Feature

คริสเตียน อัตซู : ชะตากรรมสุดระทมของ “เมสซี่กานา” แข้งพเนจรจนชีพวาย | Main Stand

นับเป็นความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่สำหรับวงการฟุตบอล ภายหลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยพบศพ คริสเตียน อัตซู อดีตหัวหอกดาวรุ่งของเชลซี และ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ดีกรีทีมชาติกานา อยู่ใต้ซากปรักหักพังหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองอันตากยา จังหวัดฮาเตย์ ซึ่งเป็นเมืองที่เขาได้ค้าแข้งอยู่ ณ ปัจจุบันกับ ฮาเตย์สปอร์ ทีมระดับท้ายตารางของซูเปอร์ ลีก ตุรกี

 

กระนั้นเมื่อพินิจย้อนไปยังชีวิตการค้าแข้งของหนุ่มตามฝันจากกาฬทวีปคนนี้ อาจจะกล่าวได้ว่าเต็มไปด้วย “ความไม่ตั้งมั่น” เขาค้าแข้งกับ 8 สโมสรใน 10 ฤดูกาล ถือเป็นตัวเลขที่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเป็น “จอมพเนจร” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเฉลี่ยออกมาแล้วเขาอยู่สโมสรใดสโมสรหนึ่งแค่ประมาณ 1-2 ฤดูกาล แล้วก็จรจำลาไป

ที่สำคัญ เมื่อระยะเวลาหนึ่งที่เขาเริ่มจะมีสัญญาณแห่งการลงหลักปักฐานและตั้งมั่นให้เป็นเหมาะแผนการณ์ก็มีอันต้องมล้างสิ้นไปอย่างไม่น่าเชื่อ ซ้ำร้ายชีวิตยังต้องมาดับสูญทั้งที่เพิ่งจะเริ่มกลับมาตั้งมั่นได้อีกครั้งหนึ่งที่ดินแดนตุรกีแห่งนี้

ร่วมติดตาม “ความระทม” ในวิถีพ่อค้าแข้งของเมสซีแห่งกานา ไปพร้อมกับ Main Stand

 

เพชรในตม คมในฝัก

คริสเตียน อัตซู วาซัม (Christian Atsu Twasam) เกิดที่เมืองอดา โฟอาห์ (Ada Foah) บริเวณปากแม่น้ำโวลทา (Volta River) มณฑลเกรเทอร์อักกรา (Greater Accra Region) ประเทศกานา ในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นชาวนาและชาวประมงที่จับสัตว์น้ำหาเลี้ยงชีพบริเวณแม่น้ำโวลทา และมีคุณแม่เป็นชาวนาพ่วงกับเป็นแม่บ้าน ที่ต้องเลี้ยงลูก 11 คน โดยเขาเป็นน้องคนสุดท้อง ที่มีฝาแฝดเป็นผู้หญิงชื่อว่า คริสตินา อัตซูเพ วาซัม

แม้จะเกิดเป็นน้องเล็กแต่ใช่ว่าจะเป็นที่รักที่ถูกทุกคนในครอบครัวตามใจแบบครอบครัวโดยทั่วไป นั่นเพราะพวกเขามีฐานะยากจนอย่างมาก เรียกได้ว่ากัดก้อนเกลือกินยังดูหรูหรา อัตซูจำเป็นต้องลาออกจากการศึกษาในระบบกลางคันเพื่อมาช่วยเหลือครอบครัวอีกแรงหนึ่ง 

โดยเขาเลือกงานทำสวน ทำนา รับจ้างสารพัด และหาบเร่ขายเคนคีย์ (Kenkey: อาหารท้องถิ่นของแอฟริกาตะวันตก โดยจะมีแป้งขนมปังก้อนกินคู่กับเครื่องเคียงอย่างสตูว์ ซุป หรือปลาซาร์ดีนทอด) กับคุณแม่ ซึ่งถือได้ว่าลำบากยากเข็ญอย่างแสนสาหัสทีเดียว

กระนั้นเพชรจะจมอยู่ในโคลนตมลึกเพียงใดก็คือเพชร ไม่แคล้วมีคนเจียระไนตาถึงควานหาเจอจนได้ ด้วยเฉพาะความสามารถทางฟุตบอลที่ตัวเขาไม่ได้คิดจะเอาดีทางด้านนี้ คิดเพียงแต่ว่าอยากหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเท่านั้น แต่ก็ไม่แคล้วมีคนพบพานถึงขนาดที่เขากล่าวไว้ใน The Guardian ว่า การเดินทางบนถนนสายฟุตบอลได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาอย่างมหาศาล ความว่า

“ฟุตบอลเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล บางทีผมก็คิดย้อนไปนะครับว่าชีวิตผมนี่เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์ชัด ๆ”

โรงเรียนประถมมาดินา ควานทัง บีเอ ทู เป็นที่แรก ๆ ที่เห็นแววการเป็นนักฟุตบอล จึงเสนอสัญญาให้เข้าร่วมอคาเดมี แน่นอนว่าหลายต่อหลายคนในกาฬทวีปต้องการ Social Mobility หรือการเคลื่อนย้ายทางสังคมให้กับตนเอง โดยการทำเช่นนั้นในระยะเวลาสั้นที่สุดคือการเป็น นักฟุตบอลอาชีพ 

และแน่นอนอีกเช่นกัน อัตซูไม่ปฏิเสธโอกาสดังกล่าว โดยเขาต้องฝึกตั้งแต่พื้นฐานเนื่องจากเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่น แต่เหมือนฟ้าประทาน เพราะเขาเรียนรู้ได้ไวมาก ๆ และแซงหน้ารุ่นเดียวกันอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่ต่อมาไม่นานเมื่ออัตซูเติบใหญ่ขึ้น เขาก็ได้ตัดสินใจขยับขยายครั้งยิ่งใหญ่เข้าไปฝึกวิทยายุทธกับ โกมัว เฟตเตห์ เฟเยนูร์ด (Gomoa Fetteh Feyenoord) ซึ่งเป็นสาขาภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก ของ เฟเยนูร์ด (Feyenoord) สโมสรชื่อดังระดับหัวตารางในเอเรดิวิซี ลีก เนเธอร์แลนด์

นั่นเพราะที่แห่งนี้มีระบบบริหารจัดการการศึกษาที่ดีกว่า กล่าวคือเขาสามารถเรียนไปด้วยและเตะฟุตบอลไปด้วย เพราะมีการประกันคุณภาพมาตรฐานยุโรปให้ เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ขณะเดียวกันฟุตบอลก็ยังได้เล่นโดยไม่ต้องเลือกทางเดินอย่างใดอย่างหนึ่ง

ที่นี่เองทำให้เขาการเรียนดีกีฬาเด่น ทั้งยังได้ขัดเกลาให้เขากลายเป็นเจ้าหนูแข้งทอง เรียกได้ว่าจากที่มีองค์ความรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ เล่นฟุตบอลข้างถนนแบบตามมีตามเกิดก็กลายเป็นนักเตะสายทักษะ สกิลแพรวพราว เทคนิคเป็นเลิศ ไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ 

ก่อนที่เขาจะเลือกเดินทางอีกครั้งเพื่อเข้าร่วม West African Football Academy ที่เมืองโซกาโคป ซึ่งถือได้ว่าเป็นอคาเดมีเครือเดียวกัน เพราะมีเฟเยนูร์ดเป็นหัวจ่าย และที่นี่เองทำให้เขาได้ค้นพบว่าตนนั้นถนัดการเล่นในตำแหน่ง “ปีกและกองหน้าริมเส้น” เป็นที่สุด

แน่นอนว่าการฉายแววระดับนี้ทำให้มีสโมสรระดับอาชีพตามจีบแบบหัวกระไดไม่แห้งเลยทีเดียว ชีตาร์ เอฟซี อดีตสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลีกกานา ได้เข้าทาบทามให้อัตซูรีบเซ็นสัญญาอาชีพกับตน และแน่นอนว่าอัตซูตอบรับน้ำใจอย่างงามจากเงินจำนวน 3 พันเซดีกานา (ประมาณ 8 พันบาท)

แต่เขาก็อยู่กับชีตาร์ไม่ทันพ้นอายุ 17 ปี แพทริค เกรเวราร์ แมวมองของ เอฟซี ปอร์โต ได้เข้ามายังภูมิภาคแอฟริกา และได้เห็นลีลาการกระชากลากเลื้อยของเขาจึงถูกอกถูกใจเป็นอย่างมาก เพราะช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ “ลิโอเนล เมสซี่” เสียเหลือเกิน รวมถึงการจ่ายบอลหรือลงมาเชื่อมเกมที่ทุกอย่างของอัตซูคือถอดแบบเมสซี่มาเป๊ะ ๆ เขาจึงได้รับฉายาว่า “เมสซีกานา” ไปโดยปริยาย

