ดิเอโก้ มาราโดน่า คือชื่อของนักฟุตบอลที่ตั้งไว้อยู่ในสถานะพระเจ้าของโลกลูกหนัง ต่อให้คุณจะเกิดทันดูเขาเล่นหรือไม่ ผู้คนในยุคนั้นก็จะมาบอกเล่าความสุดยอดของเขาเสมอ เรียกได้ว่าเป็นตำนานที่ถูกยกขึ้นหิ้ง แม้กระทั่ง ลิโอเนล เมสซี่ เก่งสุดยอดขนาดนี้ แต่ก็ยังมีอดีตนักเตะหรือใครหลายคนยังบอกว่า "มาราโดน่า" คือที่สุด
อย่างไรก็ตามว่ากันว่าสถานะตรงนั้นเคยถูกเตรียมไว้อีก 1 ที่ สำหรับนักเตะในยุคไล่ ๆ หลัง มาราโดน่า ไม่กี่ปี นั่นคือ โรแบร์โต้ บาจโจ้
กองหน้าชาวอิตาลี เคยเกือบไปถึงจุดที่เรียกว่า "หิ้ง" ของวงการฟุตบอลแล้ว ยกเว้นเสียแต่ว่า "ถ้า" วันนั้นเขาสามารถยิงจุดโทษในเกมนัดชิงฟุตบอลโลก 1994 โลกจะจดจำเขาในแบบเดียวกับที่จดจำ มาราโดน่า หรือเปล่า ?
วิเคราะห์กับ Main Stand ที่นี่
บาจโจ้ เก่งแค่ไหน ?
ภาพของโรแบร์โต้ บาจโจ้ ที่ถูกโลกฟุตบอลจดจำมากที่สุดคือภาพที่เขาก้มหน้าเสียใจหลังยิงจุดโทษข้ามคาน ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1994 ในเกมที่ อิตาลี เจอกับ บราซิล นั่นคือภาพจำที่ชัดเจน โดยเฉพาะกับแฟนฟุตบอลรุ่นหลัง ๆ เพราะถือเป็นถึงในช็อตพลาดที่คลาสสิกที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาอีกมากมาย ที่เกิดขึ้นในตอนที่ บาจโจ้ ยังโลดเเล่น ว่ากันด้วยระดับหรือคลาสของเขา ต้องบอกว่าอยู่ในระดับท็อปของยุคอย่างไม่ต้องสงสัย แถมเป็นยุคที่ฟุตบอลอิตาลีเกรียงไกรและเต็มไปด้วยนักเตะต่างชาติระดับโลกมากมายเดินไหล่แทบชนกันด้วย
หากจะให้อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ คือ บาจโจ้ เป็นกองหน้าตัวต่ำที่เชิงสูงมาก เรียกว่ามีความเก่งกาจตรงตามตำราเบอร์ 10 ของโลกฟุตบอลทุกประการ คล่องแคล่วรวดเร็ว ไหวพริบเกินร้อย ชั้นเชิงไม่เป็นรองใคร ใช้เท้าทั้งสองข้างได้มีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน มีเซ้นส์ในการจ่ายบอลที่เฉียบคม เช่นเดียวกับมีเซ้นส์ในการยิงประตูเหลือร้าย คุณจะไม่ได้เห็นบาจโจ้ ยิงชนิดที่ว่าเต็มข้อล่อเต็มแข้งบ่อย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นประตูที่เกิดจากเหลี่ยมบอลอันแพรวพราว
เพื่อไม่ให้เป็นการอวยกันเกินไปกว่านี้ เราจะขอเอาบทความของ FIFA ที่บรรบายถึงสรรพคุณของ บาจโจ้ มาพูดอีกหน่อย โดยเว็บไซต์สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติใช้คำจำกัดความของ บาจโจ้ ว่า "ศิลปินลูกหนังชาวอิตาลีกับผมทรงหางม้าอันศักดิ์สิทธิ์" พร้อมอธิบานต่อสั้น ๆ ว่า "บาจโจ้ คือจิตวิญญาณของฟุตบอล อิตาลี เป็นผู้เล่นที่วาดพู่กันลงบนฟลอหญ้าด้วยความสงบ ท่ามกลางสถานการณ์รอบตัวที่ดุเดือดเลือดพล่าน"
