“สวัสดีแฟน ๆ เชลซี จากที่มีข่าวลือมาตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา นี่อาจไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์สำหรับคุณ แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลยที่จะบอกคุณว่า ผมตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายออกจากเชลซี”
ส่วนหนึ่งของคำพูดโดย เมสัน เมาท์ ที่สื่อสารผ่านคลิปวิดีโอไปยังแฟนคลับทีมสิงโตน้ำเงินคราม ในวันที่เขาตัดสินใจอำลาสโมสรที่เคยอยู่ร่วมชายคามาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
การย้ายทีมของเมาท์ทำเอาแฟนคลับเชลซีจำนวนหนึ่งไม่ได้ร่วมอวยพรให้โชคดีกับเส้นทางข้างหน้า อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นการจากลาทีมแบบไม่แฮปปี้เอนดิ้งสักเท่าไร
จากช่วงเวลาที่เคยถูกยกย่องและพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ว่าจะก้าวมาเป็นตำนานคนใหม่ของสโมสร ทั้งยังมีโอกาสไม่น้อยที่จะได้ทำหน้าที่เป็นกัปตันให้กับต้นสังกัดที่อยู่ร่วมมาตั้งแต่เมื่อ 18 ปีที่แล้ว และเขาก็เคยได้รับความรักจากแฟนบอลเชลซีจนถึงขั้นหวงยิ่งกว่าไข่ในหิน
ทำไมดาวเตะเจ้าของประโยค “The boy who had a dream” ถึงเลือกแยกทางกับเชลซีแล้วไปเติมฝันของตัวเองต่อที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand
ชายผู้มีฝัน
ช่วงเดือนกรกฎาคม 2019 เชลซีประกาศต่อสัญญาฉบับใหม่กับ เมสัน เมาท์ กองกลางผลผลิตของสโมสรออกไปอีก 5 ปี พร้อม ๆ กับถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่สู้ศึกในฤดูกาล 2019/20
นี่ถือเป็นนิมิตหมายอันดีสุด ๆ สำหรับดาวรุ่งผู้อยู่ร่วมสโมสรสิงห์บลูส์มาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เขาไต่ระดับต่อยอดโอกาสของตัวเองเรื่อยมาร่วมกับสโมสร ไล่มาตั้งแต่ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 9 ปี จนถึงทีมสำรอง เช่นเดียวกับช่วงสมัยที่ได้ไปฝึกปรือกับ วิเทสส์ อาร์เนม ในเอเรดิวิซี ลีก ดัตช์ และ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ
ยิ่งช่วงสมัยที่อยู่ค้าแข้งกับ “แกะเขาเหล็ก” ภายใต้ผู้จัดการทีมชื่อ แฟรงค์ แลมพาร์ด อาจกล่าวได้ว่าเมาท์มีขวบปีที่โดดเด่นสุด ๆ ครั้งหนึ่ง จากสถิติลงเล่นเกมลีกถึง 44 นัด ซัดไป 11 ลูก ทั้งยังเกือบพาดาร์บี้เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้แล้ว แต่ดันไปเพลี่ยงพล้ำต่อ แอสตัน วิลล่า 1-2 ในเกมเพลย์ออฟ
อย่างไรก็ตาม นั่นก็เพียงพอแล้วที่สโมสรแม่อย่างสิงห์บลูส์จะดึงตัวเขากลับมาเสริความมแกร่งในช่วงเวลาที่สโมสรโดนแบนในตลาดซื้อขายไปจนถึงซัมเมอร์ 2020 หลังโดนสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ตัดสินลงโทษหลังทำผิดกฎการซื้อขายในตลาดนักเตะ
กับค่าตอบแทนที่เมาท์ได้รับในเวลานั้นที่ 80,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ราว 3.5 ล้านบาท) นับว่าสมน้ำสมเนื้อกับนักเตะในวัย 19 ปี ซึ่งยังไม่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีกมาก่อน แน่นอนว่าหากดาวเตะผลผลิตศูนย์ฝึกค็อบแฮมรายนี้ทำผลงานได้ดี ตัวเลขดังกล่าวก็ย่อมเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน
แล้วก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ เมสัน เมาท์ ทำผลงานภายใต้สีเสื้อทีมชุดใหญ่เชลซีได้น่าประทับใจ เขากลายเป็นแกนหลัก เป็นนักเตะแห่งอนาคตของสโมสร และก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่