เหมือนกับว่าชะตาชีวิตของอัตซูจะอยู่ที่ไหนได้ไม่นานมาตั้งแต่วัยรุ่น เพราะปอร์โตได้รับลูกการชงของเกรเวราร์เสนอสัญญาให้กับอัตซู และแน่นอนว่าอัตซูแทบจะรีบเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าบินตรงสู่โปรตุเกสในทันที

และใครจะคาดคิดว่าการข้ามทวีปของเขาจะสร้างความตะลึงบนหน้าจอให้แก่แฟนบอลทั่วยุโรปในกาลต่อมา

 

เมสซีกานา บินมาซ่าถึงยุโรป

“ผมมาที่นี่ (ปอร์โต) เพื่อเทสต์เฉย ๆ รู้สึกจะ 3 วันมั้ง แต่พวกเขาบอกว่าโดนใจมาก ๆ เลยต่อสัญญาไปอีกครึ่งปี … หลังจากนั้นพระเจ้าบันดาลให้ผมมาอยู่ที่นี่แบบถาวร 1 ปีคือสัญญาที่เราตกลงกัน และหลังจากนั้นก็เซ็นสัญญาอาชีพกันแบบยาว ๆ” 

ข้างต้นคือรายละเอียดที่อัตซูเปิดเผยกับเว็บไซต์สโมสร (ปอร์โต) ถึงการมาลงหลักปักฐานยังลีกโปรตุเกสของเขา ก่อนที่จะรำลึกความหลังที่สวยงามว่าเขาทำอะไรให้ปอร์โตประทับใจบ้าง ความว่า

“ผมมาที่ยุโรปเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ เราคว้าโทรฟี่ลีก U-19 และ ฟีฟ่า บลู สตาร์ส ได้ (ตอนนี้คือ ฟีฟ่า ยูธ คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สำหรับเยาวชน) พวกเราถือว่าเกรียงไกรอย่างมาก แมวมองของทีมตาถึงทั้งเรื่องตัวผมและคนอื่น ๆ ในทีม ไม่รู้เขาไปหาพวกเรามาได้อย่างไร และแน่นอนว่าโค้ชก็ยอดเยี่ยม และนั่นทำให้ผมต้องทำผลงานให้ดีเพื่อเลื่อนขั้นไปเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ให้ได้”

แต่ใช่ว่าเป็นพระเจ้าในระดับเยาวชนแล้วจะยอดเยี่ยมในทีมชุดใหญ่เสียเมื่อไร อัตซูดีพอจะอยู่ในทีมชุดใหญ่แค่บนม้านั่งสำรอง แม้ อังเดร วิลลาส-โบอาส กุนซือหนุ่มสมองเพชร ณ ตอนนั้น จะเรียกใช้งานเขาเป็นประจำ แต่ตัวเขาก็รักษาตำแหน่งในทีมชุดใหญ่ไว้ไม่ได้ อัตซูถือว่ากระดูกยังไม่แข็งแกร่งพอ ริโอ อาฟ จึงเป็นสถานีในการเสริมกระดูกที่ดีในฤดูกาล 2011-12

26 แมตช์ 6 ประตู และหนึ่งในนั้นคือการตะบันใส่ เบนฟิก้า ยอดทีมแห่งโปรตุเกส พร้อมเก็บผลงานถล่ม 5-1 ถือเป็นผลงานที่ตอกย้ำว่าปอร์โตต้องรีบดึงตัวเขากลับในฤดูกาลหน้าแทบจะในทันที ด้วยการที่ วิกเตอร์ เปเรย์รา กุนซือในขณะนั้น ยืนยันเสียงแข็งว่าเขาอยู่ในแผนการทำทีม

แต่ผลงานที่ร้อนแรงไปกว่านั้นคือการได้รับเกียรติติดทีมชาติกานา แถมยังได้ลงเล่นในตำแหน่งกองหน้าริมเส้นตัวจริงก่อนนักเตะอาวุโสหลาย ๆ คนอย่างไม่น่าเชื่อ โดยอัตซูเคยเปิดใจถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ผมเป็นน้องเล็กสุดในทีม แน่นอนว่าผมวางตัวได้เหมาะสม เป็นเพราะการทำงานหนักผมจึงได้รับเลือกให้ลงสนาม”