จากประโยคนี้คุณจะเห็นภาพปิ๊ง! ขึ้นมาในสมองเลย ว่าเขาเป็นนักเตะประเภทที่ว่าเมื่อเขาเคลื่อนไหวในสนาม มันจะเหมือนกับตัวของเขาไวกว่าคู่แข่งอยู่ 1 ก้าว มีการสัมผัสบอลในระดับที่นุ่มนวลชวนฝัน ทั้ง ๆ ที่ฟุตบอลยุคนั้นเตะกันได้แบบโต้ง ๆ บางครั้งยังไม่โดนใบเหลืองเลยด้วยซ้ำ
เป็นอันสรุปได้ว่า บาจโจ้ คือนักเตะที่มีพร้อมทั้ง ฝีเท้า หัวใจ ความมุ่งมัน และ คาแร็คเตอร์ ... ตลอดชีวิตค้าแข้งของเขามีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นมากมายหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่หายเจ็บ บาจโจ้ จะกลับมาเป็นคนเดิมเสมอ ดังนั้นเขาจึงถูกยกย่องให้เป็นนักเตะอิตาลีที่เก่งที่สุดตลอดกาล
ดังนั้นวัดกันเฉพาะเรื่องของฝีเท้าและผลงานในสนามเราคงต้องบอกว่าอะไรที่ มาราโดน่า ทำได้ บาจโจ้ ก็ทำได้ไม่แพ้กัน ...เพียงแต่ว่า มาราโดน่า มีสิงหนึ่งที่ บาจโจ้ ไม่มีนั่นคือเขาเป็นนักสร้าง "โกลเด้น โมเมนท์" หรือช่วงเวลาแห่งตำนานที่มากกว่าเท่านั้น ในเกมที่ทั้งโลกจับตามอง มาราโดน่า มักจะทำอะไรสักอย่างไม่ว่าดีหรือร้าย ให้โลกได้พูดถึงเขาเสมอ .. คำถามคือ บานโจ้ ทำไม่ทำแบบนั้นบ้าง ?
ขาวกับดำ
หาก บาจโจ้ คือ "สีขาว" ของนักเตะพรสวรรค์ระดับโลก มาราโดน่า จะเป็น "สีดำ"
สีขาว กับ ดำ ที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องความดีหรือความเลวอะไรเทือก ๆ นั้น กล่าวคือทั้ง 2 คนมีแนวคิดกับชัยชนะและฟุตบอลที่ค่อนข้างแตกต่างกัน บาจโจ้ คือเด็กเทพระดับพรสวรรค์ที่เล่นฟุตบอลระดับอาชีพมาตั้งแต่อายุ 16 ปี วิธีการเติบโตเขาเกิดจากฟุตบอลอิตาลีตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงมีความเป็นศิลปินในตัวสูง เวลาจะคิดหรือจะทำอะไร บาจโจ้ มักจะเลือกวิธีการที่ทำให้ตัวเองดูเด่นเป็นสง่ากว่าคนอื่น ๆ เป็นพิเศษ
ครั้งหนึ่งอันเดรีย ปิร์โล่ เคยกล่าวว่าในสมัยดาวรุ่งที่เขาอยู่กับ เบรสชา ที่มี บาจโจ้ เป็นกัปตันทีม นั้น บาจโจ้ คือสุดยอดนักบอลที่ควรจะยิงประตูได้มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ บาจโจ้ ดันเป็นคนที่ไม่ค่อยพอใจกับนักเวลาที่ตัวเอง "ยิงประตูง่าย ๆ" ดังนั้นเขาจึงชอบที่จะทำอะไรให้มันยากขึ้นเพื่อส่งบอลเข้าประตูในจังหวะที่เขาสามารถทำได้
