถ่ายทำในสถานที่ปิดหากมีการขับขี่ที่อันตราย"

"พอเราคุยรายละเอียด เขาบอกว่า เขาอยากจะขับผ่านที่ที่เป็นคัลเจอร์ และเพิ่มบรรยากาศของประเทศ อย่างเช่น โตเกียว สกายทรี, แยกชิบูย่า, ชินจูกุ, สะพานเรนโบว์บริดจ์ ซึ่งเรามีเวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงในการถ่ายทำ" 

"แต่สิ่งที่หนักใจที่สุด ก็คือสถานที่ดริฟต์ เพราะว่า แฮมิลตัน ต้องการที่จะดริฟต์รถ โดยไม่เช่าสถานที่และไม่ดริฟต์บนถนน เพราะเขาบอกว่า ถ้ามีการเช่า คนอื่นก็จะรู้ว่าเขามาทำอะไร" 

"ความยากมันอยู่ตรงนี้ เพราะว่าผมและน้องอยู่ที่ประเทศไทย และต้องติดต่อทุกอย่างในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผมและน้องต้องติดต่อเพื่อน ๆ ที่ประเทศนั้นว่าต้องการสถานที่แบบนี้" 

ทางทีมงาน Carcult ที่นำโดยเชียร์และตูมตาม ได้มีการเริ่มประสานงานในเรื่องสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งในระหว่างนั้นทางฝั่งของ ลูอิส แฮมิลตัน ได้มีการอัปเดตรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติมอยู่เรื่อย ๆ 

ท่ามกลางการพูดคุยรายละเอียด มีเงื่อนไขมากมายที่ เชียร์ ต้องรับมือ อย่างเช่น แฮมิลตัน ขอรถ Nissan GT-R R34 ที่ Wrap เป็นลายรถตำรวจของประเทศญี่ปุ่น หรือการมีรถ Mercedes-Benz ซึ่งเป็นทีมที่ แฮมิลตัน สังกัด เข้ามาอยู่ในคลิปด้วย

หนึ่งในเงื่อนไขที่ทาง แฮมิลตัน เสนอมาให้กับเชียร์ จนทำให้เข้าหนักรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย นั่นก็คือ แชมป์โลก 7 สมัยรายนี้ต้องการให้คลิป มีนักแข่ง F1 เข้ามาร่วมสนุกอีกหนึ่งคน 

"ระหว่างนี้เราก็มีการอัปเดตกับทิมมี่ ซึ่งเขาเองก็ค่อนข้างพอใจ แต่ ลูอิส ก็ตอบกลับมาว่า มันจะน่าเบื่อไหมถ้าในคลิปมีแต่เขา และอยากให้ แลนโด นอร์ริส เข้ามาขับด้วย" 

เมื่อเป็นเช่นนั้น เชียร์ ได้ตอบรับข้อเสนอของ ลูอิส แฮมิลตัน ซึ่งแน่นอนว่าเงื่อนไขของ แลนโด นอร์ริส ต้องขับรถยี่ห้อ McLaren อันเป็นสังกัดของเจ้าตัว 

"ชิบหายแล้วไอ้ตาม McLaren เลยนะเว้ย !" เชียร์ เผยถึงคำอุทานที่กล่าวกับตูมตาม (น้องชาย)

ความกังวลได้เกิดขึ้น เนื่องจากเพื่อน ๆ ที่เชียร์รู้จัก ไม่มีใครขับรถยี่ห้อนี้ ทำให้เขาเองรู้สึกหนักใจเกี่ยวกับการจัดหารถ แต่สุดท้ายแล้วเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องจาก แฮมิลตัน ได้ตัดสินใจขับคนเดียวอีกครั้ง 

ทุกอย่างเป็นไปตามแพลนที่ Carcult และทางฝั่ง ลูอิส แฮมิลตัน เตรียมการเอาไว้ ก่อนที่ เชียร์ และ ตูมตาม จะออกเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่น เพื่อเริ่มโปรเจ็กต์สุดยิ่งใหญ่ในชีวิต

 

เกือบจะเป็น R34 สีเทา

ประเทศญี่ปุ่น นี่คือดินแดนแห่งความฝันของผู้ที่คลั่งไคล้รถยนต์ทั่วโลก เพราะที่นี่คือต้นกำเนิดรถสปอร์ตระดับตำนานมากมาย อีกทั้งยังเป็นดินแดนแห่งความฝันของนักท่องเที่ยวกับแลนด์มาร์กที่มีอยู่ทั่วทุกมุมประเทศ

