Feature

ปัญหาที่เกินควบคุม : วิธีเล่นแบบคล็อปป์ที่อาจทำร้ายนักเตะลิเวอร์พูลทางอ้อม | Main Stand

นับตั้งแต่ เยอร์เกน คล็อปป์ มาคุมทีมลิเวอร์พูล เราไม่เคยเห็นทีมฟุตบอลทีมไหนในพรีเมียร์ลีกวิ่งมากเท่ากับพวกเขามาก่อน

 

การวิ่ง ความขยัน และความทุ่มเท กลายเป็นสิ่งที่ขุนพลเครื่องจักรสีแดงได้รับคำชมเป็นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตามคำชมเหล่านั้นกำลังส่งผลในด้านลบ เมื่อวันหนึ่งนักเตะหงส์แดงผลัดกันเจ็บแทบทุกสัปดาห์ … เรื่องนี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่ ? ติดตามได้ที่ Main Stand

 

ผู้ทำลายกฎแห่งการวิ่ง 

ฟุตบอลของ เยอร์เกน คล็อปป์ เป็นแบบไหนเราคงไม่ต้องอธิบายกันเยอะ สำหรับใครที่ดูฟุตบอลมาในช่วง 10 ปีหลังคุณคงได้เห็นกับตาตัวเองในการถ่ายทอดสดหรือในสนามมาแล้ว สไตล์ฟุตบอลของคล็อปป์ถูกเรียกว่า "เกเกนเพรสซิ่ง" ที่จะไล่บอลกันในทุกพื้นที่ของสนาม นักเตะจะวิ่งไล่บอลใส่คู่แข่งด้วยความเข้มข้นในระดับที่สูงมาก รวมถึงใช้ความเร็วในการเคลื่อนที่และจ่ายบอล ... เรียกได้ว่าพวกเขาขับเคลื่อนทีมด้วยความเร็วและพลังจนถึงขีดสุดเสมอ 

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การตัดสินกันด้วยตาเปล่าเท่านั้น เพราะลิเวอร์พูลเป็นทีมที่มีสถิติการวิ่งแบบสปรินต์ (เต็มสปีด) มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่ปี 2018 หรือช่วงที่คล็อปป์สร้างทีมของเขาขึ้นมาได้สำเร็จ โดยในฤดูกาล 2018-19 ทีมของคล็อปป์วิ่งสปรินต์ไปมากถึง 4,737 ครั้งตลอดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก มีนักเตะของพวกเขา 3 คนติดท็อป 4 ของนักเตะที่วิ่งสปรินต์มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ประกอบด้วย โมฮาเหม็ด ซาลาห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ ซาดิโอ มาเน่ 

พวกเขาเล่นแบบนี้แทบทุกเกมติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว ต้องยอมรับว่าลิเวอร์พูลสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับคำว่า "ขยันวิ่ง" สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เรื่องนี้ถึงขั้นเคยมีการวิจัยออกมาในช่วงปลายปี 2016 ว่าวิธีการเล่นของทีมในพรีเมียร์ลีกเปลี่ยนไปมาก เดิมทีการวิ่งของนักเตะในพรีเมียร์ลีกจะใส่กันไม่สุดถึงขั้นวิ่งกันทั้งเกม เพราะมีการชี้วัดว่านักฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกมีอัตราการวิ่งด้วยความเร็วสูงในระยะสั้นเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา (2006-2016) แต่ในขณะเดียวกันนักเตะเหล่านี้ต้องยอมรับกับความเสี่ยงที่ว่า การวิ่งไล่บอลอย่างหนักเพียง 2-3 นาทีจะทำให้พวกเขาช้าลงกว่าที่ควรจะเป็น 5 นาที 

ถ้าจะอธิบายสถานการณ์ข้างต้นให้เข้าใจมากขึ้นคือ สมมติว่าคุณสั่งให้นักฟุตบอลในทีมลงไปวิ่งไล่บอลอย่างหนักราว 10 นาทีแบบไม่มีหยุดพัก พวกเขาจะกลับมาเล่นอย่างหมดแรงแบบก้าวขาแทบไม่ออกเป็นเวลา 20 นาทีหลังจากนั้น ซึ่งภาวะหมดแรงอาจเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้แล้วแต่ความฟิตของนักฟุตบอลคนนั้น แต่จะเกิดขึ้นแน่นอนภายใน 90 นาทีของการแข่งขัน

นั่นคือเทรนด์เก่าที่เกิดขึ้นในอดีต แต่เมื่อคล็อปป์มาถึงพรีเมียร์ลีกและมากระตุ้นให้ลูกทีมของเขารีดพลังถึงขีดสุด เนื่องจากความยอดเยี่ยมของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา คล็อปป์จึงได้ทำลายความเชื่อเดิมที่ว่า "วิ่ง 10 นาทีไม่มีพักจะทำให้นักเตะก้าวขาไม่ออก" เด็ก ๆ ของเขาวิ่งกันมืดฟ้ามัวดิน ถ้าเป็นฝ่ายที่ครองบอลบุกก็เรียกได้ว่ามากันทุกทิศทุกทางจนคู่แข่งไม่ได้หายใจ พวกเขาทำได้จริงและทำติดต่อกันมาหลายปีแล้ว

จนถึงตอนนี้หลายคนเริ่มสงสัยว่าการวิ่งแบบลืมตายตามสไตล์เกเกนเพรสซิ่งนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ฤดูกาล 2022-23 เป็นการเริ่มต้นซีซั่นที่น่าผิดหวังที่สุดในรอบหลายปีของพวกเขาหรือไม่ ? 

 

วิ่งเยอะทำให้เจ็บจริงหรือ ? 

มีการตั้งข้อสงสัยกันว่าการวิ่งเต็มสปีดใส่กันสุดปอดอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บสะสมกับนักเตะลิเวอร์พูล เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพวกเขาประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บแทบจะทุกสัปดาห์ ทุกเดือน สุดแท้แต่ใครจะเจ็บยาวเจ็บสั้น 

คำถามก็คือวิธีการเล่นแบบวิ่งเยอะของพวกเขาส่งผลกับเรื่องนี้จริงหรือไม่ ? เรื่องนี้มีงานวิจัยจาก ด็อกเตอร์ โจเอล เมสัน ที่เคยถูกเผยแพร่ลงเว็บไซต์ Forbes ว่าการวิ่งแบบใช้ความเข้มข้นหรือสปีดสูงนั้นส่งผลต่อร่างกายแน่นอน และยิ่งวิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเปรียบกับกรณีนักเตะของลิเวอร์พูลที่ใน 90 นาทีที่จะวิ่งกันแทบทั้งเกมก็ยิ่งทำให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในตอนนี้ที่นักเตะของพวกเขาสลับหน้ากันเจ็บตลอดเวลา 

"ถ้าคุณวิ่งเต็มสปีด 90 นาที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโอกาสของการบาดเจ็บจะสูงขึ้นแน่นอน ยิ่งเล่นนานอัตราความเสี่ยงในการบาดเจ็บและความเหนื่อยล้าสะสมก็ยิ่งมากขึ้น และการวิ่งเต็มที่ในขณะที่ร่างกายเหนื่อยล้านั้นก็ยิ่งทำให้เสี่ยงขึ้นไปอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเปลี่ยนตัวนักเตะในช่วงเวลาที่เหลืออีก 20-30 นาทีจะช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บให้กับนักเตะได้มากเลยทีเดียว" ด็อกเตอร์เมสัน กล่าวถึงกรณีที่พรีเมียร์ลีกควรเพิ่มโควตาให้เปลี่ยนตัวนักเตะได้ 5 ตัวแบบถาวรเพื่อลดปัญหาเหล่านี้ ซึ่งพวกเขาเพิ่งเริ่มทำในฤดูกาล 2022-23 นี้เอง

ไม่ต้องสงสัยอะไรกันมาก วิ่งเร็ววิ่งเยอะย่อมเสี่ยงเยอะเป็นธรรมดา แต่จะทำยังไงได้เพราะนี่มันคือเกมการแข่งขัน ฟุตบอลยุคใหม่วัดกันที่ความขยันเป็นหลักที่ทีมไหนวิ่งมากกว่าทีมนั้นก็มีโอกาสได้ผลการแข่งขันที่ดีกว่า ถึงแม้จะเสี่ยงแต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงนั้นแล้วลองหาปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาลดความเสี่ยงจากเรื่องนี้แทน 

ซึ่งลิเวอร์พูลก็เข้าใจความเป็นไปข้อนี้เป็นอย่างดี ในช่วงที่คล็อปป์พยายามจะสร้างทีมจึงไม่ใช่แค่การเลือกซื้อนักเตะที่ตัวเองอยากได้เท่านั้น เขายังให้ความสำคัญกับทีมแพทย์ ทีมกายภาพบำบัด นักวิทยาศาสตร์การกีฬา นักโภชนาการ โค้ชฟิตเนส ตั้งแต่เขาเข้ามาคุมทีมในเดือนตุลาคม 2015 คล็อปป์ก็พยายามพัฒนาทีมงานส่วนนี้มาโดยตลอด 

พวกเขาดึงตัวโค้ชฟิตเนสฝีมือดีอย่าง อันเดรียส คอร์นไมเออร์ (Andreas Kornmayer) ที่มีประสบการณ์กับ บาเยิร์น มิวนิค ในยุค หลุยส์ ฟาน กัล, จุปป์ ไฮย์เกส และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา รวมถึง อันเดรียส ชูล์มแบร์เกอร์ (Andreas Schlumberger) ที่ร่วมงานกับคล็อปป์มาตั้งแต่สมัยอยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแผนกฟื้นฟูความฟิต

ยังมีอีกหลายชื่อในส่วนของทีมแพทย์และแผนกอื่น ๆ ที่เราไม่ได้กล่าวถึง แต่ขอให้คุณเข้าใจได้เลยว่าสาเหตุที่ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จได้ในยุคหลังก็เพราะพวกเขารับความเสี่ยงเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะได้ พวกเขาแหกกฎเรื่องของการวิ่งที่ไม่เคยมีใครกล้าทำ และความเสี่ยงเหล่านี้ก็ถูกลดทอนด้วยทีมงานแพทย์ที่เก่งและมีคุณภาพ  

เป๊ป ลินเดอร์ ผู้ช่วยของ เยอร์เกน คล็อปป์ เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า หากให้เลือกคำพูดที่อธิบายถึงวิธีการทำทีมของคล็อปป์คำนั้นคือคำว่า "เข้ม" เพราะคล็อปป์ใส่ใจแทบทุกเรื่อง เพื่อชัยชนะเขากล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง กล้ามองไปยังสิ่งที่แปลกใหม่ และกล้าลงทุนกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง เขาพยายามจะเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ และแน่นอนพยายามเอาชนะคำครหาที่ว่า วิธีการเล่นเกเกนเพรสซิ่งของเขาทำให้นักเตะกรอบจนไม่สามารถรักษามาตรฐานได้ตลอด ... แล้วเขาก็เอาชนะคำวิจารณ์เหล่านั้นได้จริง ๆ แต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเอาชนะคำวิจารณ์และความเป็นจริงได้ตลอดไป

ลิเวอร์พูลของคล็อปป์กวาดทุกแชมป์ที่ลงสนามได้สำเร็จ แต่ถึงตอนนี้ปัจจัยหลาย ๆ อย่างเริ่มควบคุมไม่ได้ และอาการบาดเจ็บก็มาเยือนนักเตะของพวกเขาบ่อยขึ้น ซึ่งตอนนี้คล็อปป์เองก็น่าจะเข้าใจถึงความจริงข้อนี้บ้างแล้ว 

 

สัจธรรมของสังขาร 

ช่วงเวลาที่คล็อปป์สร้างทีม คุณจะเห็นวิธีการทำทีมของเขาผ่านการซื้อตัวนักเตะได้อย่างชัดเจน เขาจะไม่ซื้อนักเตะในช่วงวัยที่พีกที่สุดของอาชีพ (ว่ากันว่าเป็นช่วงอายุ 28-31 ปี) แต่จะซื้อตัวนักเตะที่ยังไม่ดังมาก อายุยังน้อย มีทัศนคติที่ดี และมีพละกำลังที่สูงมาก นักเตะอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, ฟาบินโญ่, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, อลีสซง เบ็คเกอร์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คือตัวอย่างที่ชัดเจนมาก 

คล็อปป์ซื้อนักเตะเหล่านี้มาเพราะรู้ว่าฟุตบอลของเขาไม่เหมาะกับนักเตะที่มีความฟิตต่ำหรือมีทัศนคติการเล่นที่ไม่ขยันและไม่เล่นเพื่อทีม ... ทว่าสิ่งที่ต้องเจอในตอนนี้คือนักเตะที่เคยอายุน้อยในวันที่คล็อปป์ซื้อพวกเขาเข้ามาเริ่มอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายก็จะไม่แข็งแรงเหมือนเดิม แม้จะพยายามรักษามันแค่ไหน แต่สังขารก็ย่อมอ่อนแอลงตามกาลเวลา 

ในแนวรับ ฟาน ไดจ์ค และ โจเอล มาติป อายุ 31 ปีแล้ว ในแดนกลางตัวหลักอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อายุ 32 ปี, ฟาบินโญ่ ย่าง 30 ปี, ติอาโก้ 31 ปี ขณะที่แนวรุก 2 ดาวยิงยุคสร้างทีมอย่าง ฟีร์มิโน่ และ ซาลาห์ ก็อายุ 31 และ 30 ปีตามลำดับ ... พวกเขาเหล่านี้ไม่หนุ่มอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นการจะใช้พวกเขาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่ให้พวกเขาวิ่งขึ้นวิ่งลงตลอด 40-60 เกมต่อฤดูกาลคือเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก 

เราได้เห็นนักเตะของลิเวอร์พูลบาดเจ็บเพิ่มขึ้นในทุกสัปดาห์ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเตรียมทีมแพทย์และใส่ใจเรื่องนี้เหมือนเดิม แต่มันเป็นเพราะนักเตะของเขาต้องใช้ร่างกายอย่างหนักมาตลอด 3-4 ปีให้หลัง และยิ่งต้องแบกสังขารด้วยอายุที่มากขึ้น เราจึงได้เห็นนักเตะเหล่านี้บาดเจ็บกันง่ายขึ้น

ส่วนนักเตะที่อายุไม่ค่อยจะเยอะมากก็มีทฤษฎีที่น่าสนใจมาประกอบคำอธิบาย ครั้งหนึ่ง โชเซ่ มูรินโญ่ ที่คุม ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในช่วงการระบาดของ COVID-19 มีนักเตะในทีมที่บาดเจ็บกันมากมาย บางคนลงเล่นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ฟิตเต็ม 100 สิ่งที่เกิดขึ้นคือนักเตะคนที่ไม่ฟิตจะวิ่งน้อยลงและปล่อยให้นักเตะคนที่ฟิตวิ่งมากขึ้น ว่าง่าย ๆ ก็คือคนที่หนุ่มและไม่มีอาการบาดเจ็บจะต้องทำเกินหน้าที่ แล้วพอทำเกินหน้าที่ก็จะเสี่ยงเจ็บมากขึ้นนั่นเอง

"เหมือนคุณนอนห่มผ้าห่มผืนเล็ก ๆ ตอนหน้าหนาวนั่นแหละ เมื่อคุณจะเอาผ้ามาคลุมโปงปิดหัวมันจะก็เปิดพื้นที่ว่างตรงช่วงเท้า และพอคุณเย็นเท้าก็จะดึงผ้ามาลงมาคลุมและส่วนบนของคุณก็โล่งแทน คุณต้องแก้ปัญหาแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น" มูรินโญ่ กล่าว

สิ่งเหล่านี้เองก็กำลังเกิดกับลิเวอร์พูลที่นักเตะในทีมสลับกันหายสลับกันเจ็บอยู่แบบนี้ พูดตามตรงก็คือ "ผ้าห่ม" ที่เปรียบเสมือนขนาดทีมทั้งปริมาณและคุณภาพของพวกเขานั้นผืนเล็กเกินไป นักเตะหลายคนต้องลงเล่นโปรแกรมหนักปี ๆ หนึ่งไม่ต่ำกว่า 50 นัด นั่นคือจุดสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลไม่ได้แข็งแกร่งทั่วแผ่น และดูมีความสมดุลไร้ปัญหาเรื่องการขาดนักเตะตัวหลักเหมือนกับ แมนฯ ซิตี้ 

สิ่งที่น่าเสียดายของเรื่องนี้ก็คือ ลิเวอร์พูลของคล็อปป์คือทีมเดียวในพรีเมียร์ลีกในรอบ 4-5 ปีหลังที่บดกับ แมนฯ ซิตี้ ได้สนุกชนิดหายใจรดต้นคอมากที่สุด ทว่าลิเวอร์พูลกลับไม่ได้ลงทุนเพื่อต่อยอดสิ่งที่ตัวเองมีมากพอแตกต่างกับแมนฯ ซิตี้ ที่เติมผู้เล่นเข้ามาใหม่ทุกซีซั่น ต่อให้ไม่เห็นปัญหาพวกเขาก็เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า "เหลือดีกว่าขาด" แตกต่างกับลิเวอร์พูลที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้นสดกันไปเรื่อย ๆ จนทำให้ปีนี้พวกเขาอาจจะพลาดโอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก หรืออาจหนักข้อถึงขั้นเสียโควตาแชมเปี้ยนส์ลีกก่อนเกมสุดท้ายของฤดูกาลก็เป็นได้ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.forbes.com/sites/zakgarnerpurkis/2020/11/20/speed-the-other-factor-in-liverpools-injury-crisis/?sh=1969173d6aba
https://www.forbes.com/sites/zakgarnerpurkis/2020/09/28/why-liverpools-scientists-will-decide-the-premier-league-title/?sh=47b65e9b7c1a
https://www.squawka.com/en/most-sprints-premier-league-player/
https://www.telegraph.co.uk/football/2022/08/16/liverpool-suffering-injuries-club-why/
https://www.si.com/soccer/liverpool/news/liverpool-injury-list-the-latest-news-on-injured-players-in-jurgen-klopps-squad
https://www.liverpool.com/liverpool-fc-news/features/liverpool-formation-klopp-injury-latest-25164636
https://www.holdingmidfield.com/liverpool-struggles-to-break-down-defences-jurgen-klopp-tactics-tactical-analysis/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น