โดยผลงานที่เทพที่สุดเกิดขึ้นในแมตช์ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โซนแอฟริกา ในปี 2013 ที่พลพรรคดาวดำยำใหญ่ใส่ อียิปต์ แบบไม่ไว้หน้าไปถึง 6-1 และเขาก็เป็นผู้ยิงประตูปิดกล่อง อีกทั้งเมื่อรวมการลงสนามในนามทีมชาติทั้งปีนั้น เรียกได้ว่าอัตซูได้ลงเล่นแทบจะทุกแมตช์ที่กานาแข่งขันเลยทีเดียว 

ด้วยเหตุนี้ เชลซี จึงไม่รอช้าในการกระชากลายเซ็นของเมสซี่กานาด้วยเงินจำนวน 3.5 ล้านปอนด์ ระยะเวลา 5 ปี ก่อนที่จะปล่อยยืมให้กับ วิเทสส์ ทีมระดับกลางตารางของเอเรดิวิซี ไปใช้งานในฤดูกาล 2013-14

ซึ่งการย้ายทีมแบบยืมตัวในครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็น “นักเตะพเนจร” ในกาลต่อมา

 

ร่อนเร่พเนจรไป เหมือนนกไพรไร้พงพนา

“โอ้พระเจ้า! ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมก้าวกระโดดได้เร็วมาก ๆ … ผมเป็นคนหนึ่งที่โชคหล่นทับมาตลอด อย่างการได้ร่วมเล่นกับ ฮัลค์, ราดาเมล ฟัลเกา, แจ็คสัน มาร์ติเนส, ฮาเมส โรดริเกวซ หรือคนอื่น ๆ อีกหลายต่อหลายคน”

ข้างต้นคือคำกล่าวของอัตซูหลังจากย้ายซบอกสิงห์บลูส์แล้ว แต่กระนั้นการมาเยือนถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของเขาก็กลายเป็นการมาชูเสื้อ เดาะบอล แอ็กให้นักข่าวและตากล้องแชะภาพ เพราะหลังจากนั้นเขาไม่ได้แม้แต่จะนั่งข้างสนามหรือสวมเสื้อซ้อมของทีมลงไปวอร์มอัพในเกมทางการเลยตลอดสัญญา

อย่างที่ได้กล่าวไป วิเทสส์เป็นสโมสรแรกที่เขาเดินทางไปด้วยสัญญายืมตัว และด้วยพลังหนุ่ม ประกอบกับการต้องทำตัวเองให้โดดเด่นเพื่อซื้อใจเชลซี ทำให้เขาระเบิดฟอร์มอย่างถึงเครื่อง เรียกได้ว่าเป็นฤดูกาลที่เขาพีกที่สุดก็ว่าได้ โดยเขาได้ร่วมเป็นสองประสานในแดนหน้ากับ ไมค์ ฮาเวนาร์ ศูนย์หน้าทีมชาติญี่ปุ่น และอัตซูก็แอสซิสต์ประตูให้มากมาย พร้อมทำ 5 ประตูจาก 28 แมตช์ 

แต่ก็เหมือนจุดพลุ เพราะหลังจากจบฤดูกาลดังกล่าวอัตซูก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากเชลซี จริงอยู่ ที่ปีกเชลซี ณ ขณะนั้นมีแต่ระดับพระกาฬ ไม่ว่าจะเป็น เอเด็น อาซาร์, วิลเลียน, ออสการ์, อังเดร ชูร์เล่ ขนาดที่ว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังต้องนั่งเป็นตัวสำรอง แต่การปิดประตูใส่หน้าโดยไม่ได้รับโอกาสเลยก็นับเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปสำหรับนักเตะคนหนึ่งที่มุ่งมั่นตั้งใจ 

เอฟเวอร์ตัน, บอร์นมัธ และ มาลาก้า คือสโมสรในการปล่อยยืมที่ไม่น่าจดจำเท่าที่ควรของอัตซู โดยเฉพาะที่บอร์นมัธ เขาได้ลงเล่นเกมลีกคัพไปแค่ 2 เกม ขนาดที่ต้องปล่อยยืมต่อให้มาลาก้าไปใช้งานในครึ่งฤดูกาลหลังของ 2015-16 เรียกได้ว่า เมสซี่กานา ได้ประสบกับ “ความระทม” ในการค้าแข้งอย่างไม่น่าเชื่อ และชีวิตของเขาก็พลิกผันรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

ก่อนที่ฤดูกาลต่อมาเขาจะถูกส่งไปยังลีกรองเพื่อเป็นอะไหล่ให้กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในภารกิจลุ้นเลื่อนชั้น ซึ่งถือเป็นการลดระดับฟุตบอลแบบกลาย ๆ แต่ตัวเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ให้ไปเล่นที่ไหนก็ไปได้

