เชื่อว่าแฟนกีฬาที่ติดตามเพจ Main Stand คงรู้จักรายการ “Footballista” เรื่องเล่าจากคนบ้าบอล ที่หยิบนำบทความทางด้านกีฬามาแปลงรูปแบบการสื่อสารจากบทความให้กลายมาเป็นรูปแบบวิดีโอคอนเทนต์ หรือพอดแคสต์ ผ่านการเล่าโดย ยักษ์-จิตกร ศรีคำเครือ หรือ ยักษ์ ดอยแดง
ตลอดระยะเวลา 3 ปี รายการ Footballista เติบโตและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากแฟนบอลที่มีความหลงใหลในโลกของฟุตบอลอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เรื่องเล่าจากคนบ้าบอลเดินทางมามากกว่า 700 EP. แต่อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพียงการนั่งฟังผ่านทางโซเชียลมีเดียเท่านั้น
จนทำให้เกิดจุดเปลี่ยนและริเริ่มโปรเจ็กต์พิเศษอย่าง Footballista On Stage ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องจากออนไลน์มาสู่ออนกราวด์ที่เตรียมมอบประสบการณ์พิเศษให้กับคนบ้าบอลที่ชื่นชอบในรายการ Footballista แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 สิงหาคม ที่ร้าน Hop & Hope Craft Bar ชั้น 1 โรงแรม The Quarter ลาดพร้าว
แต่กว่าที่การเล่าเรื่องของคนคนหนึ่งในรายการ Fottballista จะเดินทางมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และ Main Stand จะพาไปเจาะลึกเรื่องราวเหล่านี้ผ่านบทสัมภาษณ์ของ ยักษ์-จิตกร ศรีคำเครือ สู่บทบาทใหม่ที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
รวมประสบการณ์จาก 20 ปี
ยักษ์-จิตกร ศรีคำเครือ หรือ ยักษ์ ดอยแดง ถือเป็นหนึ่งในบุคคลวงการกีฬาที่มีประสบการณ์การทำงานมาเกือบ 20 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลาในการทำงานทางด้านสื่อกีฬา เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาแล้วทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น การทำข่าว เขียนคอลัมน์ จัดรายการวิทยุ และงานพิธีกร
จนกระทั่ง ยักษ์ จิตกร ย้ายเข้ามาร่วมงานกับ Main Stand เมื่อปี 2018 ซึ่งในขณะนั้นตัวเขาเข้ามารับหน้าที่ทำวิดีโอคอนเทนต์ และต้องพบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2020 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลกจนเกิดการล็อกดาวน์ เช่นเดียวกับในไทยที่ไม่สามารถยกกองออกไปสัมภาษณ์ใครได้
แม้วิกฤตในครั้งนั้นจะส่งผลให้การทำงานของทุกคนและทุกองค์กรเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้เกิดรายการ Footballista และเป็นจุดเริ่มต้นของ ยักษ์ จิตกร ที่ผันตัวมาเป็นนักเล่าเรื่องเต็มตัว
“ตอนนั้นที่กอง บก. มีบทความเกี่ยวกับฟุตบอลเยอะมาก เป็นเนื้อหาเชิงลึกที่ได้ความรู้แล้วเกี่ยวโยงกับเรื่องอื่น ๆ ในสังคม วัฒนธรรม มันมีหมดเลยครับ ต้องชมน้อง ๆ ทีม บก. มากที่สร้างผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ก็เลยทำให้ผมหยิบยกตรงนั้นมาแล้วลองมาเล่า”
แม้จะมีประสบการณ์การทำงานในสายกีฬามากว่า 20 ปี แต่ก็พบว่าการเป็นนักเล่าเรื่องกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
“มันเป็นศาสตร์ที่ยากมาก! นอกจากคุณต้องอ่านบทความ ขมวดออกมา แบ่งยิบย่อยในหัว แล้วต้องเชื่อมโยงด้วยมุมมองและวิธีการเล่าเรื่องของเรา”