“นี่คือสิ่งที่ทุกคนฝัน เติบโตผ่านระบบอคาเดมีของทีมมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ” เมสัน เมาท์ เคยให้สัมภาษณ์สมัยลงสนามต่อหน้าแฟน ๆ ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นครั้งแรก แถมยังมีชื่อทำประตูได้ด้วยในเกมแบ่งแต้ม เลสเตอร์ ซิตี้ 1-1
“รู้สึกเหลือเชื่อไปหมดเลย ผมอยู่กับสโมสรมานานมาก ในที่สุดก็ได้ขึ้นมาอยู่กับทีมชุดใหญ่แล้ว นี่คือสิ่งที่ผมต้องการมาเสมอ และตอนนี้มีแฟน ๆ ที่สวมเสื้อพร้อมติดชื่อของผมที่ด้านหลังด้วย ผมดีใจมาก ๆ แต่สิ่งที่ผมโฟกัสตอนนี้คือการทำงานให้หนักในทุกวันเพื่อที่จะได้ลงเล่นมากที่สุดและพิสูจน์ให้ผู้จัดการเห็นว่าผมพร้อมแล้ว ผมรักทุกช่วงนาทีที่อยู่ในสนาม”
เมาท์ลงเล่นในฤดูกาลแรกรวมทุกรายการไปถึง 53 นัด เป็นความสำเร็จที่ไม่มีดาวเตะจากอคาเดมีคนใดเคยทำได้มาก่อน
แถมในซีซั่นถัดมา (2020/21) เมาท์ยังได้รับโอกาสจาก แฟรงค์ แลมพาร์ด ให้ทำหน้าที่เป็นกัปตันทีมในเกมเอฟเอ คัพ รอบสี่ ที่ เชลซี ดับ ลูตัน ทาวน์ 3-1 เรียกได้ว่าเป็นมรดกสุดท้ายที่ “ซูเปอร์แฟรงค์” มอบให้ลูกทีมคนนี้ในการคุมสิงห์บลูส์ (รอบแรก) ก่อนจะอำลาสโมสร
กับช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงเก้าอี้ผู้จัดการทีมสู่ โธมัส ทูเคิ่ล เมาท์ก็ยังคงได้รับโอกาสและความไว้วางใจจากเทรนเนอร์ชาวเยอรมัน ซึ่งตัวเขาเองก็ตอบแทนทุก ๆ ความไว้วางใจได้คุ้มค่าสุด ๆ
โดยเฉพาะโมเมนต์ทำแอสซิสต์ให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ สังหารประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2021 เหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 พ่วงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของสโมสรมาครอง กลายเป็นแข้งจากอคาเดมีคนแรกที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ต่อจาก จอห์น เทอร์รี่ ในปี 2006
จากเด็กวัย 6 ขวบในวันนั้นสู่การชูโทรฟี่บิ๊กเอียร์ในวัย 22 ปี แถมยังทำสถิติลงสนามรวมทุกรายการแตะหลัก 50 เกมแบบติด ๆ กัน นับเป็นการเติมเต็มความฝันที่แท้จริงของนักฟุตบอลคนหนึ่งที่ออกสตาร์ทกับสโมสรมาตั้งแต่วัยเยาว์
ออร่าของ “เมส” ยังไม่หยุดลงแค่นั้น มิดฟิลด์ดีกรีทีมชาติอังกฤษสานผลงานของตัวเองมายังฤดูกาล 2021/22 ได้แบบไร้รอยต่อ จากผลงานดาวซัลโวสูงสุดอันดับสามของสโมสร (13 ประตู) พ่วงความสำเร็จผ่านสถิติเจ้าของแอสซิสต์สูงสุดที่ 18 ครั้ง ตลอดการลงเล่นรวมทุกรายการ 53 เกม
รวมถึงการช่วยทีมได้โทรฟี่ประดับตู้โชว์เพิ่มอย่าง แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ
ตลอดช่วงเวลาที่กล่าวมานี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมสัน เมาท์ เป็นนักเตะระดับแถวหน้าคนหนึ่งของสโมสร นี่คือนักเตะที่เชลซีปลุกปั้นมาตั้งแต่เป็นเยาวชน นานวันเข้าก็ยิ่งมีแต่เก่งขึ้น เป็นเหตุให้การพูดคุยเรื่อง “สัญญาใหม่” ปะทุขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ
การเจรจาน่าจะจบลงด้วยความชื่นมื่นของทั้งฝั่งนักเตะและสโมสร แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบกันดี เรื่องราวมันกลับตาลปัตรไปหมด
สถานการณ์ที่สัญญาไม่ลงตัว