และครั้งนี้เหมือนเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องก่อนเข้าสู่วัยเบญจเพสของเขา 32 แมตช์ 5 ประตู แถมยังเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงมาจาก โยฮัน กรูฟฟอง ได้ พร้อมเป็นเทพเจ้าแอสซิสต์ให้กับ ดไวต์ เกย์ล และ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ถลุงตาข่ายเป็นว่าเล่น และพาพลพรรคสาลิกาดงเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดแบบสบายเท้า แถมได้แชมป์เป็นผลพลอยได้ โดยเบียด ไบรท์ตัน ได้ในแมตช์สุดท้าย

ก่อนที่ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือขรัวเฒ่า ณ ตอนนั้น จะเห็นถึงการเติมเต็มบางอย่าง และร้องขอให้สโมสรควักเงิน 6.2 ล้านปอนด์ กระชากตัวเมสซี่กานาในวัยเบญจเพสเข้าสู่ทีม

“ผมไม่เสียใจเลยที่เคยอยู่เชลซี เพราะผมก็ยอมรับว่าคนเก่ง ๆ ที่นั่นมีเพียบ แต่เพราะโอกาสนั้นจึงทำให้ผมได้มาอยู่กับนิวคาสเซิล” อัตซู เปิดใจแบบหยอดคำหวานหลังได้ย้ายมาสวมเสื้อขาว-ดำ ในถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค

แถมเรื่องนี้ยังทำให้อัตซูประทับใจเบนิเตซอย่างมาก ถึงขนาดกล่าวชื่นชม ความว่า

“ราฟาเหมือนพ่อของผมอีกคนเลย ทุกคนที่นี่ (นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด) รับรู้ถึงความอบอุ่นจากเขาได้ เขามักจะให้กำลังใจผมเสมอยามผมท้อแท้ และในเรื่องการเป็นเจ้านายหรือการบริหารจัดการทีมเขาก็เทพไม่แพ้กัน”

แน่นอนว่าอัตซูเป็นเหมือน “ลูกรัก” ของเบนิเตซ เพราะใน 2 ฤดูกาลหลังสุดที่เขาคุมทีม เขาตะบี้ตะบันใช้งานอัตซูแบบเรียกได้ว่าถึงจะฟอร์มตกขนาดไหนอัตซูก็ต้องได้ลงเป็นตัวจริง แม้จะทำให้พลพรรค เดอะ แม็กพายส์ สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้น ก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด อัตซูลงสนามในลีก 56 แมตช์ ยิงได้เพียง 3 ประตู ใน 2 ฤดูกาล 

กระนั้นเมื่อพ่อคนที่สองของเขาต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ไป และเป็น สตีฟ บรูซ เข้ามาแทน อัลลอง แซงต์-แม็กซิแม็ง, มิเกล อัลมิรอน และ แม็ตตี้ ลองสตาฟฟ์ คือตัวเลือกแรก ๆ ของบรูซและไม่มีที่ว่างให้กับอัตซูอีกต่อไป โดยในฤดูกาล 2020-21 เขานั่งกินค่าเหนื่อยเฉย ๆ โดยได้ลงเล่นให้นิวคาสเซิลเพียงเกมเดียวในศึกลีกคัพเท่านั้น

ทำให้ท้ายที่สุด เขาต้องกลับมาเป็นแข้งพเนจรอีกครั้ง แถมตอนนี้ยังพ่วงอาการบาดเจ็บเข้ามารบกวนอีกด้วย

 

หวังตั้งมั่น แต่พลันชีพวาย

3 ปี หรือ 3 ฤดูกาล จะว่านานก็ไม่ใช่จะว่าไม่นานก็ไม่เชิง แต่สำหรับนักฟุตบอลที่โดนปล่อยยืมมาก่อนหน้านั้น 5 ฤดูกาลและอยู่ในวัยใกล้ 30 อย่างอัตซู สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า “หาความตั้งมั่นไม่ได้”

