ชีวิตลูกหนังของ “หนึ่ง” ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว จอมทัพลูกหนังไทย ชุดล่าเหรียญทองซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กัมพูชา เจออุปสรรคตั้งแต่เริ่มตั้งไข่ก่อนก้าวเข้ามาบนถนนลูกหนังอาชีพ เนื่องจากป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย
แต่ด้วยสภาพหัวใจที่แกร่งดุจหินและมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ทำให้เขากัดฟันก้าวข้ามอุปสรรคและทำตามเป้าหมายได้สำเร็จอย่างน่าชื่นชม
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตลูกหนังอัพเกรดไปอีกขั้นและมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น คงหนีไม่พ้นการได้ออกไปเล่นที่ประเทศสเปนกับ อูนิโอน อดาร์เบ ในลีกา 4 ลีกลูกหนังแดนกระทิงดุ
ที่นั่นเขาต้องเจอบททดสอบอะไรบ้าง ไปติดตามกับ BallThaiStand
หวดลูกหนังเพื่อพิชิตโรคร้าย แต่โชคชะตาพลิกผันให้เดินสู่ถนนสายฟุตบอลอาชีพ
ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว เกิดมาพร้อมกับโรคธาลิสซีเมีย หรือโรคโลหิตจางชนิดหนึ่ง ที่แม้ไม่ได้มีอาการป่วยหนักแต่ส่งผลให้ร่างกายผอมบางและป่วยง่ายกว่าเด็กทั่วไป
แพทย์ได้แนะนำครอบครัวว่าให้เขาออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิให้แข็งแรง เขาจึงเลือกเล่นกีฬาว่ายน้ำ ต่อมาจึงหันมาเตะฟุตบอลตามเพื่อน ๆ เนื่องจากได้เล่นกันหลายคนจะสนุกกว่า
จากจุดเริ่มต้นในการเล่นฟุตบอลเพื่อเป็นยาวิเศษให้ร่างกายแข็งแรง กลายเป็นจุดพลิกผันให้ถูกชักชวนไปคัดตัวเป็นช้างเผือกในอคาเดมีของ เมืองทอง ยูไนเต็ด รุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี ก่อนจะผ่านการคัดตัว พร้อมเซ็นสัญญากับทีมเป็นเวลา 5 ปี
“ตอนนั้นเรียนระดับประถมที่โรงเรียนบุรารักษ์ จ.สมุทรปราการ มีโอกาสได้ไปแข่งขันบ่อย ๆ จากนั้นมีคนให้ไปคัดตัวที่ เมืองทอง ยูไนเต็ด”
“ตอนแรกไม่ติด แต่พอไปคัดอีกครั้งก็ติด ทำให้อยู่กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด มาตลอด 5 ปี” ชาญณรงค์ เล่าถึงความหลังถึงจุดเริ่มต้นของการมาเป็นนักเตะอาชีพ
ย้ายซบ ชลบุรี อคาเดมี ใบเบิกทางสู่แดนกระทิงดุ
เมื่อหมดสัญญากับ เมืองทอง ยูไนเต็ด เขาตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการไม่ต่อสัญญากับ “กิเลนผยอง” พร้อมย้ายข้ามฟากไปอยู่ ชลบุรี อคาเดมี โดยให้เหตุผลว่าต้องการตัดขาดจากโลกภายนอก และมุ่งมั่นฝึกวิทยายุทธ์ลูกหนังให้แกร่งกล้า
ชาญณรงค์ได้เปิดเผยถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตไว้ว่า “ผมอยากเล่นฟุตบอลแบบจริง ๆ จัง ๆ จึงเลือกไม่ต่อสัญญากับ เมืองทอง ยูไนเต็ด เพื่อไปอยู่กับ ชลบุรี”
“ที่ชลบุรีผมมีสมาธิกับการเล่นฟุตบอลอย่างเดียว เพราะอคาเดมีของชลบุรีอยู่ในป่า รอบข้างมีแต่ป่าอ้อยจึงไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากเตะฟุตบอล วันหยุดก็มีแค่วันเดียวคือวันอาทิตย์ แต่ก็เหมือนไม่ได้หยุดเพราะเวลามันหมดเร็วมาก”
ด้าน วิทยา เลาหกุล ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของชลบุรี กล่าวถึงศิษย์รักว่า “หนึ่งเขาอยู่ในสนามซ้อมนานที่สุด หลังจากการฝึกซ้อมเขายังซ้อมเพิ่มเติมเสมอ”
“ผมบอกกับนักเตะในอคาเดมีว่าอยากให้ดูหนึ่งเป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่น เขาต้องการพัฒนาตัวเองเสมอ เขาเหมือนคนน้ำไม่เต็มแก้ว”
“เขาเป็นนักเตะที่เลี้ยงบอลดี มีความเร็ว และมีวิสัยทัศน์ในการจ่ายบอลที่ยอดเยี่ยมมาก นั่นคือความพิเศษของเขา”
หลังจากนั้นเขาได้โอกาสลงสนามให้ชลบุรีนัดแรกเมื่อปี 2019 จากนั้นก็ได้เล่นมากขึ้นในปี 2020/21 พร้อมมีส่วนสำคัญในการพาชลบุรีได้รองแชมป์ฟุตบอลถ้วยช้าง เอฟเอคัพ
ด้วยฟอร์มอันเอกอุทำให้เขาได้รับการติดต่อให้ไปทดสอบฝีเท้ากับ อัลกอร์กอน ในเซกุนดาลีก เป็นเวลา 1 เดือน สุดท้ายกลายเป็น อูนิโอน อดาร์เบ ในลีกา 4 ให้ความสนใจอย่างจริงจัง ก่อนตัดสินใจกระชากตัวเขาไปร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี
พิสูจน์ตัวเองกับโลกลูกหนังใบใหม่
การเริ่มต้นบนโลกใบใหม่กับลีกของชาติที่ประสบความสำเร็จมากมายบนเวทีโลกย่อมต่างจากไทยอย่างแน่นอน ตั้งแต่วิธีการฝึกซ้อมที่เข้มข้นและหนักหน่วง จากนักเตะร่างบอบบางก็ค่อย ๆ กลายร่างเป็นนักเตะที่มีกล้ามเนื้อสุดแน่น และทำให้เขามีร่างกายที่ฟิตขึ้นจนพร้อมลงเล่นบนเวทียุโรป
“ในช่วงพรีซีซั่น 2-3 สัปดาห์แรกค่อนข้างหนัก เพราะต้องซ้อมเช้า กลางวัน เย็น เขาให้เทสต์ร่างกายแบบต่าง ๆ ทำให้ร่างกายหนาขึ้นและฟิตขึ้น” ชาญณรงค์ กล่าวถึงการฝึกซ้อมพรีซีซั่นกับสโมสรใหม่
“ตอนนั้นมันเหมือนเรามั่นใจ เราอยากเอาชนะตัวเองด้วย ทำให้เราสู้เต็มที่เพื่อหวังจะเป็นตัวจริง”
ในการออกสตาร์ทฤดูกาล 2021/22 เขาได้โอกาสลงสนามอย่างสม่ำเสมอและโชว์ฟอร์มได้ไม่เลว พร้อมกับยิงประตูได้อีกด้วย เรียกว่าทุกอย่างกำลังไปด้วยดีเลยทีเดียว
“โค้ชค่อนข้างมั่นใจ ผมเป็นนักเตะสไตล์ที่เขาขาด คือเป็นนักเตะที่เลี้ยงกินตัวได้ จ่ายบอลดี ตอนแรกผมได้โอกาสลงเล่นทางซ้ายเหมือนปีก แต่เวลาเล่นจะหุบเข้าในคอยเชื่อมเกม และประสานงานกับเพื่อน ๆ”
“ทีมเล่นบอลกับพื้นเป็นหลักทำให้เราเล่นได้ แถมโค้ชก็หนุนเราเต็มที่ เขาบอกว่าเล่นในแบบที่เราเป็น ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องภาษา ทำให้ผมกล้าเล่นโดยไม่กังวล”
ทีมเปลี่ยนกุนซือใหม่จากตัวจริงสู่ผู้ถูกลืม
แต่แล้วจุดเปลี่ยนของชาญณรงค์มาถึงตอนเลก 2 เมื่อทีมมีการเปลี่ยนตัวกุนซือใหม่ และมีการเปลี่ยนสไตล์การเล่นจากทีมที่เล่นบอลกับพื้นถูกแทนที่ด้วยการเล่นบอลโด่งมากขึ้น ทำให้เขากระเด็นหลุดไปอยู่บนม้านั่งสำรอง
ชาญณรงค์ กล่าวว่า “พอเปลี่ยนแนวทางการเล่นผมก็ไม่ได้ลงสนาม เขาให้ผมไปชนกับนักเตะตัวใหญ่ ๆ ทำให้ผมต้องเล่นลูกกลางอากาศมากขึ้น”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด พอเป็นตัวสำรองบ่อยขึ้นมันทำให้ผมรู้ชะตากรรมของตัวเองทันที”
“ผมปรึกษากับทางชลบุรีและบอกว่าฤดูกาลหน้าคงไม่ได้ไปต่อ ไม่ใช่ผมไม่สู้ ผมสู้ตลอด”
“ผมฝึกซ้อมเต็มที่ไม่เคยท้อ ไม่เคยบ่น แต่เมื่อโค้ชไม่ใช้เรา และสไตล์ฟุตบอลเปลี่ยนไป ผมเลยตัดสินใจกลับมาชลบุรี”
นั่นคือบททดสอบหัวใจและความอดทนเพื่อให้เขาแกร่งกล้ามากขึ้น ดังนั้นการไปเล่นที่สเปนจึงไม่ใช่ความล้มเหลวแต่คือประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ พร้อมถีบให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่ในโลกลูกหนังต่อไป
ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังกลับจากสเปน
รสชาติชีวิตลูกหนังบนแดนกระทิงดุมีทั้งหวานฉ่ำและขมขื่น แต่นั่นทำให้ชาญณรงค์เติบโตขึ้นในเส้นทางฟุตบอลอาชีพ
การกลับมาเล่นให้ชลบุรีในฤดูกาล 2022/23 เขาสลัดคราบดาวรุ่งกลายมาเป็นตัวหลักเต็มตัว แน่นอนว่าชีวิตลูกหนังของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
กราฟชีวิตของเขาค่อย ๆ พุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับ “ฉลามชล” กำลังฟอร์มร้อนแรง ก้าวไปเบียดลุ้นแชมป์กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ชนิดถึงพริกถึงขิงในช่วงเลกแรก
ทำให้ มาโน โพลกิง กุนซือทีมชาติไทย กวักมือเรียกเขาไปติดทีมชาติไทยชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ครั้งที่ 48 ซึ่งยกพลไปแข่งขันที่ จ.เชียงใหม่
มาโนตัดสินใจตีเหล็กตอนร้อนส่งชาญณงค์เป็นตัวจริงในนัดชิงอันดับ 3 เจอกับ ตรินิแดดและโตเบโก ร่วมกับตัวรุกอย่าง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และ สุภโชค สารชาติ
เขาสามารถแจ้งเกิดด้วยการยิงและจ่าย พาทีมเอาชนะไปได้ 2-1 ถือเป็นการประเดิมสนามนัดแรกในชุดเกราะทีมชาติไทยอย่างสวยงาม
ฟันเฟืองล่าเหรียญทองในซีเกมส์ที่กัมพูชา
ทีมชาติไทย ไม่ได้แชมป์ซีเกมส์มาตั้งแต่ปี 2017 แม้ความสำคัญของฟุตบอลรายการนี้จะลดลงไปตามกาลเวลา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลจากการได้แชมป์ซีเกมส์ก็ส่งผลต่อฟุตบอลไทยไม่น้อย
ชาญณรงค์คือคีย์แมนสำคัญในแนวรุกของไทย เขาทำผลงานโดดเด่นและเป็นศูนย์กลางในแนวรุกของทีม มีส่วนกับชัยชนะ 3 นัด พร้อมทำไป 3 แอสซิสต์ แม้จะยิงไม่ได้แต่เรียกได้ว่าเขาคือผู้ปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เหลิงกับผลงานของตัวเอง พร้อมให้เครดิตกับเพื่อนร่วมทีมที่มีส่วนช่วยให้ผลงานของไทยยอดเยี่ยม
“จุดแข็งของเราคือทีมเวิร์ก ทุกคนช่วยกันทั้งเกมรับและเกมรุก"
“เราก็ต้องการเป็นแชมป์อยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากมองไกล อยากไปทีละก้าวมากกว่า" ชาญณรงค์ กล่าว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการฝึกวิทยายุทธ์บนแดนกระทิงดุช่วยให้ลีลาและฟอร์มการเล่นของ ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว ก้าวไปอีกขั้น เขาเล่นได้นิ่ง สุขุม และพร้อมเป็นฟันเฟืองสำคัญของทีม
เหลืออีกเพียง 2 ก้าวเท่านั้นที่ไทยจะคัมแบ็กกลับมาคว้าเหรียญทองซีเกมส์เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี
ช่วยเชียร์และให้กำลังใจนักเตะทุกคนทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เพื่อคืนความสุขให้คอบอลไทยอีกครั้ง