“ช่วงปรับตัวแรก ๆ 3-6 เดือนแรกค่อนข้างยาก เพราะเราอาจจะยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เราหยิบจับมาใช้มันถูกที่ถูกเวลาจริง ๆ หรือเปล่า”
“เรายังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอมันรู้แล้วว่าเราต้องทำแบบนี้ อ่านเสร็จปุ๊บ แบ่งก้อนในหัวให้ได้แล้วขมวดรวมว่าสุดท้ายแล้วบทความนี้กำลังสื่อถึงอะไร แล้วจัดเรียงให้มันถูกจริตของเราที่สุด”
ยักษ์ย้อนถึงความรู้สึกในช่วงแรกที่ทดลองทำรายการ Footballista ซึ่งในขณะนั้นยังถือเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับชายผู้บ้าฟุตบอลรายนี้ แต่ด้วยความรักในกีฬาฟุตบอลจึงทำให้ยักษ์พัฒนาตัวเองและนำประสบการณ์จากการทำงานมาปรับใช้
“ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา เราก็ค่อย ๆ หยิบมัน (ประสบการณ์) ออกมา พอเรารู้ว่า อ๋อ การเรียบเรียงมันมาจากการเขียนคอลัมน์แน่ ๆ การขมวดรวมมันมาจากการผ่านเนื้อข่าวมาเยอะมาก”
“มันเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากในชีวิตผม พอได้ทำก็รู้สึกว่ามันรวมกันหมดเลยสิ่งที่เราเคยทำมาตลอดทั้งชีวิต สุดท้ายแล้วจึงออกมาเป็นจานนี้ เป็นการเล่าเรื่องแบบเดียวกับสิ่งที่เรารู้สึกกับมันจริง ๆ”
“เราไม่รู้หรอกว่ามันจะมาอยู่ในตัวของเราแล้วตกผลึกในวัยที่มันพอดี คือถ้าให้ผมไปเล่าสักตอนอายุ 25 หรือแม้กระทั่งตอนอายุ 30 มันก็อาจจะไม่ได้ดีขนาดนี้”
เมื่อรายการนี้ถือกำเนิดขึ้นมา ยักษ์ยอมรับว่าสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการเป็นนักเล่าเรื่องคือการสื่อสารที่กลมกล่อมและการพาผู้ฟังให้อินไปกับเรื่องราวนั้น ๆ ซึ่งนอกเหนือจากการปรับตัวเข้าหาเนื้อเรื่องและการศึกษาข้อมูล อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การดำเนินเรื่องของ Footballista กินใจผู้ฟังคงหนีไม่พ้นนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนเซนซิทีฟ (ละเอียดอ่อน)
“เราเป็นคนเซนซิทีฟมาก ซึ่งก็กำลังคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องนี้หรือเปล่าที่ทำให้เรามีความอ่อนไหวเยอะและเปิดรับ กับเรื่องราวหรือคอนเทนต์ตรงนี้ บวกกับมันเป็นเรื่องของฟุตบอลด้วยที่เราอยู่กับมันมาทั้งชีวิต มันเลยปรับจูนเข้าหากันโดยที่ไม่ต้องใช้ความยากลำบากอะไรมาก เพราะทุกอย่างมันมาครบหมดแล้ว”
นับเป็นเรื่องราวสุดแสนพิเศษที่ความรู้สึกส่วนตัวมีอิทธิพลต่องาน รวมถึงมีส่วนช่วยให้ยักษ์สามารถเข้าถึงอารมณ์ของบทความนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดีจนสื่อสารออกมาได้อย่างกินใจ
ลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ
การเดินทางของคนบ้าบอลก่อนจะเป็นที่รู้จักของผู้ที่ชื่นชอบการฟังรายการพอดแคสต์ต้องใช้ระยะเวลาเกือบหนึ่งปีและอาศัยการทำงานหนักและความสม่ำเสมอ
ตลอดการเดินทางครั้งใหม่ ยักษ์เปิดเผยว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำรายการครั้งนี้คือการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอและเชื่อว่าสักวันหนึ่งการลงมือทำในครั้งนี้จะกลายเป็นความสำเร็จไม่ช้าก็เร็ว