ขณะอยู่ค้าแข้งกับเชลซี เมสัน เมาท์ เป็นนักเตะที่มีฐานค่าเหนื่อยในระดับที่ต่ำ ซึ่งสวนทางกับฟอร์มการเล่นของเขาอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเทียบกับความสำเร็จในฤดูกาล 2020/21 เพราะเมาท์คือกองกลางดีกรีแชมป์ยุโรปและเจ้าของรางวัลแข้งแห่งปีของสโมสร
หลังค่ำคืนอันโด่งดังที่ปอร์โต้ ว่ากันว่าสิงห์บลูส์ในยุคโรมัน อบราโมวิช เคยพูดคุยถึงสถานการณ์ดังกล่าวร่วมกับนักเตะและตัวแทน ทว่ายังเป็นแค่การเจรจาแบบไม่เป็นกิจจะลักษณะ แถมตัวนักเตะเองก็ไม่ได้นำความสำเร็จนี้มาเป็นข้อต่อรองเรื่องสัญญาใหม่ที่จะกลายเป็นค่าเหนื่อยที่สูงขึ้นดังที่ควรได้รับ อาจเพราะตอนนั้นเชลซีมีเคสกับกลุ่มแข้งที่มีสัญญากับทีมไม่ถึงหนึ่งปีรอให้จัดการก่อนอย่างกรณีของ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ หรือ อันเดรียส คริสเตนเซ่น
มากไปกว่านั้นกับกรณีของ เมสัน เมาท์ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความผูกพันทางใจกับสโมสรมากกว่าใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะทั้งการอยู่กับทีมมานาน แถมยังเป็นนักเตะสัญชาติอังกฤษอีกต่างหาก
ดังนั้นในมุมเชลซีก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนมากเท่ากับผู้เล่นคนอื่น
กาลเวลาเดินมาจนถึงฤดูกาล 2021/22 ภาวะสั่นคลอนก็มาเกิดขึ้นกับสโมสรอย่างยากจะหลีกเลี่ยง จากเหตุการณ์ที่กองทัพรัสเซียเข้ารุกรานประเทศยูเครน เป็นเหตุให้สโมสรเปลี่ยนมือเจ้าของจาก โรมัน อบราโมวิช รวมถึงบอร์ดบริหารแทบจะยกชุด มาเป็นกลุ่มทุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา นำทีมโดย ท็อดด์ โบห์ลี่
อนึ่ง ระหว่างที่สิงโตน้ำเงินครามเจอเหตุการณ์เปลี่ยนมือผู้บริหาร ซึ่งเป็นช่วงที่สโมสรเผชิญเรื่องการจัดการเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ล่าช้า เพราะโดนรัฐบาลอังกฤษยึดทรัพย์และห้ามทำธุรกรรมการเงิน นักเตะหลาย ๆ คนจึงเริ่มตกเป็นข่าวย้ายทีมแบบไม่มีน้อยหน้ากัน
หนึ่งในนั้นก็คือ เมสัน เมาท์ และทีมที่สนใจเขามากที่สุดทีมหนึ่งก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่กระนั้นทันทีที่เชลซีกลับมาใช้จ่ายเงินได้อีกคำรบในยุคของโบห์ลี่ สโมสรก็ยังคงมองว่าเมาท์คือไอคอนของทีม แถมนักเตะเองก็ยังไม่มีความคิดจะย้ายทีม
“ผมเหลือสัญญาอีก 2 ปี (กับเชลซี) และผมมีความสุขมากที่นี่ หวังว่าการเจรจาทั้งหมดจะเริ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้นะ” เมาท์ บอกกับ The Athletic ในช่วงซัมเมอร์ 2022
อาจดูเหมือนบทสรุปดังกล่าวของเรื่องนี้จะชื่นมื่นลงที่ตรงนี้ แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ 2022 มีการอำลาของบอร์ดบริหารชุดเก่าโดยเฉพาะสองหัวเรือใหญ่ด้านการซื้อขายนักเตะอย่าง มาริน่า กรานอฟสกาย่า และ ปีเตอร์ เช็ก
เมื่อตำแหน่งคนทำหน้าที่นี้ว่างลง เป็นเหตุให้กลุ่มผู้บริหารสโมสรต้องเป็นคนเจรจาคว้าตัวนักเตะใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง นำมาซึ่งการดึงแข้งใหม่พร้อมค่าเหนื่อยก้อนโต อาทิ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้รับค่าจ้างมากกว่า 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ คาลิดู คูลิบาลี่ ที่ได้รับค่าเหนื่อยแตะหลัก 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