ตรงนี้เรียกได้ว่าสวนทางกับการเล่นในนามทีมชาติของอัตซูอย่างมาก เพราะเขาได้รับความไว้วางใจมาเรื่อย ๆ จนแตะหลักเกิน 50 แมตช์ที่เขาติดทีมชาติ แถมเขายังยิงประตูได้สูสีกับการค้าแข้งในนามสโมสรรวมกันเลยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าเขาเองก็คิดเช่นนั้น จากการประเมินสถานการณ์เรื่องสภาพร่างกายของตนเอง เขาจึงตัดสินใจที่จะหันหลังให้กับฟุตบอลระดับสูงในทวีปยุโรป มุ่งตรงสู่ซาอุดีอาระเบียกับสโมสรอัล ราเอ็ด ทีมระดับกลางตารางของซาอุดี โปร ลีก เพื่อ “ความตั้งมั่น” จากการแข่งขันที่ไม่ได้สูงอะไรมากมาย รวมถึงมีเรื่องการโกยเงินเป็นผลพลอยได้

แต่ก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด อาการบาดเจ็บเป็นเงาที่ตามตัวเขามาที่รักษาอย่างไรก็ไม่หายขาดเสียที 8 แมตช์คือจำนวนที่เขาลงสนามให้ อัล ซาเอ็ด และที่หนักหนาที่สุดคือเขาต้องระเห็จออกจากซาอุดีอาระเบียทั้งที่อยู่ได้ไม่ถึงปี

แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่ใช่หนุ่ม ๆ แล้ว แต่มาตกงานตอนอายุ 30 ปีแถมยังบาดเจ็บไม่หายอีก เรียกได้ว่าเป็นสินค้าที่มีแต่ตำหนิเต็มไปหมดในตลาดแรงงาน กระนั้นสำนวนฝรั่ง Every cloud has a silver lining ที่คล้ายกับสำนวนไทยว่า “ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ” ได้เกิดขึ้นในชีวิตของอัตซู และเป็นประเทศตุรกีที่ใจดีกับเขา 

ฮาเตย์สปอร์ ทีมระดับลุ้นหนีตกชั้นของซูเปอร์ ลีก ตุรกี ได้มอบสัญญา 1 ฤดูกาล พ่วงออฟชั่นขยายสัญญาไปอีก 1 ฤดูกาลให้แก่เขา ซึ่งถือเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะการยื่นสัญญาในลักษณะแบบมีออฟชั่นให้กับนักเตะที่ยังบาดเจ็บแบบนี้เป็นความเสี่ยงกว่าการยื่นสัญญาแบบฤดูกาลเดียวจบกัน

แต่สิ่งนี้เป็นการซื้อใจ และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง หลังจากที่เขาสลัดอาการบาดเจ็บทิ้งไปใน 3 แมตช์แรก เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2023 เขาก็กดไป 1 เม็ดใส่ คาซิมปาซ่า และสโมสรยังได้กรุยทางให้เขาเป็นกำลังหลักในแดนหน้าของทีมเพื่อลุ้นหนีตกชั้นอีกด้วย

ก่อนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวจะมาพรากชีวิตเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ


สุดท้ายนี้ ชีวิตมนุษย์ไม่มีอะไรแน่นอน และไม่มีอะไรสมปรารถนาไปเสียทุกอย่าง แถมยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่า แท้จริงแล้วที่ตกระกำลำบากหรือไม่เป็นดั่งใจนั้น เป็นเพราะการวางแผนดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดหรือพระเจ้าไม่ชอบหน้ากันแน่ 

แต่กระนั้น สิ่งที่ทำได้คือการยอมรับและพยายามเดินไปข้างหน้าต่อไปแบบที่อัตซูได้กระทำ แม้ท้ายที่สุดซากปรักหักพังจากแผ่นดินไหวจะดับชีวิตและความฝันของเขาไปตลอดกาลแล้วก็ตาม

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.theguardian.com/football/2019/feb/21/christian-atsu-newcastle-rafael-benitez
https://www.theguardian.com/football/2023/feb/18/christian-atsu-ghana-newcastle-turkey-hatayspor 
https://www.ghanaweb.com/GhanaHomePage/SportsArchive/artikel.php?ID=240487 
https://web.archive.org/web/20171117040523/http://www.xtheline.co.uk/football-christian-atsu/
https://web.archive.org/web/20190125184625/https://www.sunnews.info/ghana-news/index.php/2018/04/14/christian-atsu-reflects-on-time-at-portuguese-giants-fc-porto/ 
https://buzzghana.com/christian-atsu-ghanain-player-newcastle/ 
https://www.ghanaweb.com/GhanaHomePage/SportsArchive/Biography-of-late-Ghanaian-winger-Christian-Atsu-1717184 

Author

วิศรุต หล่าสกุล

หน้าตา 4KINGS ฟังเพลง 4EVE

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา