6 มกราคม ค.ศ. 2023 โลกได้สูญเสียอีกหนึ่งบุคลากรลูกหนังโลกอย่าง จานลูก้า วิอัลลี่ อดีตกองหน้าทีมชาติอิตาลี ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับอ่อนในวัย 58 ปี
วิอัลลี่เติบโตและยกระดับฝีเท้าของตัวเองจนเป็นแข้งระดับแถวหน้าตั้งแต่ช่วงสมัยที่ลงเล่นในศึกกัลโช่ เซเรีย อา หรือลีกอาชีพสูงสุดของอิตาลีประเทศบ้านเกิด จนต่อยอดสู่การติดทีมชาติลงบู๊ในหลายทัวร์นาเมนต์สำคัญ
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าตำนานผู้ล่วงลับรายนี้จะยิ่งใหญ่แค่ในลีกสูงสุดแดนรองเท้าบูทเพียงอย่างเดียว นั่นเพราะช่วงเวลาที่เขาเคยย้ายมาเล่นในต่างแดนกับ “เชลซี” ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน แถมเขายังได้สัมผัสเส้นทางกุนซืออาชีพครั้งแรกกับยอดทีมแห่งลอนดอนตะวันตกด้วย
Main Stand ขอชวนผู้อ่านทุก ๆ คนมาติดตามเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของ จานลูก้า วิอัลลี่ กับมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่เขาฝากไว้ในนามทีมสิงโตน้ำเงินคราม ซึ่งทำให้แฟน ๆ ยกย่องให้เขาเป็นอีกหนึ่งตำนานของสโมสร
ยิ่งใหญ่ที่อิตาลี สู่การยกระดับเชลซี
ซามพ์โดเรีย คือสโมสรแรกที่ จานลูก้า วิอัลลี่ ลงสัมผัสเวทีลูกหนังลีกสูงสุดของประเทศอิตาลีอย่าง กัลโช่ เซเรีย อา โดยตลอดช่วงเวลา 8 ฤดูกาลร่วมกับสโมสรตั้งแต่ 1684-1985 ไปจนถึง 1991-92 วิอัลลี่ขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับทีม “ลา ซามพ์” เรื่อยมา
นับแต่ที่ก่อตั้งสโมสรในปี 1946 ซามพ์โดเรียไม่เคยผงาดถึงขั้นคว้าแชมป์ลีกได้แม้แต่หนเดียว ทว่าในฤดูกาล 1990-91 สโมสรกลับทำได้ โดยส่วนหนึ่งมาจากความสุดยอดของวิอัลลี่
วิอัลลี่เป็นผู้เล่นกองหน้าสไตล์ใหม่ที่แนวทางการเล่นไม่ได้เจาะจงไปกับการยืนค้ำในแดนหน้าเพียงอย่างเดียว จากการที่เขาเคยเป็นผู้เล่นริมเส้นทำให้บทบาทของเขาต่างไปจากดาวยิงคนอื่น ๆ ในลีก เขาถอยมาช่วยเชื่อมเกมได้ ทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษเป็นหัวหอกที่มักจะทำประตูด้วยลูกมหัศจรรย์ เช่น ตีลังกายิง วอลเลย์แบบไม่ต้องจับ โดยมีเพื่อนร่วมทีมที่เป็นจอมแอสซิสต์ชั้นดีอย่าง โรแบร์โต้ มันชินี่ ช่วยผนึกกำลัง
นั่นก็ทำให้เจ้าตัวเติมฝันที่ยิ่งใหญ่ของทีมได้สำเร็จด้วยผลงาน 19 ประตู ครองทั้งดาวซัลโวสูงสุดของทีมและลีก ส่งซามพ์โดเรียได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ครั้งแรกและครั้งเดียวมาจนปัจจุบัน
ความยิ่งใหญ่ของวิอัลลี่ได้รับการเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง ในฤดูกาล 1992-93 เขาย้ายมาเล่นให้กับ ยูเวนตุส สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศ ที่ห่างหายจากการเป็นแชมป์ลีกมาเป็นเวลาร่วม 8 ปี
โดยการเข้ามาสู่ทัพ “เบียงโคเนรี่” นอกจาก จานลูก้า วิอัลลี่ จะพาทีมกลับมาเป็นแชมป์ลีกได้อีกครั้งในฤดูกาล 1994-95 ภายใต้การผนึกกำลังกับ มาร์เชลโล่ ลิปปี้ พร้อมดาวดังในเวลานั้น ทั้ง อันโตนิโอ คอนเต้, โรแบร์โต้ บาจโจ้ และ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่
เท่านั้นยังไม่พอ ในฤดูกาลต่อมา (1995-96) ซึ่งในขณะนั้นเจ้าตัวมีอายุแตะเลขสามไปแล้วก็มาประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1995-96 ก่อนจะไม่ต่อสัญญากับทีมเพื่อหาความท้าทายใหม่ เขาเลือกโยกไปอยู่กับเชลซี ภายใต้การชักชวนของ รุด กุลลิต นั่นทำให้วิอัลลี่เป็นนักเตะสัญชาติอิตาเลียนคนแรกของ “เดอะ บลูส์” อีกด้วย
เชลซีในยุคนั้นขาดการเป็นแชมป์ใด ๆ มายาวนานถึง 26 ปี มีเจ้าของที่ชื่อ เคน เบตส์ ซึ่งซื้อทีมมาตั้งแต่ปี 1982 ทว่าการแต่งตั้งกุลลิตขึ้นคุมทัพ ในฐานะนักเตะ-ผู้จัดการทีม ช่วงเริ่มต้นซีซั่น 1996-97 ได้นำพาสไตล์ใหม่ ๆ เข้ามาสู่สโมสร ซึ่งเขาได้ยึดถือมาตั้งแต่เป็นนักเตะยุคของ เกล็น ฮอดเดิ้ล กุนซือเชลซีคนก่อนหน้าแล้ว อย่างบทบาทการเล่นสวีปเปอร์ (sweeper) ในฟุตบอลยุคใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องเน้นแค่เรื่องเกมรับหรือการเก็บกวาดอย่างเดียว
กลับมาที่ยุคของกุลลิตที่เป็นโค้ชแอนด์เพลย์เยอร์ เดอะ บลูส์ เขาเริ่มใช้แนวทางเติมแข้งจากต่างแดนเข้ามาสู่ทีมตามยุคสมัยของพรีเมียร์ลีกในเวลานั้น ที่หลาย ๆ ทีมเริ่มคว้าแข้งนอกสหราชอาณาจักรเข้ามามากขึ้น
ฤดูกาล 1996-97 นอกจากวิอัลลี่จะย้ายมาหาประสบการณ์ใหม่ ๆ แล้ว ทีมยังไปดึงดาวเด่นรายอื่น ๆ อาทิ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ มิดฟิลด์พันธุ์แกร่งจากลาซิโอ, ฟรองก์ เลอเบิฟ กองหลังสายสวีปเปอร์จากสตาร์สบูร์ก และ จานฟรังโก้ โซล่า เพลย์เมกเกอร์จากปาร์ม่า มาเสริมแกร่งด้วย
ฤดูกาลแรกของศูนย์หน้าวัย 31 ปีกับเชลซี เขาคว้าดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรในการลงเล่นพรีเมียร์ลีกได้ทันทีจากผลงาน 9 ประตู โดยรวมแล้ว “ลูก้า” ยิงไป 11 ประตูจากการลงเล่นรวมทุกรายการ 34 นัด กับบทบาทตัวจริงสลับตัวสำรอง เขาพาสโมสรจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 ซึ่งเป็นอันดับสูงสุด ณ ตอนนั้นนับตั้งแต่ที่ลีกอาชีพสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชั่น 1 มาเป็น พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 1991-92
ขณะเดียวกันวิอัลลี่ยังพาสโมสรกลับมานับหนึ่งกับความสำเร็จอีกครั้ง หลังเชลซีคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ ซึ่งหนึ่งในเส้นทางสู่แชมป์ที่ จานลูก้า วิอัลลี่ มีส่วนร่วมคือผลงาน 2 ประตูในเกมรอบสี่ นัดดับ ลิเวอร์พูล 4-2
“พวกเราโชคดีที่เชลซีเพราะสโมสรเซ็นสัญญา [จานฟรังโก้] โซล่า, [รุด] กุลลิต และ [จานลูก้า] วิอัลลี่ พวกเขามาถึงสนามซ้อมแล้วพูดว่า ‘อาหารอยู่ไหน โปรตีนล่ะ ? เราต้องการโรงยิมที่ใหญ่กว่านี้ เราต้องยืดเส้นยืดสายกันให้มากกว่านี้’ พวกเขายกระดับทีมไปอีกขั้น" จอห์น เทอร์รี่ ให้สัมภาษณ์กับ Unacademy
เรียกได้ว่าตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายจากตูรินมายังลอนดอน จานลูก้า วิอัลลี่ เข้ามาเป็นหนึ่งในฟันเฟืองของเชลซี จากทีมกลางตาราง สู่ทีมที่คู่แข่งร่วมลีกรวมถึงร่วมทวีปยุโรปจะประมาทไปไม่ได้อีกแล้ว
ผลงานผ่านชีวิตกุนซือ
ในฤดูกาล 1997-98 ทีมสิงโตน้ำเงินครามจัดแจงเสริมขุมกำลังผ่านการดึงแข้งนอกเกาะอังกฤษมาเป็นแกนหลักเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็น เอ็ด เดอ ฮุย นายด่านทีมชาติเนเธอร์แลนด์, กุสตาโว่ โปเยต์ กองกลางพันธุ์ดุทีมชาติอุรุกวัย และ โทเร่ อันเดร โฟล หอกร่างใหญ่เลือดนอร์เวย์ รวมถึงแบ็กซ้ายดาวเด่นพรีเมียร์ลีกในเวลานั้นอย่าง แกรห์ม เลอ โซซ์
อย่างไรเสีย เชลซีภายใต้การคุมทีมของ รุด กุลลิต จบลงในระยะเวลาเพียง 21 เดือน เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ 1998 กุนซือดัตช์เชื้อสายซูรินาม ถูกปลดออกจากตำแหน่งทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ทีมในตอนนั้นก็ยังอยู่ในช่วงลุ้นสานต่อความสำเร็จจากฤดูกาลก่อน ไม่ว่าจะเป็นการรั้งอยู่อันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก เข้ารอบ 8 ทีม คัพ วินเนอร์ส คัพ และอยู่ในเส้นทางรอบรองชนะเลิศลีกคัพ
มีเหตุผลต่าง ๆ นานาเรื่องการที่กุลลิตไม่ได้คุมทีมต่อ ซึ่งรวมถึงการโยงมายังความสัมพันธ์ของเขากับวิอัลลี่ด้วย เนื่องจากวิอัลลี่ไม่ได้ลงเล่นในฐานะ 11 ตัวจริงอย่างต่อเนื่อง แต่ภายหลังทั้งสองยืนยันว่าไม่ได้บาดหมางกันแต่อย่างใด
อีกด้านหนึ่ง จากการรายงานรวมถึงบทวิเคราะห์ของสื่อหลายสำนักมองไปในมุมเดียวกันว่าเป็นเพราะความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยระหว่าง รุด กุลลิต กับ เคน เบตส์ และบอร์ดบริหารสโมสรว่าด้วยเรื่องค่าเหนื่อยที่สูงลิบกับสัญญาฉบับใหม่ ทำให้กุลลิตไม่ได้ไปต่อ
และคนที่จะสานต่อแนวทางฟุตบอลแบบฉบับกุลลิตได้ดีที่สุด ทางบอร์ดบริหารสโมสรไม่ได้มองไปไกลที่ไหน คนคนนั้นก็คือ จานลูก้า วิอัลลี่ ซึ่งในเวลานั้นเป็นแข้งซีเนียร์ของทีมที่มีอายุ 33 ย่างเข้า 34 เขามีวุฒิภาวะเพียงพอ แถมยังสื่อสารภาษาอังกฤษได้แบบไม่เคอะเขิน
“2 ปีครึ่ง” (กุมภาพันธ์ 1998 ถึงกันยายน 2000) คือช่วงเวลาที่วิอัลลี่รับบทบาทกุนซืออิตาเลียนคนแรกในพรีเมียร์ลีก เขาทำหน้าที่คุมทีมข้างสนามสลับกับการสวมสตั๊ดลงบู๊ในบางโอกาส
ไม่น่าเชื่อว่าการรับงานคุมทีมหนแรกของเจ้าตัวจะประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่ม เพราะในช่วงปลายฤดูกาล 1997-98 สิงโตน้ำเงินครามคว้าแชมป์ลีกคัพ รวมทั้งยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ซึ่งเป็นรายการระดับทวีปยุโรปมาครองได้สำเร็จ
ส่งผลให้วิอัลลี่กลายเป็นกุนซืออายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่พาทีมระดับสโมสรคว้าโทรฟี่ของยูฟ่าได้ (33 ปีกับอีก 308 วัน)
ฤดูกาลต่อมา (1998-99) เขาปรับบทบาทในสนามของตัวเองให้น้อยลงและผันตัวเองมาอยู่ข้างสนามมากขึ้น ก่อนจะคุมเชลซีประสบความสำเร็จคว้าถ้วยแชมป์มาประดับสโมสรอีกครั้งในเกมชนะ เรอัล มาดริด 1-0 ศึกยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 1998 ตลอดจนการพาทีมจบอันดับสามในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ซึ่งถือเป็นอันดับสูงสุดของสโมสรในลีกสูงสุด นับตั้งแต่ปี 1970
จนกระทั่งเขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดเพื่อคุมทีมเต็มตัวในฤดูกาล 1999-2000 และพาทีมซิวถ้วยเอฟ เอ คัพ และคอมมูนิตี้ ชิลด์ ปี 2000 ในลำดับต่อมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือมรดกล้ำค่าที่ จานลูก้า วิอัลลี่ ฝากไว้กับสโมสรก่อนจะอำลาทีมไป หลังโดนปลดในเดือนกันยายน 2000 และกว่าทีมจะประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์อีกครั้งก็ต้องรอไปถึงปี 2005 กับยุคเปลี่ยนผ่านสู่เจ้าของใหม่ในเวลานั้น อย่าง “โรมัน อบราโมวิช” ที่ไปดึง “โชเซ่ มูรินโญ่” เข้ามากุมบังเหียน พร้อมกับคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและลีกคัพมาครองได้
นอกจากนี้ “ลูก้า” ยังเป็นคนที่ผลักดันให้ “จอห์น เทอร์รี่” มีส่วนร่วมกับทีมชุดใหญ่หนแรกด้วย โดยวิอัลลี่เลือกส่ง เทอร์รี่ ในฐานะเด็กปั้นของสโมสร ลงสนามในนามทีมซีเนียร์ด้วยวัย 18 ปี ในศึกลีกคัพ ปะทะ แอสตัน วิลล่า ในปี 1998
แม้จะมีช่วงที่เคยตัดสินใจปล่อยให้เทอร์รี่ย้ายไปเล่นให้ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ในช่วงสั้น ๆ ของฤดูกาล 1999-2000 แต่หลังจากนั้นวิอัลลี่ก็ไม่ขอให้ทีมปล่อยดาวโรจน์รายนี้ไปยืมตัวที่ใดอีก และเป็นคนขอให้เทอร์รี่อยู่เรียนรู้วิชาจากเหล่าเกมรับรุ่นพี่ในทีม และอยู่สู้กับโอกาสของตัวเองในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์
ก่อนที่ จอห์น เทอร์รี่ จะได้รับการยกย่องให้เป็น “กัปตัน ผู้นำ และตำนาน” ของสโมสร จากผลงานในเวลาต่อมา เขาลงเล่นให้ทีมไปถึง 717 นัด นับตั้งแต่ปี 1999-2017 และเป็นนักเตะที่ลงสนามให้เชลซีมากที่สุดเป็นอันดับสามของสโมสร
"เชลซียอมรับข้อเสนอนะ แต่วิอัลลี่ไม่ยอม แน่นอนว่าผมต้องขอบคุณลูก้าเลยจริง ๆ เขาให้ผมได้ลงเดบิวต์ เขาเป็นชายที่ยิ่งใหญ่และเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยมมากเลย" จอห์น เทอร์รี่ ย้อนความหลังถึง จานลูก้า วิอัลลี่ ที่เลือกไม่ปล่อยตัวให้ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ยืมตัว เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
Once a Blue, always a Blue
ที่เชลซีมีคำกล่าวที่ว่า “เมื่อคุณเป็นสีน้ำเงินแล้ว ก็จะเป็นสีน้ำเงินตลอดไป” ซึ่งใช้ได้กับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสร ไม่ว่าจะเจ้าของทีม นักเตะ โค้ช ไปจนถึงแฟนบอล
เช่นเดียวกับวิอัลลี่ที่ประสบความสำเร็จทั้งกับการเป็นนักเตะและโค้ชกับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านช่วงหนึ่งของสโมสร จากทีมกลางตารางกลายมาเป็นทีมที่เริ่มเกาะหัวตารางได้ และเริ่มมีโทรฟี่ติดมือมากขึ้น
โดยเฉพาะกับช่วงที่เป็นกุนซือ เขาพาทีมคว้าแชมป์มาได้ถึง 5 โทรฟี่ และเป็นเฮดโค้ชที่พาทีมเป็นแชมป์มากที่สุดอันดับสองรองจาก โชเซ่ มูรินโญ่ (8 โทรฟี่) ในประวัติศาสตร์สโมสร
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าเจ้าตัวซึมซับความเป็นสิงห์บลูส์มาตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชนด้วย ดังข้อมูลของเว็บไซต์ทางการของสโมสรเชลซีที่ระบุว่า มีอยู่ 1-2 ครั้งที่เขาเคยได้ของฝากเป็นผ้าพันคอของสโมสรจากเพื่อนที่เดินทางไปอังกฤษ ทั้งยังเคยได้รับของฝากเป็นเสื้อแจ็คเก็ตสิงห์บลูส์ขณะที่เป็นนักเตะของซามพ์โดเรีย และเจ้าตัวเคยใส่ลงซ้อมกับทีมดังแห่งเจนัวมาแล้ว
ขณะที่ช่วงหลังอำลาสโมสรไป วิอัลลี่ ภรรยา และลูกสาวสองคนก็ยังเลือกตั้งรกรากอยู่ในย่าน SW6 ในลอนดอนตะวันตก อันเป็นถิ่นของทีมสิงโตน้ำเงินคราม ควบคู่กับการรับงานเป็นหัวหน้าคณะนักเตะทีมชาติอิตาลี และบ่อยครั้งที่เขาเดินทางมาเยือนสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในบทบาทแขกรับเชิญพิเศษ เช่น เดือนพฤษภาคม 2018 วิอัลลี่ได้รับเชิญให้มาเป็นกุนซือทีมตำนานเชลซี ดวลกับ ทีมตำนานอินเตอร์ มิลาน และมีโอกาสได้ย้อนรำลึกอดีตพร้อมกับเพื่อน ๆ และลูกทีมอย่าง จานฟรังโก้ โซล่า, เดนิส ไวส์ รวมถึง โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ
ซึ่งรวมถึงช่วงต่อสู้กับมะเร็งตับอ่อนที่ถูกตรวจพบครั้งแรกในปี 2017 ซึ่งเขาเลือกจะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลท้องถิ่นที่ชื่อ Royal Marsden
แม้จะมีช่วงที่รักษาสำเร็จจนเหมือนว่าตำนานอิตาเลียนผู้นี้จะหายขาดจากมะเร็งตับอ่อนได้แล้วในปี 2020 แต่ในปีต่อมา (2021) มะเร็งร้ายชนิดนี้ก็ยังไม่หายไปไหน และครั้งนี้เขาก็สู้ไม่ไหว จานลูก้า วิอัลลี่ จากโลกนี้ไปในวัย 58 ปีที่กรุงลอนดอน
1996-2000 อาจจะเป็นช่วงเวลาไม่มากไม่น้อยที่ จานลูก้า วิอัลลี่ ได้ร่วมงานกับเชลซี อย่างไรก็ตาม เขากลับสร้างมรดกชิ้นโบว์แดงเอาไว้มากมาย
ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานคนหนึ่งของสโมสร และเป็นที่รักของทั้งเพื่อนร่วมงาน ตลอดจนแฟนคลับสิงโตน้ำเงินครามทุกคน
สู่สุคติ จานลูก้า วิอัลลี่
แหล่งอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Gianluca_Vialli
https://www.chelseafc.com/en/news/article/gianluca-vialli-1964-2023
https://www.chelseafc.com/th/news/article/media-watch--john-terry-names-key-chelsea-trio--napoli-regret-re
https://www.chelseafc.com/th/news/article/media-watch--john-terry-thanks-vialli-for-rejecting-offer--forme https://www.chelseafc.com/en/news/article/nine-gianluca-vialli-facts-you-might-not-know
https://www.facebook.com/jingjungfootball/photos/a.1763433500538559/3243933389155222/
https://www.transfermarkt.com/gianluca-vialli/leistungsdaten/spieler/16036/plus/0?saison=1996
https://www.standard.co.uk/sport/football/gianluca-vialli-chelsea-fc-b1049713.html
https://www.bbc.com/sport/football/64039302