และต้องไม่ลืมว่าเชลซียุคใหม่ยังมีเรื่องนักเตะเก่า ๆ ที่มีค่าเหนื่อยในระดับนี้รอให้จัดการในภาคหน้าอีกด้วย เช่น โรเมลู ลูกากู ซึ่งรับค่าเหนื่อยกับสโมสร 340,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ในขณะที่เมาท์ได้น้อยกว่าที่กล่าวมานี้หลายเท่าตัว
กลายเป็นว่าทีมสิงโตน้ำเงินครามต้องคอยระแวกระวังเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มากขึ้น และสิ่งแรกที่พอจะเป็นไปได้สำหรับการรัดเข็มขัดคือการเจรจากับนักเตะชุดปัจจุบันของทีม โดยเฉพาะกับกลุ่มแข้งที่โตมาจากอคาเดมีของสโมสร
เมสัน เมาท์ และ รีซ เจมส์ เป็นผู้เล่นกลุ่มแรก ๆ ที่เชลซีเริ่มเจรจาเรื่องสัญญาใหม่ที่มาพร้อมออปชั่นหลายหลาก ในรายของเจมส์ตอบตกลงกับสโมสรหลังเห็นแผนของสโมสรว่าไปในทิศทางที่เข้ากับเขา ฟูลแบ็กหมายเลข 24 เซ็นสัญญาฉบับใหม่เสร็จสิ้นในเดือนกันยายน 2022 ด้วยอายุสัญญา 6 ปี แถมยังขยับค่าเหนื่อยจาก 58,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์มาเป็นตัวเลขรวมที่ 250,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ทว่ากับเมาท์ดันไม่เป็นเช่นนั้น กล่าวโดยสรุปคือ มิดฟิลด์เบอร์ 19 มองมุมต่างกับข้อเสนอที่ทีมยื่นให้พิจารณา โดยสื่อน้อยใหญ่รายงานว่าสตาร์วัย 23 ปีในขณะนั้น ต้องการค่าเหนื่อยในเรตเดียวกับกลุ่มแข้งหน้าใหม่ที่ดึงมาในซัมเมอร์ปีนั้น และไม่เห็นด้วยกับออปชั่นเพิ่มเติมบางข้อ
เช่น เงื่อนไขอายุสัญญาที่กินเวลาเกิน 5 ปี เพราะมองว่านี่อาจจะเป็นสัญญา “ใหญ่” ครั้งสุดท้ายของตัวเอง รวมถึงเงื่อนไขค่าเหนื่อยลดลงตามผลงานของทีมในการแข่งขันแต่ละรายการ เป็นต้น
แม้จะเคยมีข่าวว่าการเจรจามีทิศทางที่ดีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2022 แต่ก็ต้องดีเลย์ไปอีก เพราะช่วงเวลานั้นนักเตะต้องไปโฟกัสกับฟุตบอลโลก ที่กาตาร์
เวลาเดินทางมาจนถึงช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2022/23 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ตัวแทนของนักเตะมีโอกาสเจรจากับสโมสร นำโดย พอล วินสแตนลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาร่วมคนใหม่
คราวนี้เชลซียื่นข้อเสนอระยะสั้นพร้อมค่าเหนื่อยราว 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่บทสรุปของเรื่องนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้นเสียที เมื่อ เมสัน เมาท์ บอกปัดข้อเสนอนี้
มิหนำซ้ำโอกาสลงบู๊ในฟลอร์หญ้าเพื่อเป็นอีกเหตุผลในการต่อรองก็ดันยากขึ้นมาอีก เมื่อเมาท์เจอปัญหาบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนักหน่วง โดยหลังเดือนกุมภาพันธ์ 2023 เขาลงสนามให้เชลซีแค่ 3 เกมเท่านั้น และลงเล่นในฐานะตัวสำรอง
ยิ่งไปกว่านั้นผลงานของเชลซีในฤดูกาลดังกล่าวก็ย่ำแย่ทำเอาไม่น่าจดจำสักเท่าไร พวกเขาจบฤดูกาลพรีเมียร์ลีกด้วยอันดับที่ 12 พลาดทุกสิทธิ์ลุยฟุตบอลยุโรปฤดูกาลหน้า
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย อันโตนิโอ รูดิเกอร์ และ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่ทีมจำใจต้องปล่อยไปแบบฟรี ๆ หลังนักเตะหมดสัญญา ทั้ง ๆ ที่ควรจะขายเพื่อนำเงินมาใช้ต่อยอดได้ เป็นเหตุให้เมาท์ที่เหลือสัญญากับทีม 1 ปีถูกเชลซีขึ้นบัญชีขายในตลาดซัมเมอร์ 2023 นี้
ก่อนจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ตัดสินใจดึงตัวเขามาร่วมก๊วนด้วยสัญญา 5 ปี ด้วยค่าตัว 55 ล้านปอนด์ ไม่รวมโบนัสตามเงื่อนไขอื่น ๆ อีก 5 ล้านปอนด์ พร้อมค่าเหนื่อยรายสัปดาห์ที่ 250,000 ปอนด์
จากชายผู้มีฝันที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และเดินหน้าทำฝันให้เป็นจริงจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ มาวันนี้เมาท์ปิดฉากผลงานลงสนามรวมทุกรายการ 195 นัด กับอีก 33 ประตู แล้วเดินทางสู่ความฝันครั้งใหม่ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
สู่โรงละครแห่งความฝัน
กับตัวเลขค่าเหนื่อยที่ไม่ได้หนีไปกับที่เชลซียื่นให้ในรอบหลัง บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเหตุผลหลักที่ เมสัน เมาท์ เลือกไม่อยู่สิงห์บลูส์ต่อไม่ใช่แค่เรื่องความสมเหตุสมผลของค่าเหนื่อยที่ได้รับเพียงอย่างเดียว แต่อาจรวมถึงเรื่องความก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพของตัวเองด้วย
ในขณะที่เชลซีหลงเหลือนักเตะ 11 ตัวจริงในนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก 2021 แค่สามรายคือ ติอาโก้ ซิลวา, เบน ชิลเวลล์ และ รีซ เจมส์ เท่ากับว่าก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ 2023/24 สิงห์บลูส์กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ศักราชใหม่
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะได้ลงเล่นแค่ในพรีเมียร์ลีกเป็นหลัก
กลับกันกับที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของกุนซือ เอริค เทน ฮาก ที่เคยอยากได้ เมสัน เมาท์ ในรูปแบบยืมตัวมาตั้งแต่สมัยคุม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อปี 2018 ที่กำลังมีภารกิจสำคัญกับขวบปีที่สองในการคุมทีมปีศาจแดง โดยหนึ่งในนั้นคือการลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
“เมื่อผมรู้ว่าผมไปเกี่ยวโยงกับ แมนฯ ยูไนเต็ด การตัดสินใจของผมก็เริ่มขึ้น ที่นั่นเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ มีนักเตะชื่อดังหลายคนเคยเล่นให้ ผมต้องการเป็นส่วนหนึ่งของทีมตั้งแต่เริ่มต้น การได้ลงเล่นตั้งแต่ช่วงออกสตาร์ทพรีซีซั่นเป็นเป้าหมายหลักของผม” เมาท์ เปิดใจผ่าน MUTV
ฟุตบอลสมัยใหม่ต้องสู้กันที่แทคติกชนิดที่อาจเห็นกุนซือแต่ละคนแก้เกมแบบวินาทีต่อวินาที และการได้ตัวนักเตะที่สอดรับกับศาสตร์ลูกหนังยุคใหม่เข้ามาสู่ทีมเป็นเรื่องสำคัญ กล่าวคือความสารพัดประโยชน์ของเมาท์ที่เล่นได้ทั้งกองกลางตัวรุก เป็นบ็อกซ์-ทู-บ็อกซ์ ไปจนถึงทำเกมทางริมเส้น น่าจะเป็นฟันเฟืองชิ้นดีของ เอริค เทน ฮาก
“ผมรู้ว่าผมสามารถนำอะไรมาสู่ทีมนี้ได้ และตอนนี้มันเกี่ยวกับการเดินหน้าลุยและทำออกมาให้เห็นในสนาม”
ถึงเวลาแล้วที่ เมสัน เมาท์ ในฐานะเบอร์ 7 คนใหม่ของเรด เดวิลล์ จะทำฝันครั้งใหม่ของตัวเองให้เป็นจริง
แหล่งอ้างอิง
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12250931/How-Mason-Mounts-Chelsea-dream-turned-sour-ahead-60m-Man-United-move.html
https://theathletic.com/4652252/2023/07/05/mason-mount-and-chelsea-how-the-perfect-marriage-fizzled-out-in-divorce/
https://strettynews.com/2023/07/05/mason-mount-the-boy-who-had-a-dream/
https://www.telegraph.co.uk/football/2023/07/05/man-utd-transfer-news-mason-mount-60m-move-from-chelsea/
https://en.wikipedia.org/wiki/Mason_Mount
https://www.chelseafc.com/th/news/article/mason-mount-on-realising-his-childhood-dreams-and-working-to-imp