โดย ปิร์โล่ ยกตัวอย่างในจังหวะที่เขาจ่ายบอลโด่ง ๆ หรือโยนข้ามหัวกองหลังไปให้ บาจโจ้ ... บาจโจ้ มักจะเลือกยิงจากจังหวะแรกเพื่อโชว์ทักษะการควบคุมบอลของเขา หรือไม่ก็ดึงบอลลงอย่างนุ่มนวลที่สุด ยกตัวอย่างเช่นประตูสุดเหนือชั้นที่เขายิง ยูเวนตุส ได้ในปี 2001
และนั่นคือตอนที่บาจโจ้ อายุ 35 ปีที่เขาทำแบบนั้น
กองกลางที่เล่นกับ บาจโจ้ หลายคนบอกแบบนั้น นอกจาก ปิร์โล่ ยังมี จิอันคาร์โล มาร็อคคี่ ที่เล่นร่วมกับ บาจโจ้ ในช่วงพีกต้นยุค 90s กับ ยูเวนตุส ก็เล่าคล้าย ๆ กันว่า
"ในฐานะกองกลาง ผมเหมือนคนที่ได้นั่งในเก้าอี้ของตั๋วVIP สำหรับดูโชว์ของ บาจโจ้ คุณจะได้เห็นอะไรที่เหลือเชื่อมากมายจากเขา ตั้งแต่เล่นฟุตบอลมาผมค้นพบว่าความสุนทรีย์ที่สุดที่ผมเคยเห็น มักจะเกิดขึ้นตอนที่บอลอยู่กับเท้าของ บาจโจ้" มาร็อคคี่ ว่าแบบนั้น
ปิดท้ายกันที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือของ แมนฯ ซิตี้ ที่ครั้งเป็นนักเตะเคยเล่นกับสโมสรใหญ่ ๆ อย่าง บาร์เซโลน่า และ โรม่า แต่เขาก็ยังบอกว่าแม้จะได้เล่นในช่วงบั้นปลายอาชีพที่ร่วมกับ บาจโจ้ ในช่วงสั้น ๆ ที่ เบรสชา แต่ เขากล้าการันตีได้เลยว่า บาจโจ้ คือนักเตะที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่เขาเคยเล่นด้วย
“ผมโชคดีที่ได้เล่นกับผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม แต่บาจโจ้มีความพิเศษในหลาย ๆ ด้าน ผมเล่นกับยอดนักเตะมากมายทั้ง ไมเคิล เลาดรุป, โรมาริโอ, โรนัลด์ คูมัน, โรนัลโด้ R9, ฮริสโต้ สตอยคอฟ แต่ผมไม่เคยเห็นใครเหมือนบาจโจ้เลย” แน่นอนว่ารายชื่อที่ เป๊ป บอกว่าถือเป็นโคตรบอลในช่วงยุค 90s เท่านั้น
แต่ถึง บาจโจ้ ชื่นชอบความเพอร์เฟ็คต์ ฝังหัวกับการยิงประตูสวย ๆ แต่ในแง่ของผลลัพธ์ คือเขายิงในระดับสโมสรตลอดอาชีพค้าแข้งได้ 291 ประตู มากกว่าที่ มาราโดน่า ด้วยซ้ำ (249 ลูก) และถ้าวัดกันที่ถ้วยเเชมป์ในระดับสโมสร บาจโจ้ คว้าเเชมป์ระดับเมเจอร์ทั้งหมด 4 รายการ ขณะที่ มาราโดน่า ได้ 5 รายการ เรียกได้ว่ามันดูไล่เลี่ยกันไปเสียหมด แต่ทำไม บาจโจ้ กลับไม่ได้ถูกยกย่องให้ใกล้เคียงกับ มาราโดน่า เลย
แม้กระทั่งดาวยิงในยุคไล่ ๆ กันอย่าง โรนัลโด้ R9 ก็ยังถูกจดจำในฐานะยอดนักเตะมากกว่า บาจโจ้ ด้วยซ้ำ ... นั่นเองจึงเป็นที่มาของความสงสัยของใครหลายคนว่า ถ้าจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศปี 1994 เข้าประตูไป และ อิตาลี เป็นแชมป์โลก บาจโจ้ จะถูกยกขึ้นหิ้งเหมือนกับ มาราโดน่า หรือไม่ ?
ความต่างระหว่าง 2 คน
อย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้น บาจโจ้ คือ "หมายเลข 10" เวอร์ชั่น "สีขาว" ขณะที่ มาราโดน่า เป็นหมายเลข 10 ในแบบที่ต่างกันชัดเจน ไม่ใช่แน่แง่ของวิธีการเล่น แต่มันคือแนวคิด ถ้า บาจโจ้ เป็นขาว มาราโดน่า ก็คงจะต้องเป็นสีดำอย่างเลี่ยงไม่ได้
ประการแรกอย่างที่บอกวา บาจโจ้ มุ่งมั่นกับการหาวิธียิงประตูสวย ๆ หรือการส่งบอลชนิดที่ว่า "หลอกขาด" มันแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีความสุนทรีย์ในชีวิตสูงมาก ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ต้องมา แต่วิธีการก็ต้องได้ด้วย ดังนั้นมันจึงตรงกับที่ใครหลายคนบอกว่าเมื่อบอลอยู่กับเท้าบาจโจ้ มันจึงดูนุ่มนวลชวนฝันอยู่ตลอด
แต่แนวคิดของ มาราโดน่า แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มาราโดน่า สำหรับ มาราโดน่า ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ที่มี เขาสามารถรังสรรค์ประตูสวย ๆ ได้เหมือนกับที่ บาจโจ้ ทำ
แต่ มาราโดนา เป็นพวกยึดมั่นในผลลัพธ์ เป็นแข้งละตินพันธ์แท้ มีความฉลาดแกมโกง มีเหลี่ยม มีลูกล่อลูกชนมากมาย ว่างาย ๆ เขาทำทุกอย่างได้เพื่อชัยชนะ ไม่จำเป็นต้องยิงประตูสวย ๆ ก็ได้ ขอแค่ทำให้ทีมได้ชัยชนะไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ดังนั้นมันจึงเป็นความต่างในแง่ของนิวิดของทั้ง 2 คน
ประการที่ 2 เรื่องไลฟ์สไตล์นอกสนาม บาจโจ้ คือสีขาว อีกครั้ง เขาเติบโตในครอบครัวชาวอิตาเลียนพี่น้องหลายคน ต้องการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเพื่อให้พ่อภูมิใจ ต้องการเป็นเด็กหนุ่มที่ดีไม่นอกลู่นอกทางเพื่อทำให้แม่ภูมิใจ แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นมาตลอด บาจโจ้ แทบไม่มีข่าวเชิงลบตลอดอาชีพค้าแข้ง
ขณะที่ มาราโดน่า เอาทุกสิ่งเล่นทุกอย่าง เสพยา ปาร์ตี้ มาเฟีย แต่ด้วยพรสวรรค์ของ มาราโดน่า มีมันล้นจนชนิดที่ว่าเขาไม่จำเป็นต้องซ้อมมากมายนักเหมือนกับนักเตะทั่วไป ก็ยังดีพอที่จะเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดของยุค
กลับไปที่สิ่งที่ มาร็อคคี่ เพื่อนของเขาในทีม ยูเวนตุส ชุดเเชมป์ เซเรีย อา อีกสักครั้ง ครั้งหนึ่ง มาร็อคคี่ เคยอธิบายถึงนิสัยของ บาจโจ้ ว่าเป็นนักเตะระดับสตาร์ที่อยู่อีกขั้วต่างกับ มาราโดน่า ชัดเจนที่สุด
“โรบี(บาจโจ้) เป็นเหมือนลูกเขยที่พ่อทุกคนอยากให้ลูกสาวแต่งงานด้งย” มาร็อคคี่ ว่าแบบนั้น
“เขาเป็นคนที่เชื่อถือได้ ใจเย็น ขณะที่ในเวลานั้น นักเตะหมายเลข 10 ส่วยใหญ่จะต้องมี คาแร็ตเตอร์ คล้ายกับมาราโดนานิดหน่อย ชอบผู้หญิง ออกไปเที่ยวกลางคืน เสพยาสักชนิด… นั่นเป็นคำอธิบายเดียวที่ผมพอจะบอกความต่างของสองคนนี้ได้"
ฟังจากที่ว่ามา บาจโจ้ มีคุณสมบัติหลายอย่างครบถ้วนกระบวนความพอที่จะถูกยกขึ้น แต่ทำไมชื่อของเขาไม่ดังเท่ากับ มาราโดน่า ?
ดังนั้นสิ่งเดียวที่ชวนคิดตามจากข้อมูลทั้งหมดคือสิ่งที่ทำให้ มาราโดน่า โดนยกย่องเหนือ บาจโจ้ คือ มาราโดน่า เป็นนักเตะเกมใหญ่ หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า Big game player กล่าวคือเมื่อเกมใหญ่มาถึง พวกเขาเหล่านี้จะโดดเด่นเป็นพิเศษ เป็คนที่เพื่อนร่วมทีมและแฟน ๆ มองหาในยามที่ต้องการพึ่งพาใครสักคนในสถานการณ์ที่หน้าสิ่วหน้าขวาน
เมื่อไรที่ทีมต้องการตัวเขาจะปรากฎเสมอ และพาทีมเอาชนะด้วยวิธีไหนสักทาง ไม่ได้เล่ห์ก็ต้องเอาด้วยเหลี่ยม ไม่ได้ด้วยเหลี่ยมก็ตั้งใจโกงกันดื้อ ๆ เลย ... ตรงนี้คือ มาราโดน่า
ฝีเท้า แนวคิด และเล่ห์เหลีย่มของเขา ทำให้เขาต่างจาก บาจโจ้ ตรงที่เขาสามารถใช้มันบันดาลถ้วยเเชมป์โลก ที่ถือว่าเป็นแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนักฟุตบอลคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ มาราโดน่า ยังได้ชูถ้วยเเชมป์โลกมากถึง 2 หน
ติดภาพกลับมาที่ บาจโจ้ หากในวันน้นที่ อเมริกา เขาส่งฟุตบอลเขาประตูไป ประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลก 1994 จะถูกเขียนลงเต็มหน้ากระดาษด้วยการกล่าวถึงฟอร์มการเล่นของ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ว่าเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง ทว่า...สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นและมันก็นผ่านไปนานแล้ว นานพอจนทำให้ชื่อของ บาจโจ้ จางลงไปพอสมควรนับตั้งแต่วันนั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากสักครั้งในชีวิตที่ บาจโจ้ ได้ชูถ้วยเเชมป์โลก ชื่อของเขาจะถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์และถูกกล่าวถึงมากกว่านี้อย่างแน่นอน เพราะด้วยสถิติหรือถ้วยรางวัลในระดับสโมสรนั้น บาจโจ้ ไม่ต่างอะไรกับ มาราโดน่าเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ตั้งคู่แตกต่างกันนั้นคือ "ถ้วยเเชมป์โลกเท่านั้น"
น่าเสียดายที่ อิตาลี คว้าเเชมป์โลกมาครองได้ถึง 4 สมัย แต่กลับไม่มีชื่อของ โรแบร์โต้ บาจโจ้ เลยสักครั้ง ....นี่คือเรื่องที่น่าเสียดายอย่างที่สุด ไม่เช่นนั้นเราอาจจะได้ไอค่อนของวงการอีกสักคนที่ไม่ว่าใครไม่ดูบอลก็ยังรู้จักแบบที่ บาจโจ้ เป็น
แหล่งอ้างอิง :
https://www.theguardian.com/football/the-gentleman-ultra/2021/oct/02/fiorentina-napoli-roberto-baggio-diego-maradona-serie-a-italy
https://www.reddit.com/r/football/comments/1511a9b/in_your_view_how_highly_does_baggio_rank_among/
https://www.fifa.com/fifaplus/en/articles/roberto-baggio-the-italian-artist-with-a-divine-pony-tail
https://historyofsoccer.info/was-roberto-baggio-better-than-maradona
https://football-italia.net/guardiola-baggio-the-most-talented-player-ive-played-with/
https://m.allfootballapp.com/news/Serie-A/Juventus-legend-Marocchi-Baggio-too-nice-to-be-like-Maradona/2323481