เชียร์ ย้อนให้ฟังว่า เขาเองมีโอกาสเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นทุกปี และการมาเยือนแดนอาทิตย์อุทัยทุกครั้ง เขาจะติดต่อรุ่นพี่คนไทยที่รู้จัก นำรถ Nissan Skyline GT-R R34 สีน้ำเงินและสีเทา หนึ่งในตำนานจตุรเทพรถซิ่งญี่ปุ่น (Nissan Skyline GT-R, Toyota Supra, Mazda RX-7 และ Honda NSX) ออกมาขับและถ่ายรูปเล่นตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ เพื่อสะสมประสบการณ์ไปในตัว 

และเมื่อ แฮมิลตัน มาเยือนที่ประเทศญี่ปุ่นทั้งที คงไม่มีรถรุ่นไหนที่จะมีความเหมาะสมกับการเป็นตัวชูความโดดเด่นของประเทศนี้ไปมากกว่า R34 GT-R และยังเป็นรถที่ ลูอิส แฮมิลตัน ชื่นชอบอีกด้วย

เชียร์ ได้ติดต่อไปยังรุ่นพี่คนไทยที่เป็นเจ้าของรถ R34 GT-R ทั้งสองคันเพื่อขอยืมมาให้ แฮมิลตัน ขับและถ่ายทำโปรเจ็กต์ลับสุดยอด 

"ขอบคุณมาก ๆ ถึงแม้โปรเจ็กต์นี้จะยุ่งยากและซับซ้อนไปหน่อย แต่ขอบคุณมากที่ทำให้เกิดขึ้น" นี่คือคำพูดแรกของ ลูอิส แฮมิลตัน ที่กล่าวกับเชียร์และทีมงานก่อนที่พวกเขาจะเริ่มการถ่ายทำ 

"ผมก็อธิบายว่า รถแต่ละคันเป็นอย่างไร คันสีน้ำเงินเป็นรถที่ไม่ได้มีการปรับแต่งเครื่องมาก ขับง่าย ส่วนคันสีเทาเป็นรถที่ปรับแต่งเครื่องมาพอสมควร สุดท้ายเขาเลือกคันสีเทาเลย (หัวเราะ)"

ทว่าเมื่อขับไปสักระยะ แฮมิลตัน ขอเปลี่ยนเป็นรถสีน้ำเงิน เพราะว่า R34 คันสีเทานั้นท่อไอเสียเสียงดังเกินไป และกลัวที่จะเป็นจุดสนใจ การถ่ายทำเต็มไปด้วยความท้าทาย เนื่องจากวันดังกล่าวมีฝนโปรยลงมา แต่เชียร์และทีมงานก็ยังคงสู้กันต่ออย่างสุดความสามารถ 

กระทั่งคิวสุดท้ายนั่นก็คือการดริฟต์ ขณะนั้นทางทีมงาน Carcult ของ เชียร์ และ ลูอิส แฮมิลตัน กำลังติดไฟแดง ซึ่งสถานที่ที่ เชียร์ ได้ติดต่อเอาไว้เพื่อถ่ายทำอยู่ห่างอีกเพียง 100 เมตรเท่านั้น

"แฮมิลตัน ตีไฟสูงขึ้นมา ผมรีบวิ่งลงจากรถและสอบถามเขาว่ามีอะไรหรือเปล่า" เชียร์ เผยว่าในขณะนั้นเขาเองรู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าอาจมีเหตุกาณ์ผิดปกติเกิดขึ้น

"เขา (แฮมิลตัน) ชี้ไปทางขวามือ ว่าตรงนี้มีลานโล่งอยู่ ซึ่งเป็นลานรถบรรทุกใหญ่ ๆ แต่ผมก็บอกกลับไปว่าแต่อีก 100 เมตรจะถึงจุดหมายของเราแล้วนะ เขาก็ตอบกลับมาว่าเขาเองอยากดริฟต์ตรงนี้ เราก็มีลังเลบ้างแต่สุดท้ายเราก็ตกลงที่จะเข้าไปในลาน"

"พอเขา (แฮมิลตัน) ได้ดริฟต์ เขาก็มาบอกกับเราว่า So good ! เราเองก็เห็นสีหน้าของเขาว่าเขามีความสุขและสนุกมาก ซึ่งเราก็ถ่ายทำกันจนเสร็จในวันนั้น"

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจดังกล่าว เชียร์ และทีมงานเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความรู้สึกกดดันและแบกความคาดหวังเอาไว้ได้หลุดหายไป

"เราก็คุยกันในรถว่ามันสุดยอดมาก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราทำมันสำเร็จ ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นและดีใจเหมือนกันหมด พอมาถึงโรงแรม แฮมิลตัน ก็เดินมาขอบคุณเรา เขาพูดว่า 'ขอบคุณมาก คืนนี้เป็นคืนที่สนุกที่สุดเลย มันดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้ GT-R ก็ยังเป็นรถที่ผมชอบเสมอ'" 

เชียร์ ย้อนคำพูดของ แฮมิลตัน และยังคงจดจำคำพูดของนักแข่งชาวอังกฤษได้ขึ้นใจ 

 

Dream Come True 

คงไม่มีใครคาดคิดว่า การตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ช่างภาพรถซิ่งในนาม Carcult เป็นสิ่งที่ เชียร์ และ ตูมตาม ตัดสินใจ ทำให้พวกเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแข่ง F1 ระดับโลก นี่คือผลตอบแทนของความทุ่มเทที่ทำ

การฝ่าฟันและต่อสู่เพื่อทำตามที่พวกเขาต่อสู้กันมา กลับประสบความสำเร็จกันจนถึงวันนี้ 

เชียร์เผยว่าสิ่งที่เขาดีใจมากที่สุดคือ โปรเจ็กต์นี้เป็นคนของไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพ ทีมงาน หรือแม้กระทั่งรถที่ แฮมิลตัน ขับ รวมถึงฟีดแบ็กจากทีม ลูอิส แฮมิลตัน ที่เขาได้รับ 

"ทิมมี่และลูอิส บอกว่าเราอาจจะมีการร่วมงานกันอีกแน่นอน และทิ้งท้ายไว้ว่า Welcome to +44 family ผมเห็นข้อความแล้วแบบตกใจ ! แค่เห็นประโยคนี้แล้วผมรู้สึกดีเอามาก ๆ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนที่ชื่นชอบดาราหรือนักแสดงสักคนหนึ่ง แค่เขาตอบกลับมาเราก็ดีใจมาก ๆ"

หลังจากผ่านพ้นความเหนื่อยล้าและการถ่ายทำที่ดุเดือด คงไม่มีสิ่งอื่นใดที่ เชียร์ จะต้องรอคอยไปมากกว่าการได้เห็นผลงานของตัวเองออกสู่สายตาผู้ใช้โซเชียล 

"โหหหหห !" เชียร์ อุทานขึ้นมา "ความรู้สึกเหมือนรอดูฟุตบอลโลกนัดชิงเลย แฟนผมบอกผมว่าคลิปออนแล้ว แต่ผมเองก็ทำนิ่ง ๆ แล้วค่อยกดเข้าไปดูทำเป็นไม่ตื่นเต้น แต่จริง ๆ แล้วโคตรตื่นเต้นเลย" 

"คลิปนี้ทางทีมผมไม่ได้เป็นคนตัดต่อ เราก็เลยตื่นเต้นไปด้วยว่า ช็อตที่เราถ่ายมาจะได้ใช้ไหม พอได้ดู อู้หู ! ขนลุก มันดีใจมาก ๆ ช็อตนี้ผมถ่าย ช็อตนั้นน้องถ่าย เป็นคลิปที่ตัดออกมาไม่กี่นาที แต่ผมดูเวียนเป็นร้อยรอบ" เชียร์เล่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข

"แต่สิ่งที่ผมดีใจไปกว่านั้นก็คือ เพื่อนผมที่ประเทศญี่ปุ่นเขาก็เมนชั่นกลับมาว่า โปรเจ็กต์นี้ถ่ายโดยคนไทยเป็นร้อย ๆ ข้อความ, คลิปนี้ทำโดย Carcult From Thailand สำหรับผม มันมาไกลเกินจุดที่คิดเอาไว้แล้ว"

"ผมก็มานั่งพูดกับน้องตูมตามว่า ไม่ได้มีสิ่งที่ต้องการที่ใหญ่ไปกว่านี้แล้ว เหมือนเราได้ตายตาหลับพอได้ทำโปรเจ็กต์นี้"

ทุกถ้อยคำที่ เชียร์ ได้เล่าย้อนถึงการร่วมงานในครั้งนั้น มันทำให้เราได้สัมผัสถึงความตื่นเต้นของคนคนหนึ่ง ที่มีความฝันในการถ่ายทอดเรื่องราวของรถยนต์ของไทยไปสู่ระดับโลก และในวันนี้ความฝันของพวกเขาสำเร็จแล้ว กับบันไดขั้นแรกของการร่วมงานโปรเจ็กต์ระดับโลก

"มันเป็นเรื่องที่เล่ากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ และยังตื่นเต้นมาจนถึงทุกวันนี้" เชียร์ กล่าวทิ้งท้ายก่อนที่การสนทนาจะจบลง  

 

Author

ทรงวุฒิ อุ่นบริบูรณ์

ผู้ชื่นชอบการออกกำลังกายและหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของรถยนต์จากโมเดล

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