“ผมเชื่อในการทำงานหนัก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่โด่งดัง เป็นนักฟุตบอลในระดับท็อป หรือจะทำอาชีพอะไรก็ตามแต่ กว่าที่มันจะประสบความสำเร็จได้ กว่าที่คนจะเห็นว่าคุณยืนอยู่บนยอดเขาได้ แล้วทุกคนก็จะโอ้โห! เก่งมากเลยครับพี่ เพราะพี่มีพรสวรรค์ เพราะพี่มีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น ผมจะรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ใช่”
การถ่ายทอดเรื่องราวของคนบ้าบอลกว่า 700 EP. ของยักษ์คงไม่มีอะไรต้องพิสูจน์แล้วว่าตัวเขาต้องผ่านการทำงานหนักเพียงใดกว่าจะเป็นที่รู้จักของแฟนกีฬา ซึ่ง ยักษ์ จิตกร ได้ยกตัวอย่างและเปรียบเทียบเรื่องเล่าที่สามารถบ่งบอกถึงการเดินทางของ Footballista ออกมาทั้งหมด 2 เรื่อง
ยักษ์ จิตกร อธิบายว่า Footballista เหมือนกับการยิงฟรีคิกของ จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน อดีตกองกลางชาวบราซิลของโอลิมปิก ลียง และการฝึกซ้อมใช้ร่างกายข้างซ้ายของ ซน ฮึง-มิน นักเตะชาวเกาหลีใต้ของท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่ทั้งสองคนต่างต้องทำงานหนักเพื่อประสบความสำเร็จ
“จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน ซ้อมยิงฟรีคิกวันหนึ่งเกือบหลักพันลูก เขาทำแบบนั้นทุกวัน มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะไม่ดีขึ้น ถ้าคุณใส่ใจกับมันมุ่งมั่นและเต็มที่กับมันร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังไงมันก็ดีขึ้น”
“หรือแม้กระทั่งเรื่องของ ซน ฮึง-มิน ที่ฝึกเท้าซ้ายให้ถนัด อันนี้ก็ถูกปลูกฝังมาจากคุณพ่อ ทุกคนรู้ดีว่าคุณพ่อคือโค้ชที่ผลักดัน ซน ฮึง-มิน ให้เติบโตขึ้นมา ฝึกการใช้ข้างซ้ายในชีวิตประจำวัน จากนอกสนามจนถึงในสนาม”
“สิ่งสำคัญที่สุดคือมันไม่มีขอบเขตบอกว่าคุณซ้อมแบบนี้ ตั้งใจแบบนี้ อีก 2 ปีจะเก่งที่สุดในโลก แต่มันเป็นการบอกว่าให้ทำสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ และผมเองก็เชื่อในความสม่ำเสมอมาก ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามแต่คุณต้องทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้”
การยึดหลักลงมือทำอย่างสม่ำเสมอกลายเป็นความสำเร็จขั้นแรกที่ปรากฏผล ทำให้รายการ Footbalista เป็นที่รู้จักและมีผู้ติดตามเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังมีแฟนบอลไม่น้อยที่รอคอยฟังเรื่องเล่าจากคนบ้าบอลอยู่เสมอ
ยักษ์คิดอยู่เสมอว่าตัวเขาเองเป็นเพียงแค่ตัวกลางในการสื่อสารและถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ออกไปเท่านั้น แต่บางครั้งเรื่องเล่าเหล่านี้กลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจต่อผู้ฟังจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
จนกระทั่งสิ่งดี ๆ ที่ตัวเขาพยายามสื่อสารออกไปได้ย้อนกลับมาอย่างไม่คาดคิด พร้อมกับได้รับถ้อยคำ รวมถึงข้อความที่ถูกบอกกล่าวจากแฟนรายการที่ส่งเข้ามาทางข้อความเฟซบุ๊ก หรือแม้กระทั่งในชีวิตจริง
“ตอนนั้นขนลุกนะ ใจเราก็เต้นรัวนิดนึง เราก็ไม่คิดหรอกว่าคอนเทนต์ของเรามันจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนได้ แล้ว มันมีความสุขที่เห็นคนบอกว่า เนี่ยทำแบบนี้เพราะ Footballista ครับ ผมลุกมาทำแบบนี้เพราะฟังพี่เลยครับ มีเรื่อย ๆ ที่ส่งอินบ็อกซ์เข้ามา หรือแม้กระทั่งออกไปนอกสถานที่ต่าง ๆ ก็มีเยอะมาก”
“ผมเองไม่รู้หรอกว่ามันจะสร้างคุณค่าได้มากน้อยแค่ไหน แต่ว่าแค่นี้มันก็โอเคแล้วนะ ที่เหลือก็แค่ทำต่อไปเรื่อย ๆ อาจจะทำให้ทุกคนมีทางเลือกในการที่จะเลือกใช้คอนเทนต์ตัวนี้เป็นตัวชูกำลังให้กับเขา อย่างน้อยเป็นเรื่องของกำลังใจก็ยังดี”
ยักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาสุดซาบซึ้งที่อย่างน้อยการเล่าคอนเทนต์ฟุตบอลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแพสชั่นได้สร้างอิมแพ็กต์และการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของคนได้จริง ๆ
จากหน้าจอสู่หน้าจริง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแง่มุมของความเป็นจริงแล้ว รูปแบบรายการ Footballista ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา ถูกถ่ายทอดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เท่านั้น ซึ่งเป็นการสื่อสารออกมาในมิติเดียวผ่านหน้าจอโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์
และสิ่งนี้เองที่ทำให้ ยักษ์ จิตกร ต้องการผลิกผันรูปแบบการจัดรายการเพื่อต้องการพบปะแฟนรายการและเป็นการยืนยันตัวตนของคนบ้าบอล จนเกิดโปรเจ็กต์ที่มีชื่อว่า “Footballista On Stage”
Footballista On Stage ถือเป็นครั้งแรกของการจัดรายการแบบออนกราวน์ ดำเนินรายการโดยคนบ้าบอลอย่าง ยักษ-จิตกร ศรีคำเครือ ที่ต้องการลุกออกจากที่นั่งและกรอบแบบเดิม ๆ เพื่อเป็นการเข้าถึงแฟนรายการที่สนับสนุนและติดตามมาอย่างยาวนาน พร้อมมีแขกรับเชิญพิเศษในตอนแรก นั่นคือ “ตั้ม-พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์” ที่จะมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวพร้อมกับร่วมชมเกมคู่ระหว่าง เชลซี พบ ลิเวอร์พูล
“เราอยู่ในออนไลน์มาตลอด แต่ที่เรายังไม่ได้เห็นคือปฏิสัมพันธ์ที่มันครบวงจรมากกว่านั้น เราอยากให้เห็นการคุยกันแบบสด ๆ ผมเล่าให้คุณฟังแบบนี้ แววตาคุณเป็นอย่างไร คุณตอบรับกับมันยังไง”
ความตั้งใจในการจัดงานครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการพบปะแฟนรายการเท่านั้น แต่ยังเป็นการรวมตัวของบุคคลที่มีใจรักและชื่นชอบในกีฬาฟุตบอล
“ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราสื่อสารออกไปใน Footballista ที่เราทำมาตลอด 3 ปีกว่า มันแข็งแรงพอที่จะทำให้ทุกคนมีความใกล้ชิดกันอยู่ระดับนึง มันไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ไม่ใช่มาเจอกันครั้งแรก ต่อให้เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันจริง ๆ แต่มันก็จะมีอะไรเชื่อมโยงกัน”
“ฟุตบอลสามารถทำให้คุณมีความสุขกับมันได้ และความพิเศษกับบรรยากาศในงานนั่นแหละที่ผมเชื่อว่าจะทำให้ทุกคนมีความทรงจำที่ดีกับ Footballista On Stage”
ยักษ์สื่อสารถ้อยคำออกมาจากหัวใจที่มีความรักในกีฬาฟุตบอลและความต้องการที่จะพบเจอแฟน ๆ Footballista คุณมีโอกาสได้ฟังเรื่องเล่าแบบสด ๆ ในบรรยากาศสุดแสนอบอุ่นครั้งนี้ได้ที่ Footballista On Stage วันที่ 13 สิงหาคม ที่ร้าน Hop & Hope Craft Bar ชั้น 1 โรงแรม The Quarter ลาดพร้าว ก่อน ยักษ์ จิตกร จะกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“ผมว่ามันน่าจะเป็นบรรยากาศที่ดีที่จะได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ”